เขาเลิกคิ้วเงยหน้าเห็นสตรีผู้เป็นเจ้าของโต๊ะจ้องสิ่งที่อยู่ในมือตนจึงรู้ว่านางหมายถึงสิ่งใด “สหายข้าทำให้ ของสิ่งนี้ไม่นานก็จะลงตลาดในแคว้นเว่ยแล้วแม่นางสนใจรึ”
“เจ้าค่ะ งานของข้าคืองานเขียนเป็นหลัก จึงอยากได้สิ่งที่อำนวยความสะดวกมากกว่าพู่กันกับน้ำหมึกที่พกพาลำบากเวลาออกไปข้างนอก” ดวงตากลมประกายลุกวาว โอ้ยเหตุใดชาติก่อนถึงได้มืดบอดเรื่องนี้แล้วเอาแต่สนใจบุรุษที่ไร้สิ้นเยื่อใยต่อกันด้วยนะ
“แม่นางตาถึงยิ่งนัก อยากลองใช้หรือไม่”
“อยากเจ้าค่ะ” กรี๊ด ดินสอที่รัก ขอหม่ามี่สัมผัสการเขียนที่ห่างหายไปนานหน่อยเถิด ความตื่นเต้นปิดไม่มิดแม้แต่ผ้าขาวบางคลุมครึ่งหน้ายังฉายความยินดีผ่านน้ำเสียง
ฉันรับดินสอไม้กับกระดาษจากเขา ถือเป็นการลองใช้สินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ เอ๋ เนื้อสัมผัสกระดาษมันเหมือนA4เลยดิ๊ “สองสิ่งนี้จะเปิดขายเมื่อใดหรือเจ้าคะ”
“อีกสามวันสินค้าน่าจะมาถึงแคว้นเว่ย”
หลี่เหมยซินพยักหน้าเข้าใจ นางวาดรูปอย่างอารมณ์ดี เนื่องจากบุรุษที่ร่วมโต๊ะนางมีแนวคิดค่อนข้างทันสมัยมาก ทำให้บทสนทนาออกรสมากทีเดียว “ท่านเป็นพ่อค้าต่างถิ่นหรือ”
“ข้ากับสหายตั้งร้านขายสิ่งของแปลกตาที่แคว้นอื่นมาบ้างแล้ว จึงตัดสินใจอยากนำสินค้ามาขายที่แคว้นเว่ยบ้าง”
ฉันวางดินสอก่อนเงยหน้ามองเขาพลางกล่าว “พวกท่านสายตาแหลมคมยิ่งนัก แคว้นเว่ยเป็นเส้นทางผ่านของหลายแคว้นผู้คนมากมายจากต่างถิ่นย่อมแวะเวียนแคว้นเว่ย ที่นี่จึงเจริญด้านการค้าและเป็นแหล่งที่ท่องเที่ยวของผู้คนไม่น้อยเชียวนะท่าน”
“สหายข้าก็พูดเช่นนั้น” รอยยิ้มปากหยักกว้างขึ้นเมื่อเห็นสตรีตรงหน้ากล่าวไปมือไม้นางก็บรรยายไป ลืมสิ้นกิริยามารยาทกุลสตรี เพราะนางยกมือขึ้นจึงทำให้แขนเสื้อเลื่อนลงต่ำเล็กน้อยเท่านั้นสิ่งที่อยู่ตรงข้อมือซ้ายก็สะดุดตาเขาจนเกิดความสงสัย “แม่นางเจ้ามาจากหอวิหคราตรีรึ”
คำถามเขาทำเอาฉันที่กำลังพูดถึงแคว้นเว่ยดีอย่างนู้นดีอย่างนี้ต้องชะงักลง เขารู้ได้ยังไงว่าฉันพึ่งออกมาจากหอวิหคราตรี“ท่านรู้ได้อย่างไร”
“ข้าเดาเอาน่ะ” จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยได้อย่างเชี่ยวชาญโดยการใช้เรื่องเจรจาการซื้อขายแทน กระทั่งหลี่เหมยซินถามนามของเขา
“เรียกข้าว่า ‘เฉิงเซ่อ’ ก็ได้สหายข้าชอบเรียกกันเช่นนั้น” เขากล่าวทั้งหัวเราะเมื่อนึกถึงสหายของตนกับชื่อเรียก
“เฉิงเซ่อแปลว่าสีส้ม เหมาะกับดวงตาของท่านที่ประกายแสงสีส้มจริงๆ เจ้าค่ะ” พอฉันพูดออกไปแบบนั้นเขาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เกาหลังหัวคล้ายเขินกับคำชมของฉัน อะไรก็แค่พูดตามความจริงนะ
ดวงตากลมมองโดยรอบจากนั้นฉันก็กวักมือเรียกเขาโน้มตัวยื่นหูมาใกล้ๆ หน่อย กระซิบเสียง “ส่วนข้านามว่าหลี่เหมยซินเจ้าค่ะ”
เฉิงเซ่อเขามองฉันใช้ผ้าขาวบางปกปิดครึ่งใบหน้าหัวคิ้วข้างซ้ายมีรูปดอกเหมยสีแดงติดอยู่ เฉิงเซ่อคล้ายจะตีความช้าไปนิด เขามองนางนิ่งก่อนเบิกตากว้างหลังตีโจทย์ปัญหาได้ “เจ้า..”
“ตามนั้นเจ้าค่ะ” ฉันผู้ไม่มีอะไรจะเสียเรียกว่าก่อนออกจากจวนได้ทาปูนหนาชั้นกันหน้าบางๆ ไว้พร้อม ถามว่าอายไหมก็นิดหนึ่งแต่รู้สึกตลกตัวเองมากกว่าที่มีชื่อเสียงในด้านติดลบแบบไม่ธรรมดา
“ท่านจะเลิกคบเป็นสหายข้าก็ไม่ว่า แต่ข้าในฐานะลูกค้าจะไม่ขายหินสีให้สตรีเช่นข้าจริงรึ” ฉันไม่ได้ใส่ใจว่าจะได้เป็นสหายอยู่หรือไม่ เขาจะคิดเช่นไรก็เรื่องของเขา สนแค่จะซื้อของ
“ถ้ารู้ว่าเจ้าเป็นใครแต่แรกข้าก็ไม่นั่งตรงนี้หรอก” เฉิงเซ่อยิ้มมุมปากวาจากล่าวย้อนหลี่เหมยซิน อย่างน้อยคุยกับนางก็สนุกกว่าคุณหนูตระกูลอื่น นี่คงเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่นางปกปิดใบหน้าหรือเปล่า และเขาก็ไม่สนใจว่านางจะมีอดีตอย่างไรเพราะการมีกำไลวิหคสวมไว้ข้างซ้ายน่าสนใจกว่าเยอะ
“ความสุภาพของท่านในตอนแรกหายไปไหนแล้วเนี่ย” เงยหน้าขึ้นมองเฉิงเซ่อ ใช้ดินสอที่เป็นแท่งชี้ไปยังเจ้าตัวที่ตอนแรกดูเป็นสุภาพบุรุษเกรงอกเกรงใจพูดจาดีมีมารยาท มาตอนนี้หายเป็นปลิดทิ้ง
“แม่นางสตรีร้ายกาจเช่นเจ้าไม่ต้องใช้ด้วยหรอกมั้ง” เฉิงเซ่อแกล้งพูด (เหมือนหลอกด่า) เขาหลบสายตาของหลี่เหมยซินเบือนหน้ามองไปทางระเบียงแทน ในใจเขาอยากเห็นภาพที่นางไปตบกับสตรีอื่นเสียจริงคนอย่างเขาไม่น่าพลาดเรื่องสนุกเช่นนี้
“เหอะ!” เค้นเสียงในลำคอ คนอะไรจู่ๆ ก็เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
เฉิงเซ่อปรายตามองดูว่านางมีท่าทางยังไง ก็เหมือนเดิมกลับไปตั้งใจแสดงฝีมือเหมือนเดิมการใช้ดินสอแบบมืออาชีพ สตรีร้ายกาจนางนี้มีความมุ่งมั่นเสียจริง
“แล้วที่เจ้าออกมานอกจวน เพราะมาตามหาองค์ชายสามหรือ” ก็ข่าวลือมักว่าเห็นหลี่เหมยซินอยู่ที่ไหน องค์ชายสามอยู่ที่นั่น
“เปล่า” คำเดียวออกจากปากเรียวใต้ผ้าคลุม ไม่ต้องเจอกันน่ะดีที่สุด
“เจ้าความจำเสื่อมจริงหรือแกล้งทำกันแน่” เฉิงเซ่อถามเบาเบา ยิ่งพูดคุยกันทำให้เขาคิดว่า หลี่เหมยซินนางนี้ไม่ค่อยมีอะไรเหมือนข่าวลือเลยอาจเป็นเพราะนางสูญเสียความทรงจำจริงๆ
“ท่านรู้แค่ว่าพวกเราไม่ใช่สหายกันก็พอ” น้ำเสียงเรียบไม่สามารถจับความรู้สึกได้ เฉิงเซ่อเราพึ่งรู้จักไม่ถึงวันท่านอย่ารู้มากนักเลย
“ใจเย็นๆ ได้เป็นสหายข้ามีส่วนลดนะ” เฉิงเซ่อคิดว่านางคงเริ่มอารมณ์เสีย ยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจให้สตรีตรงหน้า
“ข้าไม่เกี่ยงราคา มีพร้อมจ่ายอยู่แล้ว” หมายความว่าต่อให้ไม่ลดราคาฉันก็มีจ่ายอยู่แล้ว
“ขออภัยแม่นางหลี่ ข้าเฉิงเซ่อผิดต่อเจ้าแล้ว” บุรุษนัยน์ตาประกายสีส้มเล็กๆ เอ่ยอย่างจนปัญญา กล่าวสุภาพติดเล่นหน่อยๆ เขาใช้ชีวิตมานานพบปะผู้คนมากมายหลายรูปแบบย่อมรู้วิธีเจรจาอย่างดี
“ช่างเถิดข้าไม่ได้โกรธท่าน ท่านจะรู้สึกเช่นนั้นก็ไม่แปลกหรอก ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้เป็นคนช้าไป จึงมิได้เห็นสิ่งดีๆ รอบตัวเอาคนไร้เยื่อใยมาเป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตจนทำร้ายผู้อื่นไปมิน้อย ข้าสำนึกผิดยิ่งนัก” เธอกล่าวอย่างเหนื่อยใจ
“ประเด็นสำคัญคือหลังจากนี้ต่อให้เจ้าเห็นพระองค์อยู่กับสตรีอื่นก็จะไม่รู้สึกอะไร..” หางตาคมของเฉิงเซ่อดันเห็นอะไรบางอย่างกำลังมา คำขอก่อนหน้านี้ศักดิ์สิทธิ์เสียจริง
หลี่เหมยซินนิ่งไป นัยน์ตาครุ่นคิดหาคำตอบตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาเอาแต่คิดหาทางช่วยครอบครัว พยายามไม่คิดเรื่องของนางกับเขาเพราะอยากตัดใจให้เร็ว หากการตัดใจมันง่ายขนาดนั้นชาติก่อนนางคงไม่เกือบถูกเผาตายทั้งเป็นหรอก ถามว่ายามนี้หากพบเขาอยู่กับสตรีอื่นก็ใช่ว่าไม่รู้สึกเจ็บ แต่ก็คงไม่เจ็บมากกว่านี้อีกแล้ว ฉันจึงตอบเฉิงเซ่อสั้นๆ
“..อืม”
“พวกท่านทั้งสอง พอจะมีที่ว่างอีกหรือไม” เสียงหวานของสตรีนางหนึ่ง เดินมาพร้อมบุรุษผู้หนึ่ง
มือที่วาดภาพอยู่ชะงักค้าง ฝนตกคือเรื่องจริงแต่เสียงฟ้าผ่าในหัวนั้นมีแค่เจ้าตัวที่ได้ยินมัน โต๊ะอื่นก็มีให้ขอทำไมต้องมาแต่โต๊ะนี้ด้วยล่ะ
“คารวะองค์ชายสาม” เฉิงเซ่อตามน้ำยืนขึ้นทำความเคารพบุรุษหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ ตามธรรมเนียมของแคว้นได้อย่างคล่องแคล่ว แต่สหายใหม่ของเขาเหมือนถูกสาปกลายเป็นหิน
“ข้าขอนั่งด้วยคน” เว่ยเหยียนเฟิ่งไม่รอให้เจ้าของโต๊ะอนุญาตอีก นั่งลงข้างหลี่เหมยซินทันที
เปรี้ยง! ครานี้ของจริง