ซ่าา ซ่าา ปรายตามองเสียงสายฝนพร้อมสายลมพัดเข้ามากระทบขอบหน้าต่างเล็กน้อย น้ำฝนข้างนอกถูกสายลมพัดเข้ามาเป็นละอองน้ำเล็กๆ กระทบใส่ดวงหน้างามใต้ผ้าคลุมสีขาวบางที่ปลิวไสวตามลม
ตลาดแคว้นเว่ยเมื่อครู่ยังครึกครื้นอยู่เลย ตอนนี้ผู้คนต่างวิ่งหาที่หลบฝนตกกะทันหันทั้งที่วันนี้ช่วงเช้าท้องฟ้ายังแจ่มใส ช่วงบ่ายกลับมีฝนตกลมกระโชกแรงอย่างคาดไม่ถึง
‘ข้าไม่ทำการค้าขาดกำไร หลังเจ้ารู้ผลประโยชน์ที่ตนได้รับแล้ว ต้องทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง’
“ทุกอย่างหรอ ข้าจะโดนหลอกไหมเนี่ย” หลี่เหมยซินเหม่อลอยมองท้องถนนข้างล่างที่เริ่มไร้ผู้คนเพ่นพ่านผ่านม่านสายฝน ไม่รู้ตัวว่าอาอิงนั้นรีบปิดหน้าต่างนานแล้วเพราะเห็นลมแรงกลัวคุณหนูไม่สบาย
หลังจากออกมาจากหอวิหคราตรี เดิมเรื่อยๆ มาจุดนัดพบที่เหล่าอาหารไม่ไกลมานัก จู่ๆ ท้องฟ้าเกิดเมฆครึ้มสายฝนตกลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ต้องนั่งรอฝนหยุดก่อนเพราะเดี๋ยวอาการป่วยคุณหนูจะกำราบ
“เสื้อคลุมเจ้าค่ะ เดี๋ยวไม่สบายนะเจ้าคะ” นางกล่าวพลางเอื้อมมือคลุมเสื้อให้นายสาวอย่างเบามือ ก่อนรินน้ำชาร้อนให้ด้วย “น้ำชาเจ้าค่ะ”
“ไม่มั้งหอวิหคราตรีไม่เคยมีชื่อเสียงด่างพร้อยเสียหน่อย แต่ว่า..” นิ้วมือเคาะโต๊ะเป็นจังหวะใบหน้างามฉายแววครุ่นคิดอย่างหนักจนหัวคิ้วขมวดชนกัน
“หอวิหคราตรีเหมือนมีอำนาจพอควรหากดูภาพรวมจากผลลัพธ์ของตราวิหค แต่เจ้าของกิจการใหญ่โตกลับไม่เข้าข้างฝ่ายใดในราชสำนัก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง มุ่งช่วยเหลือราษฎรที่ใช้ชีวิตยากลำบากเท่านั้น อะไรอีกนะ..
การตัดสินใจทำตามผู้ถือตราวิหคขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและเจ้าของหอ สตรีเจ้าของหอผู้นี้มีความลับเยอะจัง” คิดทบทวนจนไมเกรนแทบจะขึ้นหัวเส้นเลือดสมองไม่แตกให้ตายอีกรอบก็ถือว่าชาตินี้มีบุญมากแล้ว
“จริงสิ อาอิงฝั่งเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฉันเอ่ยถามขึ้นพลางจิบชาร้อนคลายความหนาวเย็น แม้ร่างนี้จะฝึกฝนวรยุทธแต่พึ่งหายป่วยก็จะไวต่อความรู้สึกบ้างหลังโดนลมฝนแม้จะเล็กน้อย
“บุรุษที่คุณหนูให้อาอิงสืบเรื่องราวของเขามีไม่มากเจ้าค่ะ บุรุษผู้มีนามว่า ‘ฮ่าวหราน’ เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขสำนักไป๋เหลียงคนต่อไปทว่ายามนี้เขาได้รับพิษหมื่นราตรีทำให้นอนหลับไม่ตื่นร่างกายก็ทรุดโทรมมากขึ้น ดังนั้นเจ็ดวันต้องได้รับยาถอนพิษ มิเช่นนั้น..”
“เขาคงไม่ตายง่ายๆ หรอกนะ” น้ำเสียงคล้ายไม่ใส่ใจแต่ภายในใจนั้นกลับเป็นห่วงเขาโดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยฮ่าวหรานก็เป็นผู้มีพระคุณแต่การเข้าไปแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือตอนนี้อาจทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น แม้จะต้องใช้เวลาแต่ฉันมั่นใจว่าเขาต้องผ่านมันไปได้
“อาอิงฝนไม่มีท่าว่าจะหยุดเลย”
“คุณหนูรออาอิงอยู่ที่นี่นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวอาอิงจะไปหาซื้อร่มมาพวกเราจะได้กลับจวนก่อนที่ใครจะสงสัย”
‘คุณหนูหลี่ก็น่าสงสารอยู่หรอกนะ หากไม่หมดความอดทนที่โดนแย่งความสนใจจากว่าที่คู่หมั้นไป นางคงไม่อาละวาดตามสั่งสอนสตรีทั่วเมืองที่มีท่าทีเกี้ยวคู่หมั้นตนก่อน’
‘เดิมทีนางก็เป็นคนดีแต่ช่วงหลังไม่รู้เพราะแรงหึงหวงหรือไรทำให้นางขาดสติกลายเป็นสตรีร้ายกาจได้ปานนั้น’
‘นางทำเกินไปจริงๆ ถึงอย่างไรก็ควรไว้หน้าองค์ชายสามบ้างไม่ใช่หรือ’
‘ข่าวที่คุณหนูหลี่ล้มป่วยสูญเสียความทรงจำพูดกันทั่วเมืองแล้ว เจ้ารู้หรือยัง’
‘หมายความว่าต่อไปนางก็จำองค์ชายสามไม่ได้ เหมือนที่องค์ชายก็ทรงลืมนางที่เป็นสหายเก่า’
‘สหายคิดเกินเลยน่ะสิ จำไม่ได้หรือตอนพวกเขาอยู่ด้วยกันแววตามันฟ้องใครๆ ก็มองออก แต่จู่ๆ เข้าของหัวใจตัวจริงกลายเป็นคุณหนูหม่าเฉย คุณหนูหลี่เองคงเก็บกดมานานมากแรงหึงหวงจนทำร้ายคุณหนูหม่าก่อนนางจะตกน้ำตกท่าเสียเอง’
‘แต่พวกนางสองคนมีนิสัยต่างกันมากนัก คุณหนูหลี่เป็นสตรีที่ถูกฝึกฝนมาคล้ายบุรุษ กล้าได้กล้าเสียนิสัยโผงผางของนางแก้ไม่หาย ในขณะที่คุณหนูหม่าเป็นสตรีห้องหอทั้งอ่อนหวานเรียบร้อยมีมารยาทงามเกินใคร บุรุษบ้างจะไม่ชอบสตรีอ่อนโยน หากพวกเจ้าเป็นองค์ชายสามจะเลือกผู้ใดตกแต่งเป็นภรรยา’
‘ก็ต้องคุณหนูหม่าอยู่แล้ว’
‘สตรีร้ายกาจใช่ว่าจะกลับใจไม่ได้ ข้าเลือกข้างคุณหนูหลี่เพราะยามนี้ความทรงจำนางหายไปนางอาจเป็นคนที่ดีขึ้น’
หนึ่งในกลุ่มสตรีข้างโต๊ะกล่าวอย่างเชื่อมั่นในตัวสตรีร้ายกาจอันดับหนึ่ง ฉันนั่งฟังเงียบๆ หลังอาอิงอาสาออกไปหาร่มมาให้ฉันก็กินขนมไปจิบชาไปไม่มีอะไรให้ทำ เริ่มเบื่อจนต้องเท้าคางเงี่ยหูฟังกลุ่มสตรีมาใหม่นี่สนทนาหัวข้อเรื่องของตัวเอง
“แม่นางข้าขอนั่งด้วยคนได้หรือไม่” เสียงนุ่มทุ้มเรียกความสนใจฉันออกจากบทสนทนาของกลุ่มสตรีข้างโต๊ะ
ฉันหันตามเสียงเรียกเงยหน้าขึ้นพบบุรุษร่างสูงผอมบางอายุราวๆ ยี่สิบปีต้นๆ เขาสวมใส่อาภรณ์สีส้มอ่อนไร้ลวดลาย ใบหน้าคมเลิกคิ้วรอคำตอบ
“คือที่นั่งในร้านอาหารเต็มหมดแล้ว ข้างนอกฝนตกหนักข้าขอนั่งรอฝนหยุดด้วยคนก็เท่านั้น”
“อ๋อ เชิญเจ้าค่ะ” ผายมือข้างซ้ายเชิญให้นั่งฝั่งตรงข้าม
“ขอบคุณ”
เมื่อเกิดความเงียบบนโต๊ะตัวเองแล้ว บทสนทนาของสตรีข้างโต๊ะไม่ไกลมากนักจึงได้ยินชัดเจน
‘เจ้าก็พูดได้สิ เจ้าไม่เคยเห็นนางตบตีกับคุณหนูในห้องหอจวนอื่นจนเลือดสาด’
‘นางน่ะร้ายกาจที่สุดในแคว้นแล้ว เวลาเกิดเรื่องหยิบจับอะไรก็เป็นอาวุธได้หมด หากไม่หยิบนางก็สามารถทำให้สตรีผู้นั้นฟกช้ำด้วยสองมือหรือสองเท้าของนางเอง น่านับถือหรือไม่’
‘วรยุทธนางล้ำเลิศแต่ควรมีสติมากกว่านี้ ตอนข้าซื้อของในตลาดข้าเห็นนางใช้ปิ่นปักผมกรีดใบหน้างามๆ ของคุณหนูผู้หนึ่ง ภายหลังได้ยินว่าดีที่แผลไม่ลึกจึงไม่เสียโฉมมานัก’
ประโยคกึ่งด่ากึ่งชมของพวกนางทำเอาฉันแทบกลั้นขำไม่อยู่ สงสัยแผลเป็นบนหน้าผากฉันจะเป็นที่เคยก่อไว้จริงๆ ชั่งน่าขันเหตุใดต้องโกรธเคืองพวกนางในเมื่อสิ่งที่พูดล้วนเป็นความจริง กล้าทำก็กล้ารับฉันแมนพอค่ะ
‘คุณหนูหลี่ใจถึงโดยแท้ ข้าล่ะอยากได้ความกล้าของนางสักครึ่งหนึ่ง’
‘เจ้าจะไปตบตีกับผู้ใดรึ’
‘พวกเจ้าพูดให้มันกระจ่างด้วย ทุกครั้งที่คุณหนูหลี่ลงมือก็ล้วนเป็นผู้ถูกกระทำก่อน นางแค่เอาคืนมากเยอะไปเท่านั้น’
‘ข้าว่าสมองเจ้าคงได้รับการกระทบกระเทือนอีกคนถึงได้กล่าวเข้าข้างนางขนาดนี้’
ฉันส่ายหัวน้อยๆ พลางจิบชาท่าทางสบายใจไม่เดือดดาลเมื่อได้ยินวีรกรรมของตนออกจากปากผู้อื่นนั่นทำให้ฉันถอนหายใจยาวแล้วเลิกสนใจบทสนทนาของพวกนาง
“หากเป็นการรบกวนเวลาส่วนตัวของแม่นางข้าต้องขอโทษด้วย” น้ำเสียงนุ่มทุ้มติดเกรงใจเพราะนั่งมานานแล้วฝนก็ยังไม่มีท่าว่าจะหยุดตกเสียที
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตอนแรกข้านั่งรอฝนหยุดคนเดียวน่าเบื่อมิน้อย ยามนี้จะมีคนนั่งพูดคุยด้วยเป็นการดีเจ้าค่ะ” พลางหยิบขนมจานใหม่บนโต๊ะเข้าปากแก้เบื่อ พอได้ลิ้มรสหวานกระจายทั่วปาก อร่อย! ชิ้นที่สอง สามจึงตามเข้าปากต่อ
“เกรงใจแม่นางแล้ว” ท่าทางความเป็นสุภาพบุรุษดูน่านับถือไม่น้อย รอยยิ้มบางจากปากหยักได้รูปแววตาแสดงออกถึงความจริงใจ ทำให้นางยิ้มตามเขาใต้ผ้าขาวบางคลุมครึ่งหน้า
หากสังเกตดีๆ นัยน์ตาคมสีดำคู่นั้นเปร่งประกายแสงสีส้มหน่อยๆ แสดงถึงความอบอุ่นเหมือนแสงพระองค์ยามเช้า ทำไมวันนี้ฉันเจอแต่คนมีดวงตางดงามเหลือเกินนะ
ฉันกินขนมบนโต๊ะแทบจะเกลี้ยงทุกจาน ชวนบุรุษตรงหน้า ลิ้มรสบ้างแต่เขาบอกปฏิเสธเอง ดังนั้น ขนมพวกนี้จึงตกลงท้องฉันผู้เดียว เขาก็ไม่ได้นั่งเฉยๆ เห็นอ่านอะไรในมือก็ไม่รู้ทว่าของกินหมดแล้วสิ่งที่สะดุดตาต่อมาคือของที่บุรุษในเขียนในมือหนา“ท่านซื้อจากที่ใดมาเจ้าคะ”