สองพี่น้องต่างคุยกันอย่างออกรสออกชาติ เสียงหัวเราะของคนทั้งสองดังไปทั่วทั้งสวน สายลมเย็นพัดพาเอากลิ่นหอมอ่อนๆของดอกเหมยมาแตะที่ปลายจมูก บรรยากาศที่เย็นสบายและมีกลิ่นหอมของดอกเหมยช่างชักชวนให้น่าหลงใหลยิ่งนัก
“เอาเถิด ข้าไม่เอาเรื่องที่เจ้าพ่นสมุนไพรของข้าหรอกนะ เพราะอย่างไรเสียเจ้าก็ต้องดื่มสมุนไพรพวกนี้ไปอีกหลายวันอยู่ดี”
จางมี่จิงผู้เป็นพี่ชายคนรองหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีที่ได้หยอกล้อน้องสาวคนเล็กของตน เด็กสาวตัวน้อยเมื่อได้ฟังก็อารมณ์คุกรุ่นอยู่ในใจ ดวงหน้าจิ้มลิ้มบูดบึ้งขึ้นมาทันที
“รอให้ข้าหายดีก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะมาชำระหนี้แค้นนี้ให้ได้เจ้าค่ะ!” ข้าลั่นวาจาออกมาด้วยความโกรธ
พี่รองทั้งให้ข้าดื่ม กิน อาบสมุนไพรอยู่ทุกวันเยี่ยงนี้ ข้ามีหรือจะไม่พ้นกลายเป็นสมุนไพรเดินได้เสียเอง? ในโลกเก่านั้นข้าเกลียดกลิ่นยาเป็นที่สุด มาโลกนี้ก็ไม่พ้นมีกลิ่นของสมุนไพรมาเกาะติดเต็มร่าง
“ข้าจะรอนะ น้องพี่ ฮ่าๆๆ”
“ท่านพี่!”
“มีอันใดหรือ?”
จางมี่จิงขานรับน้องสาวตัวน้อยของเขาด้วยน้ำเสียงขบขัน เรื่องที่ข้าชอบทำที่สุดนอกจากปรุงโอสถก็คือแกล้งน้องสาวตัวน้อยของข้านี่แหละ
“หัวเราะข้าด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ?”
“หน้าของเจ้าตอนนี้น่าขันนัก”
“หน้าของข้า?”
พี่รองของข้าคงต้องมีปัญหาทางสติแล้วเป็นแน่แท้ มีผู้ใดบ้างที่มายืนจ้องหน้าของคนอื่นแล้วหัวเราะเช่นนี้?
“เอาเถิดๆ ตอนนี้อากาศก็เริ่มเย็นมากแล้ว เจ้ารีบกลับเรือนเถิด”
“ก็ได้เจ้าค่ะ...”
ในขณะที่ข้ากำลังจะกล่าวจบประโยคนั้น อยู่ๆอาการแน่นหน้าอกก็พลันแล่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน และตัวข้าเองก็เริ่มหายใจติดขัด
ความเย็นเยียบเสียดแทงเข้ากระดูกเริ่มแผ่ขึ้นมาจากขาทั้งสองข้างก่อนที่จะค่อยๆ ลุกลามขึ้นมายังร่างกายส่วนบนอย่างรวดเร็ว ขาทั้งสองชาจนไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ทำให้ร่างทั้งร่างของข้าล้มพับลงไปนั่งกองกับพื้น
คอของข้าแห้งผากไปหมดความเจ็บปวดค่อยๆแผ่ซ่านออกมาจากอกร้าวไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทรมานเหลือเกิน...
“คุณหนู!”
จิวซิ่งร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจกับท่าทางและอาการที่เกิดกำลังขึ้นกับข้า จิวซิ่งไม่รอช้านางรีบวิ่งเข้ามาประคองร่างของข้าทันที มือของนางกุมมือของข้าแน่นหนาราวกับข้าและนางจะพรากจากกันไป
“หลินเอ๋อร์!”
จางมี่จิงรีบเปิดแขนเสื้อของข้าออกเพื่อจับจุดชีพจรทันที สีหน้าของเขาดูแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ข้าเป็นอะไรไปนะ?
“ท่านพี่...เจ้าคะ...”
“เจ้าอย่าเพิ่งพูดอันใดเลย จิวซิ่งรีบพานางกลับเรือนเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปนำโอสถของนางมา!”
“เจ้าค่ะ!”
เมื่อทั้งสองตกปากรับคำกันเสร็จสิ้น จิวซิ่งจึงได้พาข้ากลับเข้าเรือนเพื่อให้ข้าได้พักฟื้น
เวลาผ่านมาไม่ถึงครึ่งก้านธูป อาการเจ็บปวดรวดร้าวทั่วร่างก็ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลงเลย สายตาของข้าเริ่มพร่ามัวลงเรื่อยๆ ใบหน้าที่เคยมีเลือดฝาดแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว
จิวซิ่งได้แต่ขนผ้าห่มออกมาคลุมกายข้าชั้นแล้วชั้นเล่า ความหนาวเย็นเริ่มเย็นเยือกขึ้นมาทุกครั้ง ตอนนี้แม้แต่การจุดไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายก็เห็นทีว่าจะไม่ได้ผลเสียแล้ว
“คุณหนู...คุณหนูเจ้าคะ แข็งใจอีกหน่อยเถิดนะเจ้าคะ”
จิวซิ่งพูดปนเสียงสะอื้น นางกุมมือข้าตลอดไม่ยอมปล่อย ปากของนางคอยเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมาเพื่อไม่ให้ข้าเผลอไผลหลับไป
“พี่จิวซิ่ง...ตาของข้ามันหนักเหลือเกิน”
“อย่าหลับนะเจ้าคะ อดทนหน่อยนะเจ้าคะคุณหนู”
ถึงแม้จิวซิ่งจะคอยพูดกับข้าตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ข้าหลับ แต่ความง่วงงุนนั้นกลับเพิ่มทวีความรุนแรงขึ้นมาเรื่อยๆ
“โอสถมาแล้ว!”
จางมี่จิงตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง เสียงนั้นดังกังวานจนทำให้ข้าตื่นจากความง่วงได้เล็กน้อย
“โอสถชนิดนี้มีฤทธิ์ร้อนที่ช่วยขจัดความเย็นออกจากร่างของเจ้า”
จางมี่จิงพูดขึ้นพร้อมกับเปิดกล่องใส่โอสถขึ้นมา ภายในกล่องนั้นมียาลูกกลอนสีพิลึกพิลั่นอยู่สามเม็ด ลูกกลอนเหล่านั้นต่างกำลังแผ่ความร้อนออกมาจากตัวของมันเอง
“มันกินได้จริงๆหรือเจ้าคะ...?”
ข้าพยายามเอ่ยถาม แต่ทว่าลำคอกลับแห้งผากเสียจนเจ็บปวดไปหมด
“กินได้แน่นอน ลูกกลอนเหล่านี้ข้าได้ผสมน้ำผึ้งไปด้วย เวลาเจ้ากลืนเข้าไปมันจะช่วยลดความเจ็บปวดที่คอของเจ้า”
“ให้ข้าเตรียมน้ำมาให้คุณหนูหรือไม่เจ้าคะ?” จิวซิ่งเอ่ยถามคุณชายรองด้วยความไม่แน่ใจ
“เตรียมน้ำอุ่นมาให้นาง”
“เจ้าค่ะ” สิ้นเสียงของจิวซิ่งนางก็รีบเร่งไปต้มน้ำมาให้ข้าทันที
อากาศรอบตัวข้าเริ่มเย็นลงเรื่อยๆจนข้าหนาวสั่นไปทั้งร่าง ริมฝีปากเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ข้ากอดผ้าห่มที่คลุมกายข้าหลายชั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา สายตาพยายามมองหาพี่รองด้วยความทรมาน
ทันใดนั้นสายตาของข้าเริ่มมืดมัวลงเรื่อยๆจนแทบจะมองไม่เห็นสิ่งใดแล้ว น่าหวาดกลัวนัก
“พี่รอง ข้ามองอะไรไม่เห็นแล้วเจ้าค่ะ!”
ข้าตะโกนร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก ภาพการมองเห็นค่อยๆ กลายเป็นสีดำมืดมิดไปจนหมด ข้ามองอะไรไม่เห็นจนแทบจะเสียสติ
“ใจเย็นๆก่อนหลินเอ๋อร์”
จางมี่จิงพูดปลอบผู้เป็นน้องพร้อมกับค่อยๆยื่นมือเรียวของตนลูบหัวของน้องสาวเพื่อให้นางคลายความกลัวลง ความอบอุ่นจากฝ่ามือค่อยๆแผ่ซ่านเข้ามาภายในร่างของเด็กสาว
ความอบอุ่นนั้นช่วยคลายความเย็นภายในร่างของข้าเป็นอย่างดี
“ตาของข้าจะไม่บอดใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ข้าถามพร้อมสะอื้นออกมาเล็กน้อย
“แน่นอนว่าไม่ สาเหตุที่เจ้ามองอะไรไม่เห็นนั่นก็เป็นเพราะไอเย็นในร่างของเจ้าค่อยๆกัดกินร่างของเจ้าทีละเล็กทีละน้อยจนลามไปถึงดวงตา เมื่อใดที่เจ้ามีไอเย็นในตัวมากเกินไปอาการที่เจ้าเป็นอยู่ในตอนนี้มันก็สามารถเกิดขึ้นได้อีก”
“มีทางรักษาให้หายขาดหรือไม่เจ้าคะ?”
เมื่อจางมี่จิงได้ยินคำถามของเด็กสาวตัวน้อยที่ถามขึ้นมา สีหน้าของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองทันที
“ไม่มี...”
“...”
ข้าและท่านพี่ต่างตกอยู่ในความเงียบงันอยู่นาน สายตาของพวกเราต่างหันมองไปทางอื่น แน่นอนว่าอาการป่วยที่แปลกประหลาดเช่นนี้อาจจะสร้างความลำบากให้กับข้าในภายภาคหน้าก็เป็นได้
แข็งแกร่งอยู่รอด อ่อนแอต้องตาย...
“น้ำได้แล้วเจ้าค่ะ!”
เสียงของจิวซิ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะห้วงความคิดอันสิ้นหวังของข้าในมือของนางถือถาดกาน้ำมาหนึ่งใบ นางมองมาที่ข้าด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย ใบหน้าของนางยังคงมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่
“กินยาลูกกลอนนี่เสีย มันจะช่วยบรรเทาให้อาการของเจ้าค่อยๆทุเลาลง”
ข้าพยักหน้ารับคำพร้อมกับค่อยๆยื่นมือไปรับยาลูกกลอนนั้นมาก่อนจะนำมันใส่เข้าไปในปาก
รสขมฝาดของยากระจายไปทั่วทั้งปาก ข้าทำหน้าเหยเกให้กับรสขมของยาและทำท่าว่าจะคายมันออกมา
ฝ่ายจางมี่จิงเมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงรีบใช้มือหนาของเขาปิดริมฝีปากของข้าเอาไว้อย่างหนาแน่น ข้ายอมรับเลยว่ายาลูกกลอนพวกนี้รสชาติแย่กว่าสมุนไพรที่เขานำมาให้ข้าดื่มทุกวันเสียอีก
ข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงกับพี่รองอยู่นานสองนานจนกระทั่งข้ายอมกลืนยาลงไป ความหวานละมุนของยาลูกกลอนค่อยๆ แผ่ออกมาเมื่อข้ากลืนยาลงไป
จากความขมฝาดทั่วทั้งปากเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นรสหวานละมุนของน้ำผึ้งแทน ลำคอที่เคยแห้งผากจนเจ็บกลับกลายเป็นลำคอที่ชุ่มชื่นขึ้นมา เมื่อจางมี่จิงเห็นข้ากลืนยาลูกกลอนลงไปแล้ว เขาจึงนำน้ำในกามาให้ข้าดื่มตามลงไปอีกที
“นอนพักเสียเถิด ข้าต้องไปแล้ว”
“ท่านพี่จะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?”
“สำนักโอสถของข้า”
เมื่อจางมี่จิงกล่าวจบเขาก็ค่อยๆลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากเรือนของข้าไปอย่างเงียบๆ ส่วนข้าเมื่อได้กินยาลูกกลอนนั่นเข้าไปแล้วอาการหนาวสั่นพลันค่อยๆมลายหายไปทีละเล็กทีละน้อย
ตอนนี้ดวงตาของข้าเริ่มกลับมามองเห็นอีกครั้งก่อนที่ข้าจะผล็อยหลับไปเพราะความเพลียของอาการไอเย็นล้นทะลักร่างกาย
ยามอิ่ว[1]
นานเท่าใดไม่รู้ที่ข้าผล็อยหลับไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่จิวซิ่งมาปลุกข้าให้ไปกินข้าวกับครอบครัว ข้ารู้สึกง่วงงุนมากเสียจนแทบจะหลับไปอีกรอบ แต่ก็ถูกจิวซิ่งลากไปแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน นางค่อยๆลากข้าให้ไปที่เรือนใหญ่ของจวน
แสงไฟสลัวจากตะเกียงส่องแสงเรียงรายไปตามทางเดิน ท้องฟ้ายามโพล้เพล้สวยงามราวกับท้องฟ้าจากสองโลกกำลังเชื่อมต่อถึงกัน
สีชมพูเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีของท้องฟ้ายามรัตติกาล เสียงของจิ้งหรีดตัวน้อยเริ่มพากันส่งเสียงเจื้อยแจ้วเป็นระยะ
ข้ามองสำรวจไปตามทางเดินทั้งสองข้างทาง มีต้นไม้และดอกไม้ปลูกเรียงรายไว้ตามทางไม่เยอะนัก
“ถึงแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
เสียงของจิวซิ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะที่ข้ากำลังสำรวจทาง จิวซิ่งส่งสายตาให้ข้ารีบเข้าไปในเรือนใหญ่ทันทีพร้อมๆกับที่ประตูของเรือนถูกเปิดออกมา
“อ้าว! หลินเอ๋อร์มาถึงแล้วหรือ?”
เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้นหลังประตูที่ถูกเปิดออก
“ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
“มาๆ พ่อกำลังรอเจ้าอยู่พอดี”
ชายวัยกลางคนพูดขึ้นพร้อมกับจูงมือข้าเข้าไปด้านใน กลิ่นหอมของอาหารคาวหวานนานาชนิดทำให้ข้าน้ำลายสอ เนื่องด้วยวันนี้มีแต่อาหารที่เป็น'เนื้อสัตว์'มากมายนั่นเอง
ในช่วงที่ข้าเก็บตัวพักฟื้นนั้นข้าไม่ได้มีเนื้อสัตว์ตกถึงท้องเลย มีแต่ข้าวต้ม โจ๊ก สมุนไพร สมุนไพร แล้วก็สมุนไพร
“แล้วพวกท่านพี่ไม่มากินพร้อมกับพวกเราหรือเจ้าคะ?”
“พี่ใหญ่ของเจ้าไปช่วยฝึกทหารที่เข้ามาใหม่ ส่วนพี่รองก็เข้าสำนักไปแล้ว”
“อ๋อ...”
“มัวรอช้าอยู่ไยเล่า? รีบกินกันเถิด อาหารวันนี้มีแต่ของน่าอร่อยทั้งนั้น”
เสียงไพเราะของหญิงงามปานล่มเมืองคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
ข้าค่อยๆหันไปตามเสียงของนาง นางนั่งอยู่ตรงข้ามกับข้า ถึงจะมีริ้วรอยตามกาลเวลาแต่ก็ไม่อาจปกปิดความงามของนางได้ สตรีท่านนี้คงเป็นแม่ของร่างนี้กระมัง?
“เจ้ามองหน้าข้าไปก็ไม่ทำให้เจ้าอิ่มหรอกนะ หลินเอ๋อร์” เสียงไพเราะเอ่ยขึ้นปนขบขันเล็กน้อย
“ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าจะรีบกินเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
“กินได้แต่อย่ารีบ ประเดี๋ยวจะติดคอเอา” ผู้เป็นพ่อเอ็ดเสียงดุ
“เจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงรับคำ เด็กสาวก็เริ่มกินอาหารทันที เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของคนทั้งสามต่างดังเจื้อยแจ้วไปทั่วบริเวณ เสียงเหล่านั้นพาลให้ผู้คนที่ได้ยินอดที่จะยิ้มตามเสียไม่ได้
สำนักโอสถเยว่ชื่อ
ตึก...ตึก...
เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังกระทบกับพื้นโถงทางเดินยามค่ำคืนไปทั่วบริเวณ เงาของเขาทอดยาวไปตามทางเดิน เขาเดินขึ้นบันไดและเดินอ้อมเข้าไปด้านหลังหอหนังสือของสำนัก
เสียงฝีเท้าค่อยๆหยุดลงพร้อมกับที่มือเรียวยาวของเขาสัมผัสเข้ากับบานประตูหิน
ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็สว่างวาบขึ้นมาในพริบตาก่อนที่ประตูหินจะค่อยๆเปิดออกทีละน้อย เขาเริ่มเดินต่อไปตามทางด้านในของประตูหินอีกครั้ง เมื่อเดินไปได้พักหนึ่งก็เจอกับกลไกของประตูไม้แกะสลักลวดลายงดงาม
เขาค่อยๆเริ่มแก้กลไกเหล่านั้นอีกครั้งโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ ราวกับว่าเขาเจอกลไกเหล่านี้มาหลายครั้งหลายคราแล้ว เมื่อแก้กลไกเสร็จ ประตูไม้แกะสลักจึงค่อยๆ เปิดออกมาพร้อมกับรัศมีแรงกดดันมหาศาลที่ปล่อยออกมาจากด้านใน
ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มทรุดลงโดยไม่ทันตั้งตัวก่อนที่แรงกดดันจะสลายไปทีละน้อย
“ขอโทษทีๆ ข้าลืมตัวไปหน่อย”
เสียงแหบพร่าของชายชราดังขึ้นพร้อมกับหัวเราะขบขันไปด้วย ชายหนุ่มมองชราด้วยสีหน้าถมึงทึงทันที
“ข้าเข้ามาภายในนี้หลายรอบก็เห็นท่านพร่ำบอกกับข้าทุกครั้งว่า ‘ลืมตัว’”
“เอาหน่า มันก็แค่คำทักทายจากข้าเท่านั้นเอง”
“แต่ไอเซียนของท่านจะฆ่าข้าเอานะขอรับ ท่านเจ้าสำนัก”
“เรียกข้าว่าท่านเจ้าสำนักเช่นนี้ เจ้าช่างทำตัวห่างเหินใส่ข้ายิ่งนัก”
ชายชราพูดตัดพ้อและทำท่าทางราวกับจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ
ท่านอายุหมื่นกว่าปีแต่ท่านกลับทำท่าทีดุจเด็กชายเยี่ยงนี้หรือ...
“เอาล่ะ ข้าจะเข้าเรื่องแล้วนะ เยว่เล่อ...ไม่สิ จางมี่จิง”
เมื่อพูดจบชายชราก็กระตุกยิ้มขึ้นมาหนหนึ่งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่จริงจังและแผ่รัศมีความกดดันออกมาเป็นระลอก
“เชิญท่านพูดขอรับ”
“อาการของน้องสาวเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง มีอันใดเริ่มผิดแผกไปหรือไม่?”
“ไม่มีขอรับ จะมีก็เพียงอาการแพ้น้ำกับอาการที่ไวต่อสภาพอากาศรอบตัวของนางขอรับ”
“อืม...เช่นนี้ก็ลำบากเสียหน่อย จะให้นางอยู่ในอากาศที่เย็นจัดหรือร้อนจัดก็ไม่ได้ด้วยสินะ”
“เป็นอย่างที่ท่านกล่าวขอรับ”
หัวข้อในการสนทนาของคนทั้งคู่เริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะ ชายชรานั่งลูบเคราของตนไปมาราวกับกำลังขบคิดอะไรอยู่ภายในใจ
จางมี่จิงเองก็มีสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นมากกว่าเดิม ทั้งสองต่างเงียบลงไปพร้อมๆกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเอ่ยเปิดบทสนทนาต่อ
“คำสาปนี้ส่งผลร้ายแรงกับนาง แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางถึงกับตาย”
“แค่นางเจ็บป่วยแบบนี้ก็ทำให้นางลำบากมากพอแล้วนะขอรับ”
จางมี่จิงเอ่ยเสียงสั่น
“เอาหน่า...ข้าก็พยายามช่วยเจ้าอยู่ ถือเสียว่าเป็นการไถ่โทษที่หลานสาวของข้าไปลงคำสาปใส่นาง”
“แต่มันก็เป็นความผิดของเจ้าสี่ที่ไปล่วงเกินหลานสาวของท่านด้วยนะขอรับ...”
“เอาเถิด ข้าจะไม่ละทิ้งแม่นางน้อยผู้นี้เป็นแน่ ถ้าหากนางมีอาการผิดแผกไปขอเพียงเจ้ารีบมาแจ้งข้า ข้าจะรีบไปรักษานางทันที”
“ขอบคุณขอรับ ท่านเจ้าสำนัก”
เรียกข้าว่าอาจารย์ดังเดิมเถิดหนา จางมี่จิง" ชายชรากล่าวจบพร้อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“ขอรับ อาจารย์”
ทั้งคู่มองหน้ากันเล็กน้อย สีหน้าของทั้งสองต่างไม่สู้ดีกันเสียเท่าไหร่ เป็นเพราะต่างคนต่างก็รู้สึกผิดต่อกันนั่นเอง
เมื่อเสร็จจากการร่วมโต๊ะอาหารกับท่านพ่อและท่านแม่ ข้าจึงขอตัวกลับเรือนเพื่อไปพักผ่อน ในระหว่างทางที่เดินกลับเรือนนั้น ข้าและพี่จิวซิ่งต่างพูดคุยเรื่องต่างๆอย่างสนุกสนาน เราทั้งคู่ต่างมีอะไรที่คล้ายๆกันอยู่หลายส่วน
หลังจากพูดคุยกันไปสักพักสายตาของข้าก็เหลือบไปเห็นพระจันทร์ของคืนนี้ พระจันทร์ของที่นี่ดวงกลมโตสว่างสุกใสเช่นนี้ทุกคืนเลยหรือไม่?
“พี่จิวซิ่ง พระจันทร์ดวงนี้กลมโตสว่างสุกใสเช่นนี้ทุกคืนเลยหรือ?”
“ไม่ทุกคืนหรอกเจ้าค่ะ บางคืนก็เป็นครึ่งเสี้ยว บางคืนก็เป็นเดือนมืด บางคืนก็เป็นเดือนเพ็ญอย่างเช่นคืนนี้เจ้าค่ะ แต่พระจันทร์จะกลมโตเสมอเพราะที่ที่พวกเราอยู่นั้น ใกล้กับเขตที่เหล่าเทพเซียนอาศัยอยู่เจ้าค่ะ”
“อ๋อ เป็นเช่นนี้เอง”
เด็กสาวพยักหน้ารับหลังจากได้ฟังคำตอบของจิวซิ่งที่อธิบายเรื่องขนาดของพระจันทร์ โลกนี้กับโลกเก่าของข้ามันไม่เหมือนกันสินะ?
“คุณหนูรีบกลับเรือนเถิดเจ้าค่ะ ลมยามค่ำคืนไม่ดีต่อคุณหนูนะเจ้าคะ”
“ข้าเข้าใจแล้วๆ”
เมื่อสิ้นบทสนทนา เราทั้งคู่จึงรีบมุ่งหน้าไปยังเรือนดอกเหมยสีชาดทันที ร่างของข้าเองก็เริ่มสั่นเทิ้มขึ้นมาเล็กน้อยยามที่สายลมพัดผ่านร่าง
ถ้าหากไม่รีบกลับ อาการแปลกๆก็คงได้เกิดขึ้นกับร่างนี้อีกเป็นแน่ คิดๆแล้วข้าก็เริ่มหวาดหวั่นเล็กน้อย
-----------------------------------------------------
[1]ยามอิ่ว = 17.00 น. จนถึง 18.59 น.