บทที่ 4 ชื่อต้องห้ามของแซ่จาง

2633 คำ
  เสียงนกร้องสดใสดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เสียงร้องของพวกมันปลุกให้ตัวข้าตื่นจากห้วงนิทรา สายลมเย็นๆบางเบาพัดโชยเอื่อยผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ดวงอาทิตย์กลมโตกำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ายามเช้า เหล่าข้าทาสบริวารต่างวิ่งวุ่นรับผิดชอบต่อหน้าที่ในแต่ละอย่างที่ตนได้รับมา ข้าค่อยๆลุกออกมาจากเตียงอย่างอ้อยอิ่ง ในใจคิดเพียงอยากจะหลับต่ออีกสักหน่อยแต่คงได้รับรางวัลเป็นคำบ่นจากปากของจิวซิ่งเป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นข้าจึงพยายามถ่างตาไม่ให้หลับไปอีกหน   บานประตูเรือนถูกเปิดออกอย่างเบามือ เป็นจิวซิ่งที่ยกชุดอ่างล้างหน้ามานั่นเอง นางค่อยๆวางอ่างล้างหน้าอย่างเบามือบนโต๊ะไม้ข้างหัวเตียงก่อนจะค่อยๆเทน้ำออกจากเหยือกใส่ลงไปในอ่าง ข้าลุกเดินไปยังอ่างล้างหน้าทันทีพร้อมกับค่อยๆนำมือทั้งสองวักน้ำล้างหน้า จิวซิ่งยื่นผ้าซับหน้ามาให้อย่างทุกเคยก่อนจะออกไปเตรียมสำรับอาหารเช้าให้ข้า “อากาศดีเยี่ยงนี้...อยากจะออกไปวิ่งเล่นเสียจริง” ข้าพูดพร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกยาว แหงล่ะ ขืนออกไปวิ่งในสภาพร่างกายเช่นนี้คงได้เป็นลมล้มพับกลางสวนเป็นแน่ คิดแล้วก็อนาถตัวเองเหลือเกิน  แอ๊ด... “สำรับได้แล้วเจ้าค่ะคุณหนู” จิวซิ่งดันบานประตูให้เปิดออกพร้อมกับยกเอาสำรับอาหารเช้าเข้ามาด้านใน นางมุ่งหน้าไปที่โต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งของมุมเรือน ข้าไม่รอช้าจึงเดินตามนางไปอย่างรวดเร็ว จิวซิ่งจัดวางสำรับอาหารบนโต๊ะจนเสร็จเรียบร้อยก่อนที่นางจะขอตัวไปต้มน้ำอาบให้ข้าเมื่อกินอาหารเสร็จ ข้านั่งลงบนเบาะรองนั่งนุ่มนิ่มก่อนจะเริ่มคีบอาหารสามอย่างเข้าปากทันที หลังจากวันนั้นข้าก็อยู่บนโลกนี้มาร่วมหกวันเข้าไปแล้ว ร่างกายของเด็กน้อยผู้นี้ก็เริ่มฟื้นฟูอาการเจ็บป่วยอย่างรวดเร็ว...นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดีในการเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย หากข้าหายดีเมื่อใดข้าจะไปวิ่งรอบจวนสกุลจางให้ดู หึๆ   เวลาผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วยาม[1] หลังจากที่ข้าจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อย ข้าก็พลันนึกถึงเรื่องที่คุยกับจิวซิ่งเมื่อวันก่อนขึ้นมา ข้ากำลังจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากนางแต่ก็ถูกพี่ใหญ่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน แต่ข้าก็ได้เห็นสีหน้าของพี่ใหญ่ว่าเขาโกรธเกรี้ยวพี่สี่มากเพียงใด สิ่งที่ข้าสงสัยก็มีเพียงว่าทำไมชื่อของพี่สี่ถึงได้กลายเป็นชื่อต้องห้ามของแซ่จาง? เพียงเพราะพี่สี่พยายามจะฆ่าข้าถึงกับต้องโดนคนสกุลนี้แบนออกจากตระกูลเลยหรืออย่างไร? พวกคนโบราณนี่เข้าใจยากเสียจริง   ไม่นานนักข้าก็เห็นจิวซิ่งเดินเข้ามาเพื่อที่จะเอาของว่างพร้อมน้ำชามาให้ข้า ในขณะที่จิวซิ่งกำลังรินน้ำชาให้ข้าอยู่นั้นข้าจึงกระตุกชายเสื้อของนางเบาๆ นางหันมามองข้าด้วยสายตาสงสัย “มีอันใดหรือเจ้าคะ?” “เรื่องเมื่อวันก่อน...ที่ถูกพี่ใหญ่ขัดจังหวะเอาเสียก่อนน่ะ!” จิวซิ่งอ๋อทันทีที่ข้าพูดถึงบทสนทนาเมื่อคราวก่อน นางหันไปทางซ้ายและขวาก่อนจะค่อยๆโน้มตัวลงมาให้ใกล้กับหูของข้า นางยังไม่ลืมที่จะเอามือของตนมาป้องปากของนางเพื่อเป็นการกั้นเสียงไม่ให้ดังมาก แต่นางคงไม่รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรสักนิดเลย... “เรื่องคุณชายสี่หรือเจ้าคะ?” นางกระซิบถามข้า “อื้อ นั่นแหละ” และข้าเองก็บ้าจี้กระซิบตอบนางไป.... “คุณหนูยังคาใจเรื่องใดอยู่หรือเจ้าคะ?” “ก็ที่ว่า...เหตุใดชื่อของพี่สี่ถึงได้เป็นชื่อต้องห้ามของแซ่จางอย่างไรเล่า” “คุณหนูจำไม่ได้หรือเจ้าคะ? เหตุการณ์ในวันนั้น...” “...” ข้าส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ  เมื่อจิวซิ่งเห็นดังนั้นนางจึงได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความลำบากใจก่อนที่จะตัดสินใจเล่าเรื่องนั้นขึ้นมาอีกครั้ง “สาเหตุที่ชื่อของคุณชายสี่กลายเป็นชื่อต้องห้ามของสกุลจาง เป็นเพราะคุณชายสี่มีเจตนาฆ่าคุณหนูอย่างไรเล่าเจ้าคะ” “สาเหตุมาจากเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวจริงๆหรือ?” “มากกว่านั้นจิวซิ่งก็ไม่ทราบแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อข้าได้ยินคำตอบของจิวซิ่ง มันก็ทำให้ข้านั่งคิดคำถามภายในใจขึ้นมาว่า เป็นพี่น้องกันแต่จะฆ่าจะแกงกันลงได้อย่างไร? เป็นสายเลือดเดียวกันอย่างไรเสียก็ต้องมียั้งมือกันไว้บ้างมิใช่หรือ? “สายเลือดเดียวกันฆ่ากันได้ลงคอถึงเพียงนี้เชียว?” ข้าพึมพำกับตัวเองขึ้นมาเบาๆ แต่ก็ไม่รอดพ้นหูของจิวซิ่ง เมื่อนางได้ยินก็ถึงกับลุกลี้ลุกลนพยายามจะอธิบายบางอย่างให้ข้าได้เข้าใจทันที “ยังมีความจริงอีกเรื่องที่คุณหนูยังไม่รู้เจ้าค่ะ” “ความจริงหรือ?” “อันที่จริงคุณชายสี่นั้น...ไม่ใช่พี่น้องทางสายเลือดของคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ คุณชายสี่เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ฟูเหรินและนายท่านอุปการะมาเลี้ยงดูเจ้าค่ะ” “เด็กกำพร้า...? อุปการะมาจากที่ใด?” “ถูกอุปการะมาจากสกุลขุนนางที่เป็นเพื่อนสนิทกับนายท่าน สกุลหยางเจ้าค่ะ” “แล้วสกุลของขุนนางหยางเกิดอันใดขึ้นกับพวกเขากันเล่า?” “จิวซิ่งได้ยินมาว่าขุนนางแซ่หยางถูกใส่ร้ายเรื่องตั้งตนเป็นกบฏต่อฮ่องเต้เจ้าค่ะ หลังจากนั้นจึงมีราชโองการมาจากฮ่องเต้ว่าขุนนางแซ่หยางต้องถูกปลิดชีพทั้งตระกูลเจ้าค่ะ” “แล้วฟูเหรินของขุนนางหยางล่ะ? นางทำอย่างไร?” “หยางฟูเหรินในปีนั้น นางได้พาคุณชายสี่หนีตายและมาขอความช่วยเหลือจากนายท่านและจางฟูเหรินเจ้าค่ะ แต่ในระหว่างทางที่กว่าจะมาถึงจวนสกุลจางนั้น...หยางฟูเหรินบาดเจ็บสาหัสมากเกินไปจนมิอาจทนพิษบาดแผลไหว จึงสิ้นลมจากไปอย่างสงบเจ้าค่ะ...” “ที่แท้...เรื่องก็เป็นเช่นนี้เองหรือ...” ข้าถอนหายใจออกมาด้วยความเวทนาสงสาร ในใจลึกๆก็ได้แต่คิดว่าพี่สี่คงไม่มีเจตนาที่จะฆ่าข้าจริงๆหรอก “แล้วตอนนี้พี่สี่อยู่ที่ใด?” เมื่อข้านึกถึงพี่สี่จึงได้แต่สงสัยว่าพี่สี่ในตอนนี้อยู่ที่ใด “อยู่ที่คุกของสกุลจางเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่รู้แน่ชัดว่าอยู่ที่คุกใด รู้เพียงแต่อีกห้าปีหลังจากนี้คุณชายสี่ต้องเดินทางไปกราบอาจารย์ที่สำนักฝึกวิชาเจ้าค่ะ” “สำนักฝึกวิชา? เซียน!?” “เอ่อ...สำนักฝึกวิชาไม่ใช่ที่ที่คนจะเป็นเซียนไปฝึกหรือบำเพ็ญตบะกันหรอกเจ้าค่ะ” จิวซิ่งเอ่ยออกมาอย่างเนิบนาบ “แล้วอยู่ที่ใดกันเล่า ข้าเองก็อยากจะเป็นเซียนยิ่งนัก คิดแล้วก็ตื่นเต้นเสียจริง!” ข้าดีใจจนเก็บอาการเอาไว้ไม่มิด   ที่โลกเดิมนั้นข้าโปรดปรานนิยายแนวเทพเซียนและกำลังภายในเป็นที่สุด ว่ากันว่าหากได้เป็นเซียนแล้ว อายุขัยก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  จนกลายเป็นอมตะใช่หรือไม่? วันหลังข้าจะลองขอท่านพ่อดูเสียหน่อยแล้วกัน “เรื่องนี้...จิวซิ่งก็จนปัญญาที่จะตอบเจ้าค่ะ” จิวซิ่งเอ่ยตอบมาด้วยความรู้สึกหมดปัญญาที่จะอธิบาย นางรู้เพียงแค่เรื่องทั่วๆไปของเซียน แต่นางไม่ได้รู้ลึกถึงสถานที่ฝึกตนของเหล่าเซียน ข้าและจิวซิ่งต่างพูดคุยกันต่อด้วยเรื่องอื่นๆมากมายจนกระทั่งนางขอตัวไปทำงานของตนต่อให้เสร็จ หลังจากที่นางออกจากห้องนอนของข้าไปแล้ว ข้าจึงเลือกที่จะกลิ้งตัวนอนไปมาบนเบาะรองนั่ง  ก่อนจะทอดสายตาไปยังบานหน้าต่างบานใหญ่   ท้องฟ้าสดใสยามเช้า ฝูงนกบินไปมาบนนภา สายลมอ่อนๆค่อยๆพัดโชยมาเป็นบางช่วง วันนี้อากาศดี ไปเที่ยวสวนดอกเหมยดีกว่า! เมื่อคิดได้ดังนั้นข้าจึงไม่รอช้ารีบดีดตัวเองขึ้นมา ก่อนจะตัดสินใจ วิ่งไปยังสวนดอกเหมยทันที แต่ก่อนไปข้าได้แวะไปหาจิวซิ่งที่อยู่ใน โรงครัวเพื่อบอกกล่าวกับนางว่าข้าจะไปที่ใด หลังจากนั้นจึงออกวิ่ง มุ่งตรงไปสู่สวนดอกเหมยทันที แต่กว่าจะมาถึงก็กินเวลาไปเป็นเวลาหลายก้านธูปเช่นกัน ข้าวิ่งไปไม่ถึงหนึ่งลี้[2]ก็หอบแฮกขึ้นมาเป็นระยะ ดังนั้นข้าจึงวิ่งไปพักไปวิ่งไปพักไปจนกระทั่งมาถึงสวนดอกเหมยแห่งนี้นี่แหละ โถ...สงสัยข้าคงต้องออกกำลังกายเสียหน่อยแล้วกระมัง ข้าหยุดพักให้หายเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปนั่งเล่นตรงศาลาริมสระบัวทันที ก็แหม...ผู้ใดจะไปรู้กันเล่าว่าเมื่อเช้าอากาศแจ่มใสจะแปรเปลี่ยนเป็นอากาศที่ร้อนระอุได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ใครจะไปตรัสรู้กันเล่าว่าพอสายๆแดดมันจะแรงหนักขนาดนี้ แต่ก็ยังโชคดีที่สวนดอกเหมยนั้นร่มรื่นในระดับหนึ่งบวกกับอยู่ติดสระบัวด้วยแล้วอากาศที่นี่เลยเย็นกว่าที่ใด   ข้าเข้ามายังศาลาริมสระแล้วจึงนั่งลงทันทีโดยไม่รีรอ ข้านั่งจ้องปลาทั้งหลายที่แหวกว่ายอยู่ในสระบัว แต่ละตัวนั้นอวบอ้วนอุดมสมบูรณ์ดีเสียเหลือเกิน พอเห็นพวกมันแล้วข้าก็พาลอยากกินปลาย่างเกลือเป็นอาหารกลางวันเสียจริง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกปลามันอ่านความคิดของข้าออกหรือเพราะความบังเอิญกันแน่ จากที่ตรงหน้าข้าเคยมีฝูงปลาทั้งหลายแหวกว่ายในน้ำไปมา บัดนี้ละแวกศาลาริมสระน้ำที่ข้านั่งเล่นอยู่นั้น พวกปลาได้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที เอ่อ...ข้าไม่ได้หมายความว่าข้าจะจับพวกเจ้ากินเป็นอาหารกลางวันเสียหน่อยนะ... “เฮ้อ...” ข้าถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย ที่โลกแห่งนี้แทบไม่มีอะไรให้ข้าทำเลยสักนิด ถ้าเป็นโลกเก่าข้าคงไปเรียนหนังสือ หรือไม่ก็เล่นอินเทอร์เน็ตสินะ อยู่ที่นี่ถ้าไม่ชมสวน เย็บปักถักร้อย หรือนั่งดีดพิณอย่างอื่นข้าล้วนไม่มีสิทธิ์แล้ว แต่ข้าสนใจการบำเพ็ญเป็นเซียนเสียจริง ข้าอยากบำเพ็ญตบะให้แก่กล้าแล้วล้มปีศาจทีละตัวสองตัวก็คงจะบันเทิงใจไม่น้อยเลยใช่หรือไม่เล่า? เห็นว่าพี่รองของข้าท่านเป็นนักปรุงโอสถ แต่ก็ไม่รู้ว่าท่านเป็นเซียนหรือไม่นี่สิ เอาไว้ให้พี่รองกลับมาแล้วค่อยถามก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ข้าคงต้องหาข้อมูลมาประดับสมองอันน้อยนิดของข้าเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องมาหน้าแหกเอาทีหลัง   จวนสกุลจางมีห้องหนังสือหรือไม่? ไฟแห่งการอยากรู้อยากเห็นของข้ามันกำลังพลุ่งพล่าน! ถ้าเป็นถึงขุนนางหรือท่านแม่ทัพล่ะก็ อย่างน้อยๆก็ต้องมีห้องหนังสือเป็นแน่! แต่ข้าไม่รู้ทางไปหรอกนะ สงสัยต้องให้จิวซิ่งช่วยข้าเสียหน่อยแล้ว เมื่อข้านึกถึงจิวซิ่ง ข้าจึงไม่รอช้ารีบวิ่งไปหานางที่ทำงานอยู่ในโรงครัวทันที แต่อนิจจัง ข้าไม่รู้ว่าเป็นเพราะข้านั้นตัวสั้นหรือเป็นเพราะชุดกระโปรงนี่มันยาวเกินไปกันแน่ ข้าวิ่งโดยที่ลืมไปว่าชุดที่ข้าใส่อยู่นั้นมันรุ่มร่ามและยาวสุดๆ จนข้าเผลอเหยียบชายกระโปรงตัวเองจนล้มหน้าคะมำ อา...แต่ยังโชคดีที่ข้ายังไม่ออกจากเขตสวนดอกเหมย เลยทำให้ไม่มีผู้ใดพบเห็นกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่...ล่ะมั้ง? “อุ๊บ! ฮ่าๆๆๆ” “!?” เสียงหัวเราะอันนุ่มทุ้มดังลอยมาตามสายลม ข้าทั้งตกใจทั้งอายที่รู้ว่ายังมีคนอีกหนึ่งคนอยู่ในสวนนี้นอกจากข้า ข้ารีบหันไปตามเสียง หัวเราะที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง แต่หันซ้ายแลขวาแล้วนั้นข้าก็ยังไม่พบผู้ใด อย่าบอกนะว่าข้าโดนผีสางมาหลอกหลอนตอนกลางวันแสกๆ?  เฮ้! ที่โลกยุทธภพมีผีด้วยหรือ!? “ข้างบน แม่นางน้อย” ข้าเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน...อะไร? ท้องฟ้า? ท้องฟ้าพูดได้หรือ? “ข้ามิใช่ท้องฟ้านะแม่นาง ฮ่าๆๆๆ”   ปึด! ข้ารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเส้นเลือดตรงขมับของตนปูดขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้... “เจ้า! เจ้าอยู่ที่ใด? ออกมานะ!” “บนต้นเหมย แม่นางน้อย” สิ้นเสียงตอบรับจากผู้บุกรุกปริศนา ข้าก็หันมองไปบนต้นเหมยทันที ข้าเจอ...เอ่อ...นกกระเรียน?   “นกกระเรียนเองหรอกหรือ? ข้าก็คิดว่ามีใครบุกรุกสวนของข้าเสียอีก เสียเวลาชะมัดเลย” ข้าทำหน้าผิดหวังขึ้นมา สงสัยว่าข้าคงหิวจนหลอนไปแล้วกระมัง “นี่! เดี๋ยวเถอะยัยก้อนแป้ง ประเดี๋ยวข้าจะจับเจ้าถ่วงน้ำเสียเลยดีหรือไม่?” เจ้านกกระเรียนที่เกาะบนต้นเหมยรู้สึกไม่พอใจกับสีหน้าของเด็ก น้อยคนนี้ที่แสดงออกมาใส่มัน มันจึงแหกปากโวยวายเสียงดังลั่นไป ทั่วสวนดอกเหมยทันที “น่ารำคาญชะมัด เจ้านกกระเรียนบ้านี่!” มือข้าไม่นิ่งดูดายรีบควานหาก้อนหินขึ้นมาปาใส่นกกระเรียนทันที   บุกรุกพื้นที่ของคนอื่นไม่พอ ยังจะมาแหกปากใส่ข้าอีก! ดี! ข้าจะได้จับเจ้าไปตุ๋นกินแทนปลาในสระบัวเสียเลย! “โอ๊ย! ข้าเจ็บนะนังหนู! หยุดปาหินใส่ข้าเดี๋ยวนี้!” นกกระเรียนรีบเอาปีกของตนขึ้นมาป้องกันก้อนหินที่เด็กสาวปา ขึ้นมาทันที ข้าเจ็บนะ! “ออกไปเดี๋ยวนี้นะเจ้านกปีศาจ!” “หา?” นกปีศาจ? ข้าน่ะรึ? มันจะมากไปเกินแล้วนะ! ทันใดนั้นโทสะของนกกระเรียนตัวนี้พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บังอาจนักที่กล่าวหาว่าข้าเป็นนกปีศาจ! สงสัยว่าข้าจะต้องสั่งสอนนังเด็กไร้มารยาทผู้นี้เสียแล้ว   ทันใดนั้นแสงประหลาดมากมายค่อยๆล้อมรอบร่างของนกกระเรียน นกกระเรียนเองก็ค่อยๆบินออกมาจากต้นเหมยที่มันเคยไปเกาะอยู่ ก่อนที่แสงมากมายจะค่อยๆสว่างจ้ามากขึ้นจนเลือนหายไป จากที่เคยเป็นร่างของนกกระเรียน ตอนนี้กลับกลายเป็นร่างของคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนกระบี่ที่มีลวดลายวิจิตรงดงาม ร่างนั้นงามสง่าเสียจนดูไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ผมสีน้ำหมึกปลิวไสวไปมาชวนน่ามอง งดงาม...งดงามราวภาพวาด... เด็กสาวตัวน้อยยืนนิ่งอึ้งไป นกกระเรียนแปลงร่างเป็นคน? ข้าฝันไปรึเปล่า? “เจ้ากล้าล่วงเกินข้าหรือ เจ้าก้อนแป้ง?” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มปนโทสะออกมา เสียงของเขาชวนน่าฟัง  และทำให้คนฟังเคลิบเคลิ้มไปกับน้ำเสียง “ท่านคือ...” “ผู้รับใช้ของเทพเซียนบรรพกาล นามของข้าคือฟางเจียวเฟย”    ----------------------------------------------------   [1] 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง [2] 1 หลี่ = 500 เมตร      
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม