เสียงนกร้องสดใสดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เสียงร้องของพวกมันปลุกให้ตัวข้าตื่นจากห้วงนิทรา สายลมเย็นๆบางเบาพัดโชยเอื่อยผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
ดวงอาทิตย์กลมโตกำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ายามเช้า เหล่าข้าทาสบริวารต่างวิ่งวุ่นรับผิดชอบต่อหน้าที่ในแต่ละอย่างที่ตนได้รับมา ข้าค่อยๆลุกออกมาจากเตียงอย่างอ้อยอิ่ง ในใจคิดเพียงอยากจะหลับต่ออีกสักหน่อยแต่คงได้รับรางวัลเป็นคำบ่นจากปากของจิวซิ่งเป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นข้าจึงพยายามถ่างตาไม่ให้หลับไปอีกหน
บานประตูเรือนถูกเปิดออกอย่างเบามือ เป็นจิวซิ่งที่ยกชุดอ่างล้างหน้ามานั่นเอง นางค่อยๆวางอ่างล้างหน้าอย่างเบามือบนโต๊ะไม้ข้างหัวเตียงก่อนจะค่อยๆเทน้ำออกจากเหยือกใส่ลงไปในอ่าง
ข้าลุกเดินไปยังอ่างล้างหน้าทันทีพร้อมกับค่อยๆนำมือทั้งสองวักน้ำล้างหน้า จิวซิ่งยื่นผ้าซับหน้ามาให้อย่างทุกเคยก่อนจะออกไปเตรียมสำรับอาหารเช้าให้ข้า
“อากาศดีเยี่ยงนี้...อยากจะออกไปวิ่งเล่นเสียจริง”
ข้าพูดพร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกยาว แหงล่ะ ขืนออกไปวิ่งในสภาพร่างกายเช่นนี้คงได้เป็นลมล้มพับกลางสวนเป็นแน่ คิดแล้วก็อนาถตัวเองเหลือเกิน
แอ๊ด...
“สำรับได้แล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
จิวซิ่งดันบานประตูให้เปิดออกพร้อมกับยกเอาสำรับอาหารเช้าเข้ามาด้านใน นางมุ่งหน้าไปที่โต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งของมุมเรือน ข้าไม่รอช้าจึงเดินตามนางไปอย่างรวดเร็ว
จิวซิ่งจัดวางสำรับอาหารบนโต๊ะจนเสร็จเรียบร้อยก่อนที่นางจะขอตัวไปต้มน้ำอาบให้ข้าเมื่อกินอาหารเสร็จ ข้านั่งลงบนเบาะรองนั่งนุ่มนิ่มก่อนจะเริ่มคีบอาหารสามอย่างเข้าปากทันที
หลังจากวันนั้นข้าก็อยู่บนโลกนี้มาร่วมหกวันเข้าไปแล้ว ร่างกายของเด็กน้อยผู้นี้ก็เริ่มฟื้นฟูอาการเจ็บป่วยอย่างรวดเร็ว...นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดีในการเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย หากข้าหายดีเมื่อใดข้าจะไปวิ่งรอบจวนสกุลจางให้ดู หึๆ
เวลาผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วยาม[1]
หลังจากที่ข้าจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อย ข้าก็พลันนึกถึงเรื่องที่คุยกับจิวซิ่งเมื่อวันก่อนขึ้นมา ข้ากำลังจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากนางแต่ก็ถูกพี่ใหญ่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน แต่ข้าก็ได้เห็นสีหน้าของพี่ใหญ่ว่าเขาโกรธเกรี้ยวพี่สี่มากเพียงใด
สิ่งที่ข้าสงสัยก็มีเพียงว่าทำไมชื่อของพี่สี่ถึงได้กลายเป็นชื่อต้องห้ามของแซ่จาง? เพียงเพราะพี่สี่พยายามจะฆ่าข้าถึงกับต้องโดนคนสกุลนี้แบนออกจากตระกูลเลยหรืออย่างไร? พวกคนโบราณนี่เข้าใจยากเสียจริง
ไม่นานนักข้าก็เห็นจิวซิ่งเดินเข้ามาเพื่อที่จะเอาของว่างพร้อมน้ำชามาให้ข้า ในขณะที่จิวซิ่งกำลังรินน้ำชาให้ข้าอยู่นั้นข้าจึงกระตุกชายเสื้อของนางเบาๆ นางหันมามองข้าด้วยสายตาสงสัย
“มีอันใดหรือเจ้าคะ?”
“เรื่องเมื่อวันก่อน...ที่ถูกพี่ใหญ่ขัดจังหวะเอาเสียก่อนน่ะ!”
จิวซิ่งอ๋อทันทีที่ข้าพูดถึงบทสนทนาเมื่อคราวก่อน
นางหันไปทางซ้ายและขวาก่อนจะค่อยๆโน้มตัวลงมาให้ใกล้กับหูของข้า นางยังไม่ลืมที่จะเอามือของตนมาป้องปากของนางเพื่อเป็นการกั้นเสียงไม่ให้ดังมาก
แต่นางคงไม่รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรสักนิดเลย...
“เรื่องคุณชายสี่หรือเจ้าคะ?” นางกระซิบถามข้า
“อื้อ นั่นแหละ” และข้าเองก็บ้าจี้กระซิบตอบนางไป....
“คุณหนูยังคาใจเรื่องใดอยู่หรือเจ้าคะ?”
“ก็ที่ว่า...เหตุใดชื่อของพี่สี่ถึงได้เป็นชื่อต้องห้ามของแซ่จางอย่างไรเล่า”
“คุณหนูจำไม่ได้หรือเจ้าคะ? เหตุการณ์ในวันนั้น...”
“...” ข้าส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ
เมื่อจิวซิ่งเห็นดังนั้นนางจึงได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความลำบากใจก่อนที่จะตัดสินใจเล่าเรื่องนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
“สาเหตุที่ชื่อของคุณชายสี่กลายเป็นชื่อต้องห้ามของสกุลจาง เป็นเพราะคุณชายสี่มีเจตนาฆ่าคุณหนูอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“สาเหตุมาจากเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวจริงๆหรือ?”
“มากกว่านั้นจิวซิ่งก็ไม่ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อข้าได้ยินคำตอบของจิวซิ่ง มันก็ทำให้ข้านั่งคิดคำถามภายในใจขึ้นมาว่า เป็นพี่น้องกันแต่จะฆ่าจะแกงกันลงได้อย่างไร? เป็นสายเลือดเดียวกันอย่างไรเสียก็ต้องมียั้งมือกันไว้บ้างมิใช่หรือ?
“สายเลือดเดียวกันฆ่ากันได้ลงคอถึงเพียงนี้เชียว?”
ข้าพึมพำกับตัวเองขึ้นมาเบาๆ แต่ก็ไม่รอดพ้นหูของจิวซิ่ง เมื่อนางได้ยินก็ถึงกับลุกลี้ลุกลนพยายามจะอธิบายบางอย่างให้ข้าได้เข้าใจทันที
“ยังมีความจริงอีกเรื่องที่คุณหนูยังไม่รู้เจ้าค่ะ”
“ความจริงหรือ?”
“อันที่จริงคุณชายสี่นั้น...ไม่ใช่พี่น้องทางสายเลือดของคุณหนูหรอกเจ้าค่ะ คุณชายสี่เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ฟูเหรินและนายท่านอุปการะมาเลี้ยงดูเจ้าค่ะ”
“เด็กกำพร้า...? อุปการะมาจากที่ใด?”
“ถูกอุปการะมาจากสกุลขุนนางที่เป็นเพื่อนสนิทกับนายท่าน สกุลหยางเจ้าค่ะ”
“แล้วสกุลของขุนนางหยางเกิดอันใดขึ้นกับพวกเขากันเล่า?”
“จิวซิ่งได้ยินมาว่าขุนนางแซ่หยางถูกใส่ร้ายเรื่องตั้งตนเป็นกบฏต่อฮ่องเต้เจ้าค่ะ หลังจากนั้นจึงมีราชโองการมาจากฮ่องเต้ว่าขุนนางแซ่หยางต้องถูกปลิดชีพทั้งตระกูลเจ้าค่ะ”
“แล้วฟูเหรินของขุนนางหยางล่ะ? นางทำอย่างไร?”
“หยางฟูเหรินในปีนั้น นางได้พาคุณชายสี่หนีตายและมาขอความช่วยเหลือจากนายท่านและจางฟูเหรินเจ้าค่ะ แต่ในระหว่างทางที่กว่าจะมาถึงจวนสกุลจางนั้น...หยางฟูเหรินบาดเจ็บสาหัสมากเกินไปจนมิอาจทนพิษบาดแผลไหว จึงสิ้นลมจากไปอย่างสงบเจ้าค่ะ...”
“ที่แท้...เรื่องก็เป็นเช่นนี้เองหรือ...”
ข้าถอนหายใจออกมาด้วยความเวทนาสงสาร ในใจลึกๆก็ได้แต่คิดว่าพี่สี่คงไม่มีเจตนาที่จะฆ่าข้าจริงๆหรอก
“แล้วตอนนี้พี่สี่อยู่ที่ใด?”
เมื่อข้านึกถึงพี่สี่จึงได้แต่สงสัยว่าพี่สี่ในตอนนี้อยู่ที่ใด
“อยู่ที่คุกของสกุลจางเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่รู้แน่ชัดว่าอยู่ที่คุกใด รู้เพียงแต่อีกห้าปีหลังจากนี้คุณชายสี่ต้องเดินทางไปกราบอาจารย์ที่สำนักฝึกวิชาเจ้าค่ะ”
“สำนักฝึกวิชา? เซียน!?”
“เอ่อ...สำนักฝึกวิชาไม่ใช่ที่ที่คนจะเป็นเซียนไปฝึกหรือบำเพ็ญตบะกันหรอกเจ้าค่ะ”
จิวซิ่งเอ่ยออกมาอย่างเนิบนาบ
“แล้วอยู่ที่ใดกันเล่า ข้าเองก็อยากจะเป็นเซียนยิ่งนัก คิดแล้วก็ตื่นเต้นเสียจริง!” ข้าดีใจจนเก็บอาการเอาไว้ไม่มิด
ที่โลกเดิมนั้นข้าโปรดปรานนิยายแนวเทพเซียนและกำลังภายในเป็นที่สุด ว่ากันว่าหากได้เป็นเซียนแล้ว อายุขัยก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นอมตะใช่หรือไม่? วันหลังข้าจะลองขอท่านพ่อดูเสียหน่อยแล้วกัน
“เรื่องนี้...จิวซิ่งก็จนปัญญาที่จะตอบเจ้าค่ะ”
จิวซิ่งเอ่ยตอบมาด้วยความรู้สึกหมดปัญญาที่จะอธิบาย นางรู้เพียงแค่เรื่องทั่วๆไปของเซียน แต่นางไม่ได้รู้ลึกถึงสถานที่ฝึกตนของเหล่าเซียน
ข้าและจิวซิ่งต่างพูดคุยกันต่อด้วยเรื่องอื่นๆมากมายจนกระทั่งนางขอตัวไปทำงานของตนต่อให้เสร็จ หลังจากที่นางออกจากห้องนอนของข้าไปแล้ว ข้าจึงเลือกที่จะกลิ้งตัวนอนไปมาบนเบาะรองนั่ง ก่อนจะทอดสายตาไปยังบานหน้าต่างบานใหญ่
ท้องฟ้าสดใสยามเช้า ฝูงนกบินไปมาบนนภา สายลมอ่อนๆค่อยๆพัดโชยมาเป็นบางช่วง วันนี้อากาศดี ไปเที่ยวสวนดอกเหมยดีกว่า!
เมื่อคิดได้ดังนั้นข้าจึงไม่รอช้ารีบดีดตัวเองขึ้นมา ก่อนจะตัดสินใจ วิ่งไปยังสวนดอกเหมยทันที แต่ก่อนไปข้าได้แวะไปหาจิวซิ่งที่อยู่ใน โรงครัวเพื่อบอกกล่าวกับนางว่าข้าจะไปที่ใด หลังจากนั้นจึงออกวิ่ง มุ่งตรงไปสู่สวนดอกเหมยทันที
แต่กว่าจะมาถึงก็กินเวลาไปเป็นเวลาหลายก้านธูปเช่นกัน ข้าวิ่งไปไม่ถึงหนึ่งลี้[2]ก็หอบแฮกขึ้นมาเป็นระยะ ดังนั้นข้าจึงวิ่งไปพักไปวิ่งไปพักไปจนกระทั่งมาถึงสวนดอกเหมยแห่งนี้นี่แหละ
โถ...สงสัยข้าคงต้องออกกำลังกายเสียหน่อยแล้วกระมัง
ข้าหยุดพักให้หายเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปนั่งเล่นตรงศาลาริมสระบัวทันที ก็แหม...ผู้ใดจะไปรู้กันเล่าว่าเมื่อเช้าอากาศแจ่มใสจะแปรเปลี่ยนเป็นอากาศที่ร้อนระอุได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
ใครจะไปตรัสรู้กันเล่าว่าพอสายๆแดดมันจะแรงหนักขนาดนี้ แต่ก็ยังโชคดีที่สวนดอกเหมยนั้นร่มรื่นในระดับหนึ่งบวกกับอยู่ติดสระบัวด้วยแล้วอากาศที่นี่เลยเย็นกว่าที่ใด
ข้าเข้ามายังศาลาริมสระแล้วจึงนั่งลงทันทีโดยไม่รีรอ ข้านั่งจ้องปลาทั้งหลายที่แหวกว่ายอยู่ในสระบัว แต่ละตัวนั้นอวบอ้วนอุดมสมบูรณ์ดีเสียเหลือเกิน พอเห็นพวกมันแล้วข้าก็พาลอยากกินปลาย่างเกลือเป็นอาหารกลางวันเสียจริง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกปลามันอ่านความคิดของข้าออกหรือเพราะความบังเอิญกันแน่ จากที่ตรงหน้าข้าเคยมีฝูงปลาทั้งหลายแหวกว่ายในน้ำไปมา บัดนี้ละแวกศาลาริมสระน้ำที่ข้านั่งเล่นอยู่นั้น พวกปลาได้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที
เอ่อ...ข้าไม่ได้หมายความว่าข้าจะจับพวกเจ้ากินเป็นอาหารกลางวันเสียหน่อยนะ...
“เฮ้อ...” ข้าถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
ที่โลกแห่งนี้แทบไม่มีอะไรให้ข้าทำเลยสักนิด ถ้าเป็นโลกเก่าข้าคงไปเรียนหนังสือ
หรือไม่ก็เล่นอินเทอร์เน็ตสินะ อยู่ที่นี่ถ้าไม่ชมสวน เย็บปักถักร้อย หรือนั่งดีดพิณอย่างอื่นข้าล้วนไม่มีสิทธิ์แล้ว
แต่ข้าสนใจการบำเพ็ญเป็นเซียนเสียจริง ข้าอยากบำเพ็ญตบะให้แก่กล้าแล้วล้มปีศาจทีละตัวสองตัวก็คงจะบันเทิงใจไม่น้อยเลยใช่หรือไม่เล่า?
เห็นว่าพี่รองของข้าท่านเป็นนักปรุงโอสถ แต่ก็ไม่รู้ว่าท่านเป็นเซียนหรือไม่นี่สิ เอาไว้ให้พี่รองกลับมาแล้วค่อยถามก็แล้วกัน
แต่ตอนนี้ข้าคงต้องหาข้อมูลมาประดับสมองอันน้อยนิดของข้าเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องมาหน้าแหกเอาทีหลัง
จวนสกุลจางมีห้องหนังสือหรือไม่? ไฟแห่งการอยากรู้อยากเห็นของข้ามันกำลังพลุ่งพล่าน!
ถ้าเป็นถึงขุนนางหรือท่านแม่ทัพล่ะก็ อย่างน้อยๆก็ต้องมีห้องหนังสือเป็นแน่! แต่ข้าไม่รู้ทางไปหรอกนะ สงสัยต้องให้จิวซิ่งช่วยข้าเสียหน่อยแล้ว
เมื่อข้านึกถึงจิวซิ่ง ข้าจึงไม่รอช้ารีบวิ่งไปหานางที่ทำงานอยู่ในโรงครัวทันที แต่อนิจจัง ข้าไม่รู้ว่าเป็นเพราะข้านั้นตัวสั้นหรือเป็นเพราะชุดกระโปรงนี่มันยาวเกินไปกันแน่ ข้าวิ่งโดยที่ลืมไปว่าชุดที่ข้าใส่อยู่นั้นมันรุ่มร่ามและยาวสุดๆ จนข้าเผลอเหยียบชายกระโปรงตัวเองจนล้มหน้าคะมำ
อา...แต่ยังโชคดีที่ข้ายังไม่ออกจากเขตสวนดอกเหมย เลยทำให้ไม่มีผู้ใดพบเห็นกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่...ล่ะมั้ง?
“อุ๊บ! ฮ่าๆๆๆ”
“!?”
เสียงหัวเราะอันนุ่มทุ้มดังลอยมาตามสายลม ข้าทั้งตกใจทั้งอายที่รู้ว่ายังมีคนอีกหนึ่งคนอยู่ในสวนนี้นอกจากข้า ข้ารีบหันไปตามเสียง หัวเราะที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
แต่หันซ้ายแลขวาแล้วนั้นข้าก็ยังไม่พบผู้ใด อย่าบอกนะว่าข้าโดนผีสางมาหลอกหลอนตอนกลางวันแสกๆ?
เฮ้! ที่โลกยุทธภพมีผีด้วยหรือ!?
“ข้างบน แม่นางน้อย”
ข้าเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน...อะไร? ท้องฟ้า? ท้องฟ้าพูดได้หรือ?
“ข้ามิใช่ท้องฟ้านะแม่นาง ฮ่าๆๆๆ”
ปึด!
ข้ารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเส้นเลือดตรงขมับของตนปูดขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้...
“เจ้า! เจ้าอยู่ที่ใด? ออกมานะ!”
“บนต้นเหมย แม่นางน้อย”
สิ้นเสียงตอบรับจากผู้บุกรุกปริศนา ข้าก็หันมองไปบนต้นเหมยทันที ข้าเจอ...เอ่อ...นกกระเรียน?
“นกกระเรียนเองหรอกหรือ? ข้าก็คิดว่ามีใครบุกรุกสวนของข้าเสียอีก เสียเวลาชะมัดเลย”
ข้าทำหน้าผิดหวังขึ้นมา สงสัยว่าข้าคงหิวจนหลอนไปแล้วกระมัง
“นี่! เดี๋ยวเถอะยัยก้อนแป้ง ประเดี๋ยวข้าจะจับเจ้าถ่วงน้ำเสียเลยดีหรือไม่?”
เจ้านกกระเรียนที่เกาะบนต้นเหมยรู้สึกไม่พอใจกับสีหน้าของเด็ก
น้อยคนนี้ที่แสดงออกมาใส่มัน มันจึงแหกปากโวยวายเสียงดังลั่นไป ทั่วสวนดอกเหมยทันที
“น่ารำคาญชะมัด เจ้านกกระเรียนบ้านี่!”
มือข้าไม่นิ่งดูดายรีบควานหาก้อนหินขึ้นมาปาใส่นกกระเรียนทันที
บุกรุกพื้นที่ของคนอื่นไม่พอ ยังจะมาแหกปากใส่ข้าอีก! ดี! ข้าจะได้จับเจ้าไปตุ๋นกินแทนปลาในสระบัวเสียเลย!
“โอ๊ย! ข้าเจ็บนะนังหนู! หยุดปาหินใส่ข้าเดี๋ยวนี้!”
นกกระเรียนรีบเอาปีกของตนขึ้นมาป้องกันก้อนหินที่เด็กสาวปา ขึ้นมาทันที ข้าเจ็บนะ!
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะเจ้านกปีศาจ!”
“หา?”
นกปีศาจ? ข้าน่ะรึ? มันจะมากไปเกินแล้วนะ! ทันใดนั้นโทสะของนกกระเรียนตัวนี้พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
บังอาจนักที่กล่าวหาว่าข้าเป็นนกปีศาจ! สงสัยว่าข้าจะต้องสั่งสอนนังเด็กไร้มารยาทผู้นี้เสียแล้ว
ทันใดนั้นแสงประหลาดมากมายค่อยๆล้อมรอบร่างของนกกระเรียน นกกระเรียนเองก็ค่อยๆบินออกมาจากต้นเหมยที่มันเคยไปเกาะอยู่ ก่อนที่แสงมากมายจะค่อยๆสว่างจ้ามากขึ้นจนเลือนหายไป
จากที่เคยเป็นร่างของนกกระเรียน ตอนนี้กลับกลายเป็นร่างของคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนกระบี่ที่มีลวดลายวิจิตรงดงาม ร่างนั้นงามสง่าเสียจนดูไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ผมสีน้ำหมึกปลิวไสวไปมาชวนน่ามอง
งดงาม...งดงามราวภาพวาด...
เด็กสาวตัวน้อยยืนนิ่งอึ้งไป นกกระเรียนแปลงร่างเป็นคน? ข้าฝันไปรึเปล่า?
“เจ้ากล้าล่วงเกินข้าหรือ เจ้าก้อนแป้ง?”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มปนโทสะออกมา เสียงของเขาชวนน่าฟัง และทำให้คนฟังเคลิบเคลิ้มไปกับน้ำเสียง
“ท่านคือ...”
“ผู้รับใช้ของเทพเซียนบรรพกาล นามของข้าคือฟางเจียวเฟย”
----------------------------------------------------
[1] 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง
[2] 1 หลี่ = 500 เมตร