ฉันตักน้ำใส่ถังใบแล้วใบเล่าจนได้รับสัญญาณมาว่าไฟดับดีแล้ว ฉันจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ขึ้นมา ฉันนั่งพักอยู่ริมสระให้หายเหนื่อยจากการตักน้ำใส่ถังดับไฟเมื่อครู่
ในเวลานี้ฉันก็ได้มีเวลาชมวิวสวยๆของที่นี่แล้ว สระน้ำขนาดใหญ่ที่ประดับไปด้วยดอกบัวสีม่วง หิ่งห้อยน้อยใหญ่ต่างแย่งกันเปล่งแสงสว่างไสว
เสียงของกอไผ่เสียดสีและลู่ไปตามแรงลม วิวทิวทัศน์ท่ามกลางคืนเดือนดับก็ไม่เลว แต่ทว่าฉันกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
"ไม่กลับบ้านหรือสาวน้อย?"
เสียงนุ่มทุ้มสบายหูกล่าวด้วยความเย้าแหย่
"ยังค่ะ ฉันแค่นั่งพักเหนื่อยเฉยๆ แต่ถ้าคุณเจ้าของร้านจะสั่งให้กลับ ฉันจะกลับก็ได้นะคะ"
เมื่อฉันพูดจบ จึงได้ลุกขึ้นมาจากการนั่งบริเวณริมสระน้ำ ฉันปัดฝุ่นที่เกาะบนกระโปรงนักเรียนและจัดแจงทรงผมให้เรียบร้อย หลังจากที่ตอนตักน้ำแบบเอาเป็นเอาตายส่งผลให้ผมของฉันฟูฟ่องดุจราชสีห์ในป่าใหญ่ก็ไม่ปาน
"คุณจะชมวิวที่นี่ไปอีกสักพักผมก็ไม่ว่าอะไรนะ..."
"จริงหรือคะ?"
ฉันมองเขาด้วยสายตาคาดคั้นคำตอบจากเขา แน่นอนว่าฉันชอบที่นี่และรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ฉันจึงอยากใช้เวลาพักเหนื่อยไปกับที่นี่
"คุณจะชมวิวที่นี่ไปตลอดกาลเลยก็ยังได้นะครับ"
"หมายความว่ายังไงคะ?"
ชายร่างสูงโปร่งไม่ตอบคำถามของฉันแต่เขากลับแสยะยิ้มอันเยือกเย็นออกมาเป็นคำตอบแทน
แขนเรียวยาวสองข้างของเขาค่อยๆเอื้อมมาหมายจะคว้าคอเสื้อของฉัน ฉันค่อยๆก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ
"คุณจะทำอะไรคะ!?"
"นำพาวิญญาณกลับสถานเดิม..."
น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบเสียจนน่ากลัว เขากล่าวตอบออกมาด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย ฉันตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าและกลัวผู้ชายคนนี้จนไม่สามารถขยับขาไปได้
มือของเขาค่อยเอื้อมมายังลำคอของฉัน และบรรจงบีบคอของฉันด้วยแรงทั้งหมดของเขา ร่างของฉันดิ้นไปดิ้นมา มือเริ่มแปะป่ายไปมั่วๆอย่างไร้ทิศทาง
ฉันกำลังจะขาดอากาศหายใจ ทว่าชายคนนั้นกลับเหวี่ยงฉันลงไปในสระน้ำอย่างไม่ใยดี ฉันทั้งตกใจและหวาดกลัว ฉันว่ายน้ำไม่เป็น
ร่างเล็กพยายามดิ้นไปดิ้นมาเพื่อหวังว่ามันจะทำให้ตัวเองลอยขึ้นไปได้บ้าง แต่ว่ามันกลับยิ่งทำให้ฉันจมลึกลงมากกว่าเดิม
รากของบัวพากันมาพันไปทั่วทั้งร่าง ยิ่งดิ้นหวังให้หลุดมันก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น อากาศที่มีอยู่น้อยนิดจากการกลั้นหายใจมันกำลังจะหมดลง
จะดิ้นไปมาในน้ำเพื่อหวังให้ตัวของฉันลอยขึ้นไปบ้างไม่มากก็น้อย แต่กลับไม่เป็นผลเลย ฉันจึงท้อและคิดว่าตนต้องตายแน่
ดวงตาของฉันค่อยๆพร่ามัวลงไปเรื่อยๆพร้อมกับสติของฉันที่มันพร้อมจะดับวูบลงได้ทุกที
มันเวรกรรมอะไรของฉันกันเนี่ย!?
ถึงฉันจะกรีดร้องในใจแทบตาย อย่างไรเสียก็ไม่มีใครได้ยิน อากาศหายใจของฉันค่อยๆหมดไปเรื่อยๆจนกระทั่งฉันเริ่มอึดอัดและทรมานไปทั่วร่างกายก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลงและจมดิ่งลงสู่ความมืดมิด
ฉันยังคงจมดิ่งลึกลงไปในความมืดมิดที่อ้างว้าง ในความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุดนั้นมีฉันอยู่เพียงผู้เดียว ฉันรู้สึกหวาดกลัวกับความมืดรอบกาย ความหนาวเย็นยะเยือกเริ่มแผ่ไอเย็นเข้ามาล้ำถึงกระดูก...
หนาวเหลือเกิน...
‘หมิงเอ๋อร์...’
เสียงไพเราะที่คุ้นหูลอยมาตามทาง แต่ทว่ามันกลับไร้ซึ่งวี่แววร่างของเจ้าของเสียงที่กำลังเรียกชื่อของฉัน
‘หมิงเอ๋อร์...’
“เธอคือใคร?” ฉันเอ่ยถามกับเจ้าของเสียงปริศนาออกไป
‘ดีใจเหลือเกินที่ข้าได้เจอเจ้า...ตอนนี้มิเหลือเวลาอีกแล้ว’
“เวลา? เวลาอะไร? เธอเป็นใครกันแน่?”
‘...’
เสียงที่ไร้เงาของผู้เอื้อนเอ่ยกลับเงียบลง ความมืดที่เคยโอบล้อมกายไว้ก็ค่อยๆ เลือนหายไปทีละเล็กทีละน้อย หลังจากที่ความมืดค่อยๆ สลายตัวไปแล้ว ก็ได้ปรากฏภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสบายตา ก้อนเมฆสีขาวดุจปุยฝ้ายมองแล้วรู้สึกนุ่มละมุน นกทั้งน้อยและใหญ่ต่างบินเล่นลมและขับขานบทเพลงอย่างสนุกสนาน
ร่างทั้งร่างของฉันเบาหวิว ราวกับตอนนี้ตนนั้นสามารถที่จะเหาะและลอยได้...ใช่...ลอยได้ เพราะตอนนี้ฉันอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า!
‘ไม่มีเวลาแล้ว เร็วเข้าเถิด’
เมื่อเสียงไร้ซึ่งที่มากล่าวจบ ข้างๆ ตัวของฉันที่กำลังลอยเคว้งคว้างไปมา ก็ได้ปรากฏร่างของดารุณีตัวน้อยผู้มีหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม
‘หมิงเอ๋อร์...รีบไปเร็วเข้าเถิด!’
“ไป? ไปที่ไหน?”
ดารุณีตัวน้อยค่อยๆ ปรายตามองไปยังเรือนหลังหนึ่ง ภายในตัวเรือนได้ปรากฏร่างของเด็กสาวตัวน้อยนอนหายใจรวยรินอยู่
เมื่อฉันตรวจทานลักษณะของเด็กน้อยคนนั้นแล้ว ปรากฏว่ามีลักษณะเหมือนกับร่างโปร่งใสที่ลอยอยู่ข้างๆ ฉัน เพียงแต่วิญญาณดวงนี้ดูโตกว่าเล็กน้อย
“ที่นี่ที่ไหน แล้วจะให้ฉันทำอะไรกับที่นี่?”
ฉันหันไปถามวิญญาณของเด็กสาวปริศนา น้ำเสียงของฉันเต็มไปด้วยความกังวลและความสงสัย
‘สถานที่ของเจ้า ร่างของเจ้า...และบ้านของเจ้า’
“เธอหมายความว่าอะไรกันแน่?”
‘ที่นี่เป็นสถานที่ของเจ้าตั้งแต่แรก ข้าเป็นเพียงวิญญาณที่หลงเข้ามาอาศัยในร่างของเจ้า...’
เด็กสาวตรงหน้าของฉันยังพูดไม่ทันจบประโยคดี จู่ๆ ความอึดอัดและความเจ็บปวดร้าวร้านอย่างรุนแรงภายในอกก็แผลงฤทธิ์ขึ้นมา
ทัศนะการมองเห็นของฉันเริ่มพร่ามัวก่อนที่โลกทั้งใบจะหมุนอย่างรุนแรง และเหมือนกับร่างทั้งร่างกำลังถูกดึงกระชากจากที่สูงลงมายังเบื้องล่างอย่างรวดเร็วก่อนที่ฉันจะกลับเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
เมื่อฉันรู้สึกตัว ฉันพยายามที่จะขยับร่างกายไปมา ความมืดนี้ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าความรู้สึกบนร่างกายของฉันมันขยับเขยื้อนลำบากผิดปกติ ภายในร่างกายรู้สึกร้อนผะผ่าวอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะมีอาการปวดหัวราวกับมันกำลังจะระเบิดแทรกเข้ามา
ฉันไม่สามารถที่จะยกมือขึ้นกุมศีรษะเพื่อนวดหรือหายาแก้ปวดมาบรรเทาอาการให้ทุเลาลงได้ จึงทำได้แต่ตัดใจนอนนิ่งราวกับเป็นผักเป็นปลาก็ไม่ปาน
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ อาการคันแปลกๆ ทั้งตัวก็เริ่มสำแดงฤทธิ์ขึ้นมา ความรู้สึกคันคะเยอไปทั่วทั้งร่างแต่ก็อย่างที่กล่าวไว้เบื้องต้น ฉันไม่สามารถที่จะขยับหรือเกามันได้
“ส่งยาน้ำมาให้ข้า ข้าจะดูแลนางเอง”
เสียงของชายหนุ่มแรกรุ่นนุ่มทุ้มและน่าหลงใหลแว่วมาตามสายลม
“เจ้าค่ะคุณชายรอง”
เมื่อสิ้นเสียงตอบรับที่คาดว่าน่าจะเป็นคนรับใช้ ฉันก็รู้สึกเหมือนกับมีคนเดินเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ
“หลินเอ๋อร์ เจ้าช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน”
มือหนาเอื้อมมือเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ แต่ฉันไม่มีแรงมากพอที่จะหลบหลีกจากการสัมผัสของเขา
ชายหนุ่มค่อยๆ เอื้อมมือเพื่อที่จะหยิบผ้าหนาหลายชั้นชุบสมุนไพรออกจากดวงตาของเด็กสาวตัวน้อยอย่างเบามือ ก่อนจะค่อยๆ เอาผ้าที่ชุบน้ำต้มเดือดและรอจนมันอุ่นมาซับคราบสมุนไพรบนดวงหน้าของนาง
ความมืดที่เคยมีอยู่ก็พลันมลายหายไปพร้อมๆ กับความอุ่นที่สัมผัสบนดวงตากลมโต
เมื่อไร้สิ่งใดปิดกั้นการมองเห็นแล้วฉันจึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
แสงสว่างส่องเข้ามาในดวงตาของฉัน มันทำให้ฉันตกใจและแสบตาเป็นอย่างมาก ฉันยันตัวขึ้นด้วยความตกใจและพยายามใช้มือเกาะหาขอบเตียงหรือกำแพง
มือของฉันสะเปะสะปะไปมา ความตกใจค่อยๆพลุ่งพล่านขึ้นเมื่อฉันพยายามที่จะมองแต่กลับมองไม่เห็น
“เจ้ามิต้องตกใจไป แผลในดวงตาของเจ้ายังไม่หายดีนัก อย่าเพิ่งฝืนใช้มันเลย”
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาเพื่อบอกกล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ฉันยังมองไม่เห็น ฉันจึงค่อยๆ สงบสติอารมณ์ให้นิ่งขึ้น ก่อนจะค่อยๆ หาที่ให้ตนเอนตัวลงไป
“อย่าเพิ่งฝืนใช้ร่างกายของเจ้าเลย เจ้าบาดเจ็บทั่วทั้งร่างเช่นนี้หากรีบขยับกาย ประเดี๋ยวบาดแผลจะหายช้าเอาได้”
ชายหนุ่มทำน้ำเสียงดุดันและพยายามเอ็ดเพื่อให้ร่างเล็กๆตรงหน้าสำนึก เขานำผ้าแพรที่มีสัมผัสบางเบามาผูกปิดดวงตาให้กับดวงหน้าจิ้มลิ้ม ก่อนที่เขาจะค่อยๆ เอาน้ำอะไรสักอย่างที่มีกลิ่นสมุนไพรฉุนเตะจมูกมาเช็ดตามร่างกายเล็กๆที่เต็มไปด้วยผดผื่น ฉับพลันอาการคันทั่วร่างที่เคยมี บัดนี้กลับหายไปราวกับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์
ชายหนุ่มเช็ดขาทั้งสองข้างของฉันเสร็จแล้วจึงเช็ดแขนทั้งสองข้างต่อ หลังจากนั้นจึงขึ้นมาเช็ดที่ลำคอ และเริ่มที่จะแหวกสาบเสื้อของฉันออก
ฉันสะดุ้งตัวอย่างแรงและพยายามเอามือที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อกรของตนปัดป้องมือของชายหนุ่มออก แต่ทว่าแรงของฉันในตอนนี้ราวกับมดตัวน้อยที่สู้เขาไม่ไหว
แต่ถึงอย่างไรฉันก็ยังเป็นผู้หญิงจะยอมให้ผู้ชายมาแหวกสาบเสื้อเล่นได้อย่างไรกัน?
มือของฉันและชายหนุ่มกำลังยื้อแย่งกันไปมา
“อย่าเปิดนะ!!!!”
ฉันพยายามเปล่งเสียงออกมาให้ดังที่สุด และยังคงหวังว่าเขาจะไม่พยายามแหวกเสื้อฉันออกมา
“เหตุใดเจ้าจึงตะคอกใส่ข้า ข้าเพียงจะเช็ดสมุนไพรเพื่อยับยั้งผื่นคันของเจ้า”
ชายหนุ่มตะคอกตอบกลับมา เสียงของเขาทั้งดังทั้งน่ากลัว ร่างของฉันสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวและตกใจ ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปากขึ้น
“ข...ข้าเช็ดเองได้เจ้าค่ะ”
เสียงแหบพร่าดังขึ้นมา เสียงของเธอจะแหบแห้งแค่ไหนเธอไม่หวั่น แต่คำพูดที่เธอพูดออกจากปากทำไมมันถึงกลายเป็นภาษาแบบโบราณไปได้?
“มิได้ เจ้ามิใช่หมอ ประเดี๋ยวเจ้าจะเช็ดสมุนไพรได้ไม่ทั่วถึง แต่ข้าเช็ดได้ทั่วถึง มา...ข้าจะเช็ดให้!”
เมื่อชายหนุ่มกล่าวจบประโยค เขาก็ยังคงออกแรงเพื่อที่จะแหวกสาบเสื้อของฉันออกให้ได้
ฉันเองก็ไม่ได้ยอมแพ้ ยังคงพยายามป้องกันมือปีศาจมือนี้อย่างยากลำบาก จากที่ฉันใช้แค่มือของฉันปัดป้องมือของเขา ฉันก็เริ่มเพิ่มการใช้ขาทั้งสองข้างเตะไปมาใส่ร่างของเขาทันที
ชายหนุ่มคนนั้นเริ่มที่จะหงุดหงิดขึ้นมาเต็มทนแล้ว เขาจึงตัดสินใจนำผ้าที่เหลืออยู่มาผูกแขนและขาของฉันตรึงไปกับเตียงเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของฉัน
เขาเเค่นเสียงหัวเราะอย่างผู้มีชัยออกมาก่อนจะค่อยๆเริ่มทำการแหวกสาบเสื้อของฉันออกเหมือนเดิม ด้วยความเขินอายกับการกระทำของชายแปลกหน้าเช่นนี้ ฉันจึงตัดสินใจเอ่ยปากออกมา
“ชายหญิงมิควรชิดใกล้กันนะเจ้าคะ!”
คราวนี้ฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องหยุดความพยายามแหวกสาบเสื้อนี้แน่นอน ทว่า...
“อุ...ฮ่าๆๆ”
“เหตุใดจึงหัวเราะเจ้าคะ? มันไม่ตลกสักนิดเลยนะเจ้าคะ!!!!”
“เด็กโง่! ข้าเป็นพี่ชายแท้ๆของเจ้า ข้าจะลวนลามน้องสาวที่คลานตามกันมาได้เยี่ยงไรเล่า หืม?”
ชายหนุ่มผู้กล่าวอ้างตนว่าเป็นพี่ชายหัวเราะร่าขึ้นมา และไม่มีทีท่าว่าเสียงหัวเราะนั้นจะหยุดลงแต่โดยดี
“ถึงท่านจะเป็นพี่ชายแล้วอย่างไร? ไม่เป็นแล้วอย่างไร? แต่สุดท้ายเพศก็ต่างกันอยู่ดี ท่านทำกับข้าเยี่ยงนี้ก็เหมือนกับลวนลามข้าแล้ว!”
“ฮ่าๆๆๆ น้องพี่...เจ้าคงจะโดนพิษไข้มากไปเสียจนทำให้ลืมพี่ชายเช่นข้าแล้วหรือ?”
“...”
“ข้าเป็นถึงแพทย์เชียวนะ”
“แพทย์โรคจิตใช่หรือไม่เจ้าคะ!?” ฉันพูดกระแทกเสียงออกไปด้วยความไม่พอใจ แต่ทว่าบุรุษผู้นี้หาได้สนใจไม่ ยังคงนำน้ำสมุนไพรมาเช็ดตามร่างกายของฉันต่อไป
“ท่านพี่เจ้าคะ”
“มีอันใดหรือ?”
“ท่านช่วยปลดผ้าที่มัดแขนขาของข้าแล้วให้ข้าเช็ดเองเถิดเจ้าค่ะ”
“มิได้หรอก ตาของเจ้าบาดเจ็บ อีกทั้งยังขยับกายได้ลำบาก เอาไว้ข้าเช็ดสมุนไพรจนเสร็จแล้วค่อยแก้มัดให้เจ้าก็ยังมิสาย”
“...”
ฉันไม่สามารถต่อต้านการลุกล้ำจากชายตรงหน้าได้ ข้าจึงปล่อยให้เขาเช็ดตัวเพื่อลดอาการคันจากผดผื่นแต่โดยดี...
หลายวันต่อมา
ฉันพยายามดื่มสมุนไพรทุกๆ สามเวลาหลังมื้ออาหาร และพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อพักฟื้นอาการบาดเจ็บที่ฉันไม่รู้ที่มาที่ไปจนมันเริ่มที่จะหายดี แต่ดวงตาก็ยังไม่สามารถใช้มองในที่มืดหรือมองแสงสว่างได้มากเท่าที่ควร
หลังจากที่ฉันเริ่มหายดีและเบื่อกับการนอนอยู่ในห้องของตัวเองมานานหลายวัน จึงมีความคิดที่อยากจะออกไปสำรวจรอบๆบ้าน ไม่สิ รอบๆจวน
ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่เยอะมากมายเหมือนโลกเก่าของฉัน ตอนนี้ฉันต้องการหากระจกเพื่อจะสำรวจรูปลักษณ์ของตัวเองดู
ฉันรู้สึกว่าตัวของฉันมันหดลงมาเยอะมาก มองอะไรๆก็ดูสูงกว่าตัวไปตั้งมากโข และดูเหมือนมือของฉันจะหยิบจับอะไรได้แต่ของชิ้นเล็กๆเท่านั้น
ฉันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความเบื่อหน่าย ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากออกไปสำรวจพื้นที่ในจวนนี้หรอกนะ...แต่เตียงมันสูงเกินไป...
ฉันลงจากเตียงไม่ได้!!!
“อนาถแท้ ตัวข้า”
ขนาดบ่นอุบอิบไปมาภาษาที่พูดออกมาก็ยังคงเป็นภาษาโบราณอยู่ดี...มันก็สะดวกดีนะ ฉันจะได้ไม่ต้องฝึกพูด
“คุณหนูเจ้าคะ ได้เวลาอาบน้ำแล้วเจ้าค่ะ” ฉันหันไปตามเสียงเรียกของหญิงสาวผู้หนึ่ง
“คุณหนู? เอ่อ...ข้ารึ?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูจำมิได้หรือเจ้าคะ?”
“เอ่อ...ข้าบาดเจ็บที่หัวเลยอาจจะลืมไปบ้าง” ฉันพยายามแถให้แนบเนียนเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“แล้วเจ้าคือ...?”
“ข้าน้อยคือพี่เลี้ยงของท่าน จิวซิ่งเจ้าค่ะ” หญิงสาววัยสิบห้าปีเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม
นางค่อยๆเข้ามาพยุงตัวฉันลงจากเตียงเพื่อไปชำระล้างร่างกาย น่าแปลกที่ร่างกายของฉันมันมีขนาดเล็กผิดปกติเกินไป ขนาดจะลุกออกจากเตียงก็ยังไม่มีปัญญา สงสัยคงต้องสั่งทำฟูกมานอนแทนเตียงแล้วล่ะมั้ง?
“เอ่อ...พี่จิวซิ่ง ปีนี้ข้าอายุเท่าไหร่แล้วหรือ?”
“ปีนี้คุณหนูอายุแปดขวบย่างเข้าเก้าขวบแล้วเจ้าค่ะ”
“แปดขวบ? แต่เหตุใดร่างกายของข้าจึงได้เล็กผิดแผกกับเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันเล่า?”
“...”
จิวซิ่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจบอกเล่าความจริงให้คุณหนูน้อยของตนได้รับรู้
“ที่คุณหนูตัวเล็กเป็นเพราะท่านโดนคำสาปเจ้าค่ะ”
“คำสาป…คำสาปอันใดหรือ? แล้วผู้ใดเป็นคนสาป? "
“เอ่อ...” จิวซิ่งอ้ำอึ้งไปมา นางกังวลว่าหากเล่าให้คุณหนูทราบความจริง นางอาจจะถูกสั่งโบยจนตายก็เป็นได้
“เล่ามาเถิด ข้าขอร้อง”
ฉันส่งสายตาออดอ้อนไปให้พี่จิวซิ่งและทำตัวให้น่าสงสารมากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้
“ก็ได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยยอมแล้ว ข้าน้อยยอมเล่าแล้วเจ้าค่ะ!”
หึๆ อย่างไรเสียไม่ว่าจะผ่านไปกี่ร้อยหรือกี่พันปี มารยาของเด็กน้อยกับดวงตากลมโตที่มีประกายสุกใสก็ยังคงใช้ได้ดีกับพวกคนที่โตกว่าสินะ
“ในปีนั้นจางฟูเหรินได้พาพี่ชายทั้งสี่ของท่านเข้าร่วมงานชมดอกไม้ของเหล่าเทพเซียน แต่ทว่าคุณชายสี่ในตอนนั้นดื้อดึงนัก และได้ไปล่วงเกินธิดาจันทราเข้า นางโมโหและสาปคุณหนูที่ยังอยู่ในครรภ์ของจางฟูเหรินว่า ‘ทารกที่ลืมตาดูโลกจักเป็นหญิง เมื่อนางอายุย่างเข้าขวบปีดวงวิญญาณจะหลุดออกจากร่างและจากไปยังสถานที่ห่างไกล และจะหวนกลับมาอีกครายามเมื่อถึงเวลา แต่ระหว่างนั้นดวงจิตที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวก็ยังคงอาศัยอยู่ในร่างของทารก ร่างกายอ่อนแอ ป่วยเป็นโรคประหลาด ร่างกายเจริญเติบโตได้ช้ากว่าเด็กทั่วไป...’ ในวันนั้นจางฟูเหรินเสียใจเป็นอย่างมาก นางเอาแต่ขังตนเองไว้ในห้องเก็บม้วนผ้าจนกระทั่งใกล้คลอดจึงได้ออกมาจากห้องนั้น...ส่วนคุณชายสี่...”
ตึง!!
“อย่าได้บังอาจเอ่ยชื่อถึงคนต่ำช้าเช่นเขาอีก!”
เสียงกระทืบเท้าและเสียงทุ้มใหญ่ของชายหนุ่มตวาดดังลั่นไปทั่วเรือน คนใช้ทั้งชายและหญิงต่างตระหนกตกใจกันไปหมด
ใบหน้าที่เกรี้ยวกราดของชายหนุ่มร่างใหญ่มองตรงมาที่พี่จิวซิ่งอย่างไม่วางตาก่อนที่เขาจะเริ่มเดินมาหาฉัน
“ทหาร! เอาตัวนางไปโบยยี่สิบไม้!”
เสียงใหญ่ที่น่ากลัวตวาดออกคำสั่งกับเหล่าทหารที่เดินตามชายผู้นี้มาด้วยกลุ่มหนึ่ง ฉันตกใจและกลัวว่าพี่จิวซิ่งจะถูกโบยแรงเกินไปจึงได้ตัดสินใจก้าวขาเล็กๆไปด้านหน้าเพื่อขวางกั้นระหว่างพี่จิวซิ่งกับเหล่าทหาร
แขนเล็กๆ ทั้งสองข้างกางออกมาหมายมั่นปกป้องคนข้างหลัง
“อย่าแตะต้องนางนะ!”
ฉันตะคอกเสียงดังออกไปเพื่อหวังว่ามันจะส่งเสริมให้ฉันดูน่าเกรงขามขึ้นมาบ้าง...ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด
“น้องเล็ก! เจ้าหายดีแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าตกใจเสียแทบแย่ แต่ยังดีที่เจ้ารองเก่งการแพทย์และอาสาที่จะรักษาเจ้า ทำไมเจ้าไม่ไปพักผ่อนเสียหน่อยเล่า...”
“ท่านเป็นใคร?” ฉันรีบชิงถามชายแปลกหน้ารูปร่างกำยำออกไปทันที
“...”
อยู่ๆ บรรยากาศภายในเรือนก็อึมครึมขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ชายร่างหมีผู้นี้มาถึงก็พ่นคำพูดมากมายออกมาฉอดๆโดยไม่เกรงใจกันขนาดนี้ ฉันไม่ชอบใจเลยสักนิด แนะนำตัวสักหน่อยก็ไม่มี คนที่นี่เป็นอะไรกันไปหมดนะ?
การแต่งกายประหลาดไม่พอ นิสัยยังประหลาดตามไปด้วย เฮ้อ!
“คุณหนูเจ้าคะ คุณชายท่านนี้เป็นพี่ใหญ่ของท่านเจ้าค่ะ”
พี่จิวซิ่งค่อยๆ โน้มตัวลงมากระซิบบอกคำตอบที่ข้างหูของฉัน
“พี่ใหญ่รึ?”
ฉันค่อยๆ ปรายตามองชายร่างหมีทีละนิด มองจากบนลงล่างและล่างขึ้นบนสลับไปมา ชายร่างหมีผู้นั้นมีความคล้ายคลึงพี่รองอยู่เจ็ดถึงแปดส่วน สันกรามคมเข้ม ใบหน้ามีรอยแผลเป็นแสดงถึงความเป็นบุรุษแห่งสนามรบดูน่าเกรงขามยิ่ง แต่ใบหน้าเกรงขามนั้นกลับเริ่มทำหน้าตาบูดบึ้งไม่เป็นมิตรมาทางฉัน น่ากลัวเสียจริง
“ข้าคือพี่ใหญ่ของเจ้า คุณหนูเล็กท่านกล้าลืมพี่ใหญ่เช่นข้าได้เยี่ยงไรกัน” ชายหนุ่มเริ่มตัดพ้อให้น้องสาวของตนฟัง แต่นางหาได้สงสารไม่
“น้องเล็กขออภัยท่านพี่ด้วย ตัวน้องนั้นเพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วย ความทรงจำบางส่วนของน้องเลยอาจจะถูกลืมเลือนไปบ้าง ขอพี่ใหญ่อย่าได้ถือสาหาความกับน้องเลย”
ฉันกล่าวพร้อมน้อมตัวน้อยๆตามที่ดูมาจากหนังจีนทั้งหลายอย่างลวกๆ เป็นเพราะยังไม่คุ้นชินกับการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่รุ่มร่ามเช่นนี้
“มิเป็นอันใด พี่ไม่ถือสาเจ้าหรอก”
“ท่านพี่...ท่านอย่าโบยพี่จิวซิ่งเลยนะเจ้าคะ”
ข้าใช้วิชามารของเด็กน้อยเช่นเดิม และแน่นอนว่ามันย่อมต้องได้ผลเช่นเดิม
“ก็ได้ๆ ข้าจะไม่สั่งโบยนางแล้วก็ได้ ถ้าเช่นนั้น...ข้าคงต้องขอตัวก่อน ข้าไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้า”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพี่มากนะเจ้าคะ”
“อืม”
จางมี่อิง พี่ใหญ่ของสกุลจางตอบรับคำขอบคุณของน้องสาวตัวน้อยของเขาก่อนที่จะพาเหล่าทหารของตนออกไปจากเรือนดอกเหมยสีชาด
เมื่อเหล่าทหารพากันออกไปหมดแล้ว บัดนี้ ภายในเรือนช่างเงียบสงบ เหลือไว้เพียงคุณหนูตัวน้อยกับพี่เลี้ยงของนาง
“ไปอาบน้ำกันเถิดเจ้าค่ะคุณหนู”
“อื้อ!”
.
หลังจากผ่านช่วงที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงมาหลายวัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้อาบน้ำในโลกยุทธภพเป็นครั้งแรก พี่จิวซิ่งคอยพยุงร่างของฉันลงแช่ในอ่างน้ำที่อุ่นนิดๆ
แต่สุดท้ายฉันก็ต้องผิดหวังที่คิดว่าเศษซากพืชที่ลอยอยู่ในอ่างไม้เหล่านั้นเป็นดอกไม้...พวกมันไม่ใช่ดอกไม้แต่อย่างใด แท้จริงแล้วมันคือสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุนรุนแรงเกินจะทานทนไหว
ตลอดช่วงเวลาที่ฉันอาบน้ำ พี่จิวซิ่งต้องคอยลากฉันกลับเข้าไปแช่ในน้ำสมุนไพรเหม็นเขียวนั่นอยู่หลายรอบ
เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปจึงจะเสร็จสิ้นการอาบน้ำ ขั้นตอนต่อไปคือการแต่งกาย อา...ขอฉันใส่กางเกงแทนกระโปรงไม่ได้หรือ
“ชั้นสุดท้ายแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
พี่จิวซิ่งพูดพร้อมกับนำเอาเสื้อคลุมโปร่งบางสีชมพูสดใสปักลายดอกเหมยมาสวมทับให้กับร่างเล็กๆของฉัน
“ต่อไปก็ทำผมนะเจ้าคะคุณหนู”
“เกล้าผมให้ข้าลวกๆ ก็พอ ถึงอย่างไรข้าก็อยู่แต่ในเรือนนี่นา”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
พี่จิวซิ่งยิ้มรับคำสั่ง ก่อนจะหยิบหวีไม้เนื้องามอันหนึ่งขึ้นมาค่อยๆ สางผมให้เส้นผมคลายความยุ่งเหยิงลง เมื่อหวีเสร็จนางจึงค่อยรวบผมครึ่งหัวเข้ามาทีละข้างและจัดการถักเปียแล้วมัดผมต่อ หลังจากนั้นจึงมวยผมให้เด็กสาวไม่สูงมากนัก พี่จิวซิ่งปักปิ่นหยกขาวที่แกะสลักลวดลายงดงามลงไปบนมวยผมก็เป็นอันเสร็จ
คนโบราณนี่แต่งตัวกันนานชะมัด ฉันนั่งทำหน้าซังกะตายอยู่หน้ากระจกทองเหลืองและคอยนั่งมองสำรวจรูปลักษณ์ของตนไปพลางๆ
หน้าตาก็ไม่ได้ต่างไปจากตอนอยู่โลกโน้นมากนัก มีเพียงแค่ดวงตาเท่านั้นที่กลมโตและเป็นสีทับทิมสดใส
“ไปเดินเล่นกันเถอะพี่จิวซิ่ง” ฉันเอ่ยปากชักชวนพี่เลี้ยงสาวด้วยรอยยิ้ม
“แต่วันนี้ลมแรงนะเจ้าคะคุณหนู วันหน้าค่อยไปเถิดนะเจ้าคะ”
“ก็ได้”
ฉันทำแก้มพองๆ พร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน อยากจะเดินสำรวจแต่สภาพแวดล้อมไม่อำนวย เฮ้อ! วันนี้ก็คงอยู่ได้แค่ภายในเรือนเท่านั้นใช่หรือไม่?
“แล้วที่จวนแห่งนี้พอจะมีสวนดอกไม้บางรึไม่? ข้าอยากจะไปนั่งตากลมเล่นสักพัก”
“สักพักนี่นานเท่าใดหรือเจ้าคะ หากคุณหนูตากลมนานเกินไปอาจทำให้ไม่สบายได้เจ้าคะ”
เมื่อฟังพี่จิวซิ่งกล่าวจบ ฉันจึงใช้มันสมองอันน้อยนิดของตนเค้นเอาการนับช่วงเวลาในสมัยจีนโบราณออกมาใช้ อืม...ไปนั่งนานเท่าไหร่ดีนะ?
“หนึ่งก้านธูป(ประมาณ15นาที)ก็พอ”
“เจ้าค่ะ”
พี่จิวซิ่งพยักหน้ารับคำก่อนที่นางจะขอล่วงหน้าเพื่อไปเตรียมน้ำชาและขนมให้ฉัน เมื่อพี่จิวซิ่งเตรียมน้ำชาและขนมจนเสร็จ นางก็ได้เข้ามาช่วยพยุงตัวฉันไปยังสวนดอกไม้
สวนที่นี่มีดอกไม้มากมายหลายชนิดและยังเป็นสวนส่วนตัวของฉันอีกด้วย ดอกเหมยบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมสดชื่นไปทั่วอาณาบริเวณ กลิ่นของดอกเหมยช่างวิเศษเสียจริง
“เดี๋ยวจิวซิ่งรินน้ำชาให้นะเจ้าคะ”
“อื้อ!”
ฉันหยิบขนมเข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่าด้วยความเพลินมือ ช่างเป็นขนมที่มีรสชาติดีและเคี้ยวเพลินเสียจริง!
“น้ำชาเจ้าค่ะคุณหนู”
“ขอบใจ”
ฉันยกน้ำชาเข้าปากอย่างรวดเร็วแต่แล้วก็ต้องสะดุดกับรสชาติและกลิ่นที่พิลึกพิลั่นของชาถ้วยนี้จนเผลอพ่นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ตายแล้ว! คุณหนูเจ้าคะ กริยาเช่นนี้ไม่งามเลยนะเจ้าคะ!”
พี่จิวซิ่งเอ็ดฉันเสียงดังก่อนจะรีบหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าของตนขึ้นมาซับปากและเสื้อผ้าของฉัน
“พ่นสมุนไพรของข้าออกมาเช่นนี้ เจ้าช่างใจร้ายยิ่งนัก”
เสียงนุ่มทุ้มชวนให้ผู้คนที่ได้สดับรับฟังเคลิ้มไปกับน้ำเสียงของเขาดังขึ้นมา ชายหนุ่มผู้นี้ทำหน้ายียวนกวนบาทาฉันเป็นอย่างมาก
เขาค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ ทุกย่างก้าวที่เขาเดินมาช่างงามสง่าราวกับเทพเซียนจำแลงกาย
“กลับเรือนเมื่อใดข้าจะจับเจ้ากรอกยาให้หมดหม้อเสียเลย...น้องเล็กของข้า”
ชายหนุ่มพูดจบพร้อมกับแสยะยิ้มให้ฉัน รูปร่างดุจเทพเซียน วาจาและกริยาดุจปีศาจผู้ชั่วร้าย!
“อย่าจับข้ากรอกยาเลยเจ้าค่ะ พี่สองสยองเกล้าของน้อง!”
ฉันกระแทกเสียงกลับไปยังพี่ชายคนที่สอง เขามีสกิลเทพทางด้านวิชาแพทย์ อีกทั้งยังเอ็นดูสมุนไพรประดุจลูกน้อยของเขาเอง
แน่นอนว่าที่ฉันพ่นสมุนไพรของเขาออกมาก็เปรียบเสมือนฆ่าลูกของเขาก็ไม่ปาน สงสัยงานนี้คงได้มีเหตุเลือดตกยางออกกันเป็นแน่