บทที่ 2 เด็กสาวผู้มาจากศตวรรษที่21

4496 คำ
ฉันตักน้ำใส่ถังใบแล้วใบเล่าจนได้รับสัญญาณมาว่าไฟดับดีแล้ว ฉันจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ขึ้นมา ฉันนั่งพักอยู่ริมสระให้หายเหนื่อยจากการตักน้ำใส่ถังดับไฟเมื่อครู่ ในเวลานี้ฉันก็ได้มีเวลาชมวิวสวยๆของที่นี่แล้ว สระน้ำขนาดใหญ่ที่ประดับไปด้วยดอกบัวสีม่วง หิ่งห้อยน้อยใหญ่ต่างแย่งกันเปล่งแสงสว่างไสว เสียงของกอไผ่เสียดสีและลู่ไปตามแรงลม วิวทิวทัศน์ท่ามกลางคืนเดือนดับก็ไม่เลว แต่ทว่าฉันกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก "ไม่กลับบ้านหรือสาวน้อย?" เสียงนุ่มทุ้มสบายหูกล่าวด้วยความเย้าแหย่ "ยังค่ะ ฉันแค่นั่งพักเหนื่อยเฉยๆ แต่ถ้าคุณเจ้าของร้านจะสั่งให้กลับ ฉันจะกลับก็ได้นะคะ" เมื่อฉันพูดจบ จึงได้ลุกขึ้นมาจากการนั่งบริเวณริมสระน้ำ ฉันปัดฝุ่นที่เกาะบนกระโปรงนักเรียนและจัดแจงทรงผมให้เรียบร้อย  หลังจากที่ตอนตักน้ำแบบเอาเป็นเอาตายส่งผลให้ผมของฉันฟูฟ่องดุจราชสีห์ในป่าใหญ่ก็ไม่ปาน "คุณจะชมวิวที่นี่ไปอีกสักพักผมก็ไม่ว่าอะไรนะ..." "จริงหรือคะ?" ฉันมองเขาด้วยสายตาคาดคั้นคำตอบจากเขา แน่นอนว่าฉันชอบที่นี่และรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ฉันจึงอยากใช้เวลาพักเหนื่อยไปกับที่นี่   "คุณจะชมวิวที่นี่ไปตลอดกาลเลยก็ยังได้นะครับ" "หมายความว่ายังไงคะ?" ชายร่างสูงโปร่งไม่ตอบคำถามของฉันแต่เขากลับแสยะยิ้มอันเยือกเย็นออกมาเป็นคำตอบแทน แขนเรียวยาวสองข้างของเขาค่อยๆเอื้อมมาหมายจะคว้าคอเสื้อของฉัน ฉันค่อยๆก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ "คุณจะทำอะไรคะ!?" "นำพาวิญญาณกลับสถานเดิม..." น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบเสียจนน่ากลัว เขากล่าวตอบออกมาด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย ฉันตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าและกลัวผู้ชายคนนี้จนไม่สามารถขยับขาไปได้ มือของเขาค่อยเอื้อมมายังลำคอของฉัน และบรรจงบีบคอของฉันด้วยแรงทั้งหมดของเขา ร่างของฉันดิ้นไปดิ้นมา มือเริ่มแปะป่ายไปมั่วๆอย่างไร้ทิศทาง   ฉันกำลังจะขาดอากาศหายใจ ทว่าชายคนนั้นกลับเหวี่ยงฉันลงไปในสระน้ำอย่างไม่ใยดี ฉันทั้งตกใจและหวาดกลัว ฉันว่ายน้ำไม่เป็น ร่างเล็กพยายามดิ้นไปดิ้นมาเพื่อหวังว่ามันจะทำให้ตัวเองลอยขึ้นไปได้บ้าง แต่ว่ามันกลับยิ่งทำให้ฉันจมลึกลงมากกว่าเดิม รากของบัวพากันมาพันไปทั่วทั้งร่าง ยิ่งดิ้นหวังให้หลุดมันก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น อากาศที่มีอยู่น้อยนิดจากการกลั้นหายใจมันกำลังจะหมดลง จะดิ้นไปมาในน้ำเพื่อหวังให้ตัวของฉันลอยขึ้นไปบ้างไม่มากก็น้อย แต่กลับไม่เป็นผลเลย ฉันจึงท้อและคิดว่าตนต้องตายแน่ ดวงตาของฉันค่อยๆพร่ามัวลงไปเรื่อยๆพร้อมกับสติของฉันที่มันพร้อมจะดับวูบลงได้ทุกที มันเวรกรรมอะไรของฉันกันเนี่ย!? ถึงฉันจะกรีดร้องในใจแทบตาย อย่างไรเสียก็ไม่มีใครได้ยิน อากาศหายใจของฉันค่อยๆหมดไปเรื่อยๆจนกระทั่งฉันเริ่มอึดอัดและทรมานไปทั่วร่างกายก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลงและจมดิ่งลงสู่ความมืดมิด ฉันยังคงจมดิ่งลึกลงไปในความมืดมิดที่อ้างว้าง ในความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุดนั้นมีฉันอยู่เพียงผู้เดียว ฉันรู้สึกหวาดกลัวกับความมืดรอบกาย ความหนาวเย็นยะเยือกเริ่มแผ่ไอเย็นเข้ามาล้ำถึงกระดูก... หนาวเหลือเกิน... ‘หมิงเอ๋อร์...’ เสียงไพเราะที่คุ้นหูลอยมาตามทาง แต่ทว่ามันกลับไร้ซึ่งวี่แววร่างของเจ้าของเสียงที่กำลังเรียกชื่อของฉัน ‘หมิงเอ๋อร์...’ “เธอคือใคร?” ฉันเอ่ยถามกับเจ้าของเสียงปริศนาออกไป ‘ดีใจเหลือเกินที่ข้าได้เจอเจ้า...ตอนนี้มิเหลือเวลาอีกแล้ว’ “เวลา? เวลาอะไร? เธอเป็นใครกันแน่?” ‘...’ เสียงที่ไร้เงาของผู้เอื้อนเอ่ยกลับเงียบลง ความมืดที่เคยโอบล้อมกายไว้ก็ค่อยๆ เลือนหายไปทีละเล็กทีละน้อย หลังจากที่ความมืดค่อยๆ สลายตัวไปแล้ว ก็ได้ปรากฏภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสบายตา ก้อนเมฆสีขาวดุจปุยฝ้ายมองแล้วรู้สึกนุ่มละมุน นกทั้งน้อยและใหญ่ต่างบินเล่นลมและขับขานบทเพลงอย่างสนุกสนาน ร่างทั้งร่างของฉันเบาหวิว ราวกับตอนนี้ตนนั้นสามารถที่จะเหาะและลอยได้...ใช่...ลอยได้ เพราะตอนนี้ฉันอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า!   ‘ไม่มีเวลาแล้ว เร็วเข้าเถิด’ เมื่อเสียงไร้ซึ่งที่มากล่าวจบ ข้างๆ ตัวของฉันที่กำลังลอยเคว้งคว้างไปมา ก็ได้ปรากฏร่างของดารุณีตัวน้อยผู้มีหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม ‘หมิงเอ๋อร์...รีบไปเร็วเข้าเถิด!’ “ไป? ไปที่ไหน?” ดารุณีตัวน้อยค่อยๆ ปรายตามองไปยังเรือนหลังหนึ่ง ภายในตัวเรือนได้ปรากฏร่างของเด็กสาวตัวน้อยนอนหายใจรวยรินอยู่ เมื่อฉันตรวจทานลักษณะของเด็กน้อยคนนั้นแล้ว ปรากฏว่ามีลักษณะเหมือนกับร่างโปร่งใสที่ลอยอยู่ข้างๆ ฉัน เพียงแต่วิญญาณดวงนี้ดูโตกว่าเล็กน้อย “ที่นี่ที่ไหน แล้วจะให้ฉันทำอะไรกับที่นี่?” ฉันหันไปถามวิญญาณของเด็กสาวปริศนา น้ำเสียงของฉันเต็มไปด้วยความกังวลและความสงสัย   ‘สถานที่ของเจ้า ร่างของเจ้า...และบ้านของเจ้า’ “เธอหมายความว่าอะไรกันแน่?” ‘ที่นี่เป็นสถานที่ของเจ้าตั้งแต่แรก ข้าเป็นเพียงวิญญาณที่หลงเข้ามาอาศัยในร่างของเจ้า...’ เด็กสาวตรงหน้าของฉันยังพูดไม่ทันจบประโยคดี จู่ๆ ความอึดอัดและความเจ็บปวดร้าวร้านอย่างรุนแรงภายในอกก็แผลงฤทธิ์ขึ้นมา  ทัศนะการมองเห็นของฉันเริ่มพร่ามัวก่อนที่โลกทั้งใบจะหมุนอย่างรุนแรง และเหมือนกับร่างทั้งร่างกำลังถูกดึงกระชากจากที่สูงลงมายังเบื้องล่างอย่างรวดเร็วก่อนที่ฉันจะกลับเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง   เมื่อฉันรู้สึกตัว ฉันพยายามที่จะขยับร่างกายไปมา ความมืดนี้ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าความรู้สึกบนร่างกายของฉันมันขยับเขยื้อนลำบากผิดปกติ ภายในร่างกายรู้สึกร้อนผะผ่าวอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะมีอาการปวดหัวราวกับมันกำลังจะระเบิดแทรกเข้ามา ฉันไม่สามารถที่จะยกมือขึ้นกุมศีรษะเพื่อนวดหรือหายาแก้ปวดมาบรรเทาอาการให้ทุเลาลงได้ จึงทำได้แต่ตัดใจนอนนิ่งราวกับเป็นผักเป็นปลาก็ไม่ปาน ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ อาการคันแปลกๆ ทั้งตัวก็เริ่มสำแดงฤทธิ์ขึ้นมา ความรู้สึกคันคะเยอไปทั่วทั้งร่างแต่ก็อย่างที่กล่าวไว้เบื้องต้น ฉันไม่สามารถที่จะขยับหรือเกามันได้ “ส่งยาน้ำมาให้ข้า ข้าจะดูแลนางเอง” เสียงของชายหนุ่มแรกรุ่นนุ่มทุ้มและน่าหลงใหลแว่วมาตามสายลม “เจ้าค่ะคุณชายรอง” เมื่อสิ้นเสียงตอบรับที่คาดว่าน่าจะเป็นคนรับใช้ ฉันก็รู้สึกเหมือนกับมีคนเดินเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ “หลินเอ๋อร์ เจ้าช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน” มือหนาเอื้อมมือเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ แต่ฉันไม่มีแรงมากพอที่จะหลบหลีกจากการสัมผัสของเขา   ชายหนุ่มค่อยๆ เอื้อมมือเพื่อที่จะหยิบผ้าหนาหลายชั้นชุบสมุนไพรออกจากดวงตาของเด็กสาวตัวน้อยอย่างเบามือ ก่อนจะค่อยๆ เอาผ้าที่ชุบน้ำต้มเดือดและรอจนมันอุ่นมาซับคราบสมุนไพรบนดวงหน้าของนาง ความมืดที่เคยมีอยู่ก็พลันมลายหายไปพร้อมๆ กับความอุ่นที่สัมผัสบนดวงตากลมโต เมื่อไร้สิ่งใดปิดกั้นการมองเห็นแล้วฉันจึงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละเล็กทีละน้อย   แสงสว่างส่องเข้ามาในดวงตาของฉัน มันทำให้ฉันตกใจและแสบตาเป็นอย่างมาก ฉันยันตัวขึ้นด้วยความตกใจและพยายามใช้มือเกาะหาขอบเตียงหรือกำแพง มือของฉันสะเปะสะปะไปมา ความตกใจค่อยๆพลุ่งพล่านขึ้นเมื่อฉันพยายามที่จะมองแต่กลับมองไม่เห็น “เจ้ามิต้องตกใจไป แผลในดวงตาของเจ้ายังไม่หายดีนัก อย่าเพิ่งฝืนใช้มันเลย” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาเพื่อบอกกล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ฉันยังมองไม่เห็น ฉันจึงค่อยๆ สงบสติอารมณ์ให้นิ่งขึ้น ก่อนจะค่อยๆ หาที่ให้ตนเอนตัวลงไป “อย่าเพิ่งฝืนใช้ร่างกายของเจ้าเลย เจ้าบาดเจ็บทั่วทั้งร่างเช่นนี้หากรีบขยับกาย ประเดี๋ยวบาดแผลจะหายช้าเอาได้” ชายหนุ่มทำน้ำเสียงดุดันและพยายามเอ็ดเพื่อให้ร่างเล็กๆตรงหน้าสำนึก เขานำผ้าแพรที่มีสัมผัสบางเบามาผูกปิดดวงตาให้กับดวงหน้าจิ้มลิ้ม ก่อนที่เขาจะค่อยๆ เอาน้ำอะไรสักอย่างที่มีกลิ่นสมุนไพรฉุนเตะจมูกมาเช็ดตามร่างกายเล็กๆที่เต็มไปด้วยผดผื่น ฉับพลันอาการคันทั่วร่างที่เคยมี บัดนี้กลับหายไปราวกับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ชายหนุ่มเช็ดขาทั้งสองข้างของฉันเสร็จแล้วจึงเช็ดแขนทั้งสองข้างต่อ หลังจากนั้นจึงขึ้นมาเช็ดที่ลำคอ และเริ่มที่จะแหวกสาบเสื้อของฉันออก ฉันสะดุ้งตัวอย่างแรงและพยายามเอามือที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อกรของตนปัดป้องมือของชายหนุ่มออก แต่ทว่าแรงของฉันในตอนนี้ราวกับมดตัวน้อยที่สู้เขาไม่ไหว แต่ถึงอย่างไรฉันก็ยังเป็นผู้หญิงจะยอมให้ผู้ชายมาแหวกสาบเสื้อเล่นได้อย่างไรกัน?   มือของฉันและชายหนุ่มกำลังยื้อแย่งกันไปมา “อย่าเปิดนะ!!!!” ฉันพยายามเปล่งเสียงออกมาให้ดังที่สุด และยังคงหวังว่าเขาจะไม่พยายามแหวกเสื้อฉันออกมา “เหตุใดเจ้าจึงตะคอกใส่ข้า ข้าเพียงจะเช็ดสมุนไพรเพื่อยับยั้งผื่นคันของเจ้า” ชายหนุ่มตะคอกตอบกลับมา เสียงของเขาทั้งดังทั้งน่ากลัว ร่างของฉันสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวและตกใจ ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปากขึ้น “ข...ข้าเช็ดเองได้เจ้าค่ะ” เสียงแหบพร่าดังขึ้นมา เสียงของเธอจะแหบแห้งแค่ไหนเธอไม่หวั่น แต่คำพูดที่เธอพูดออกจากปากทำไมมันถึงกลายเป็นภาษาแบบโบราณไปได้? “มิได้ เจ้ามิใช่หมอ ประเดี๋ยวเจ้าจะเช็ดสมุนไพรได้ไม่ทั่วถึง แต่ข้าเช็ดได้ทั่วถึง มา...ข้าจะเช็ดให้!” เมื่อชายหนุ่มกล่าวจบประโยค เขาก็ยังคงออกแรงเพื่อที่จะแหวกสาบเสื้อของฉันออกให้ได้ ฉันเองก็ไม่ได้ยอมแพ้ ยังคงพยายามป้องกันมือปีศาจมือนี้อย่างยากลำบาก จากที่ฉันใช้แค่มือของฉันปัดป้องมือของเขา ฉันก็เริ่มเพิ่มการใช้ขาทั้งสองข้างเตะไปมาใส่ร่างของเขาทันที   ชายหนุ่มคนนั้นเริ่มที่จะหงุดหงิดขึ้นมาเต็มทนแล้ว เขาจึงตัดสินใจนำผ้าที่เหลืออยู่มาผูกแขนและขาของฉันตรึงไปกับเตียงเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของฉัน เขาเเค่นเสียงหัวเราะอย่างผู้มีชัยออกมาก่อนจะค่อยๆเริ่มทำการแหวกสาบเสื้อของฉันออกเหมือนเดิม ด้วยความเขินอายกับการกระทำของชายแปลกหน้าเช่นนี้ ฉันจึงตัดสินใจเอ่ยปากออกมา “ชายหญิงมิควรชิดใกล้กันนะเจ้าคะ!” คราวนี้ฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องหยุดความพยายามแหวกสาบเสื้อนี้แน่นอน ทว่า... “อุ...ฮ่าๆๆ” “เหตุใดจึงหัวเราะเจ้าคะ? มันไม่ตลกสักนิดเลยนะเจ้าคะ!!!!” “เด็กโง่! ข้าเป็นพี่ชายแท้ๆของเจ้า ข้าจะลวนลามน้องสาวที่คลานตามกันมาได้เยี่ยงไรเล่า หืม?” ชายหนุ่มผู้กล่าวอ้างตนว่าเป็นพี่ชายหัวเราะร่าขึ้นมา และไม่มีทีท่าว่าเสียงหัวเราะนั้นจะหยุดลงแต่โดยดี “ถึงท่านจะเป็นพี่ชายแล้วอย่างไร? ไม่เป็นแล้วอย่างไร? แต่สุดท้ายเพศก็ต่างกันอยู่ดี ท่านทำกับข้าเยี่ยงนี้ก็เหมือนกับลวนลามข้าแล้ว!” “ฮ่าๆๆๆ น้องพี่...เจ้าคงจะโดนพิษไข้มากไปเสียจนทำให้ลืมพี่ชายเช่นข้าแล้วหรือ?” “...” “ข้าเป็นถึงแพทย์เชียวนะ” “แพทย์โรคจิตใช่หรือไม่เจ้าคะ!?” ฉันพูดกระแทกเสียงออกไปด้วยความไม่พอใจ แต่ทว่าบุรุษผู้นี้หาได้สนใจไม่ ยังคงนำน้ำสมุนไพรมาเช็ดตามร่างกายของฉันต่อไป  “ท่านพี่เจ้าคะ” “มีอันใดหรือ?” “ท่านช่วยปลดผ้าที่มัดแขนขาของข้าแล้วให้ข้าเช็ดเองเถิดเจ้าค่ะ” “มิได้หรอก ตาของเจ้าบาดเจ็บ อีกทั้งยังขยับกายได้ลำบาก เอาไว้ข้าเช็ดสมุนไพรจนเสร็จแล้วค่อยแก้มัดให้เจ้าก็ยังมิสาย” “...” ฉันไม่สามารถต่อต้านการลุกล้ำจากชายตรงหน้าได้ ข้าจึงปล่อยให้เขาเช็ดตัวเพื่อลดอาการคันจากผดผื่นแต่โดยดี...       หลายวันต่อมา ฉันพยายามดื่มสมุนไพรทุกๆ สามเวลาหลังมื้ออาหาร และพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อพักฟื้นอาการบาดเจ็บที่ฉันไม่รู้ที่มาที่ไปจนมันเริ่มที่จะหายดี แต่ดวงตาก็ยังไม่สามารถใช้มองในที่มืดหรือมองแสงสว่างได้มากเท่าที่ควร   หลังจากที่ฉันเริ่มหายดีและเบื่อกับการนอนอยู่ในห้องของตัวเองมานานหลายวัน จึงมีความคิดที่อยากจะออกไปสำรวจรอบๆบ้าน ไม่สิ รอบๆจวน ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่เยอะมากมายเหมือนโลกเก่าของฉัน ตอนนี้ฉันต้องการหากระจกเพื่อจะสำรวจรูปลักษณ์ของตัวเองดู ฉันรู้สึกว่าตัวของฉันมันหดลงมาเยอะมาก มองอะไรๆก็ดูสูงกว่าตัวไปตั้งมากโข และดูเหมือนมือของฉันจะหยิบจับอะไรได้แต่ของชิ้นเล็กๆเท่านั้น ฉันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความเบื่อหน่าย ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากออกไปสำรวจพื้นที่ในจวนนี้หรอกนะ...แต่เตียงมันสูงเกินไป... ฉันลงจากเตียงไม่ได้!!! “อนาถแท้ ตัวข้า” ขนาดบ่นอุบอิบไปมาภาษาที่พูดออกมาก็ยังคงเป็นภาษาโบราณอยู่ดี...มันก็สะดวกดีนะ ฉันจะได้ไม่ต้องฝึกพูด  “คุณหนูเจ้าคะ ได้เวลาอาบน้ำแล้วเจ้าค่ะ” ฉันหันไปตามเสียงเรียกของหญิงสาวผู้หนึ่ง “คุณหนู? เอ่อ...ข้ารึ?” “ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูจำมิได้หรือเจ้าคะ?” “เอ่อ...ข้าบาดเจ็บที่หัวเลยอาจจะลืมไปบ้าง” ฉันพยายามแถให้แนบเนียนเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย “เป็นเช่นนี้นี่เอง” “แล้วเจ้าคือ...?” “ข้าน้อยคือพี่เลี้ยงของท่าน จิวซิ่งเจ้าค่ะ” หญิงสาววัยสิบห้าปีเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม นางค่อยๆเข้ามาพยุงตัวฉันลงจากเตียงเพื่อไปชำระล้างร่างกาย น่าแปลกที่ร่างกายของฉันมันมีขนาดเล็กผิดปกติเกินไป ขนาดจะลุกออกจากเตียงก็ยังไม่มีปัญญา สงสัยคงต้องสั่งทำฟูกมานอนแทนเตียงแล้วล่ะมั้ง? “เอ่อ...พี่จิวซิ่ง ปีนี้ข้าอายุเท่าไหร่แล้วหรือ?” “ปีนี้คุณหนูอายุแปดขวบย่างเข้าเก้าขวบแล้วเจ้าค่ะ” “แปดขวบ? แต่เหตุใดร่างกายของข้าจึงได้เล็กผิดแผกกับเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันเล่า?” “...”   จิวซิ่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจบอกเล่าความจริงให้คุณหนูน้อยของตนได้รับรู้ “ที่คุณหนูตัวเล็กเป็นเพราะท่านโดนคำสาปเจ้าค่ะ” “คำสาป…คำสาปอันใดหรือ? แล้วผู้ใดเป็นคนสาป? " “เอ่อ...” จิวซิ่งอ้ำอึ้งไปมา นางกังวลว่าหากเล่าให้คุณหนูทราบความจริง นางอาจจะถูกสั่งโบยจนตายก็เป็นได้ “เล่ามาเถิด ข้าขอร้อง” ฉันส่งสายตาออดอ้อนไปให้พี่จิวซิ่งและทำตัวให้น่าสงสารมากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ “ก็ได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยยอมแล้ว ข้าน้อยยอมเล่าแล้วเจ้าค่ะ!” หึๆ อย่างไรเสียไม่ว่าจะผ่านไปกี่ร้อยหรือกี่พันปี มารยาของเด็กน้อยกับดวงตากลมโตที่มีประกายสุกใสก็ยังคงใช้ได้ดีกับพวกคนที่โตกว่าสินะ “ในปีนั้นจางฟูเหรินได้พาพี่ชายทั้งสี่ของท่านเข้าร่วมงานชมดอกไม้ของเหล่าเทพเซียน แต่ทว่าคุณชายสี่ในตอนนั้นดื้อดึงนัก และได้ไปล่วงเกินธิดาจันทราเข้า นางโมโหและสาปคุณหนูที่ยังอยู่ในครรภ์ของจางฟูเหรินว่า ‘ทารกที่ลืมตาดูโลกจักเป็นหญิง เมื่อนางอายุย่างเข้าขวบปีดวงวิญญาณจะหลุดออกจากร่างและจากไปยังสถานที่ห่างไกล และจะหวนกลับมาอีกครายามเมื่อถึงเวลา แต่ระหว่างนั้นดวงจิตที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวก็ยังคงอาศัยอยู่ในร่างของทารก ร่างกายอ่อนแอ ป่วยเป็นโรคประหลาด ร่างกายเจริญเติบโตได้ช้ากว่าเด็กทั่วไป...’ ในวันนั้นจางฟูเหรินเสียใจเป็นอย่างมาก นางเอาแต่ขังตนเองไว้ในห้องเก็บม้วนผ้าจนกระทั่งใกล้คลอดจึงได้ออกมาจากห้องนั้น...ส่วนคุณชายสี่...”   ตึง!! “อย่าได้บังอาจเอ่ยชื่อถึงคนต่ำช้าเช่นเขาอีก!” เสียงกระทืบเท้าและเสียงทุ้มใหญ่ของชายหนุ่มตวาดดังลั่นไปทั่วเรือน คนใช้ทั้งชายและหญิงต่างตระหนกตกใจกันไปหมด ใบหน้าที่เกรี้ยวกราดของชายหนุ่มร่างใหญ่มองตรงมาที่พี่จิวซิ่งอย่างไม่วางตาก่อนที่เขาจะเริ่มเดินมาหาฉัน “ทหาร! เอาตัวนางไปโบยยี่สิบไม้!” เสียงใหญ่ที่น่ากลัวตวาดออกคำสั่งกับเหล่าทหารที่เดินตามชายผู้นี้มาด้วยกลุ่มหนึ่ง ฉันตกใจและกลัวว่าพี่จิวซิ่งจะถูกโบยแรงเกินไปจึงได้ตัดสินใจก้าวขาเล็กๆไปด้านหน้าเพื่อขวางกั้นระหว่างพี่จิวซิ่งกับเหล่าทหาร แขนเล็กๆ ทั้งสองข้างกางออกมาหมายมั่นปกป้องคนข้างหลัง “อย่าแตะต้องนางนะ!” ฉันตะคอกเสียงดังออกไปเพื่อหวังว่ามันจะส่งเสริมให้ฉันดูน่าเกรงขามขึ้นมาบ้าง...ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด “น้องเล็ก! เจ้าหายดีแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าตกใจเสียแทบแย่ แต่ยังดีที่เจ้ารองเก่งการแพทย์และอาสาที่จะรักษาเจ้า ทำไมเจ้าไม่ไปพักผ่อนเสียหน่อยเล่า...” “ท่านเป็นใคร?” ฉันรีบชิงถามชายแปลกหน้ารูปร่างกำยำออกไปทันที “...” อยู่ๆ บรรยากาศภายในเรือนก็อึมครึมขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ชายร่างหมีผู้นี้มาถึงก็พ่นคำพูดมากมายออกมาฉอดๆโดยไม่เกรงใจกันขนาดนี้ ฉันไม่ชอบใจเลยสักนิด แนะนำตัวสักหน่อยก็ไม่มี คนที่นี่เป็นอะไรกันไปหมดนะ? การแต่งกายประหลาดไม่พอ นิสัยยังประหลาดตามไปด้วย เฮ้อ! “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายท่านนี้เป็นพี่ใหญ่ของท่านเจ้าค่ะ” พี่จิวซิ่งค่อยๆ โน้มตัวลงมากระซิบบอกคำตอบที่ข้างหูของฉัน “พี่ใหญ่รึ?” ฉันค่อยๆ ปรายตามองชายร่างหมีทีละนิด มองจากบนลงล่างและล่างขึ้นบนสลับไปมา ชายร่างหมีผู้นั้นมีความคล้ายคลึงพี่รองอยู่เจ็ดถึงแปดส่วน สันกรามคมเข้ม ใบหน้ามีรอยแผลเป็นแสดงถึงความเป็นบุรุษแห่งสนามรบดูน่าเกรงขามยิ่ง แต่ใบหน้าเกรงขามนั้นกลับเริ่มทำหน้าตาบูดบึ้งไม่เป็นมิตรมาทางฉัน น่ากลัวเสียจริง   “ข้าคือพี่ใหญ่ของเจ้า คุณหนูเล็กท่านกล้าลืมพี่ใหญ่เช่นข้าได้เยี่ยงไรกัน” ชายหนุ่มเริ่มตัดพ้อให้น้องสาวของตนฟัง แต่นางหาได้สงสารไม่ “น้องเล็กขออภัยท่านพี่ด้วย ตัวน้องนั้นเพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วย ความทรงจำบางส่วนของน้องเลยอาจจะถูกลืมเลือนไปบ้าง ขอพี่ใหญ่อย่าได้ถือสาหาความกับน้องเลย” ฉันกล่าวพร้อมน้อมตัวน้อยๆตามที่ดูมาจากหนังจีนทั้งหลายอย่างลวกๆ เป็นเพราะยังไม่คุ้นชินกับการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่รุ่มร่ามเช่นนี้ “มิเป็นอันใด พี่ไม่ถือสาเจ้าหรอก” “ท่านพี่...ท่านอย่าโบยพี่จิวซิ่งเลยนะเจ้าคะ” ข้าใช้วิชามารของเด็กน้อยเช่นเดิม และแน่นอนว่ามันย่อมต้องได้ผลเช่นเดิม  “ก็ได้ๆ ข้าจะไม่สั่งโบยนางแล้วก็ได้ ถ้าเช่นนั้น...ข้าคงต้องขอตัวก่อน ข้าไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้า” “เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพี่มากนะเจ้าคะ” “อืม” จางมี่อิง พี่ใหญ่ของสกุลจางตอบรับคำขอบคุณของน้องสาวตัวน้อยของเขาก่อนที่จะพาเหล่าทหารของตนออกไปจากเรือนดอกเหมยสีชาด เมื่อเหล่าทหารพากันออกไปหมดแล้ว บัดนี้ ภายในเรือนช่างเงียบสงบ เหลือไว้เพียงคุณหนูตัวน้อยกับพี่เลี้ยงของนาง “ไปอาบน้ำกันเถิดเจ้าค่ะคุณหนู” “อื้อ!” .   หลังจากผ่านช่วงที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงมาหลายวัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้อาบน้ำในโลกยุทธภพเป็นครั้งแรก พี่จิวซิ่งคอยพยุงร่างของฉันลงแช่ในอ่างน้ำที่อุ่นนิดๆ แต่สุดท้ายฉันก็ต้องผิดหวังที่คิดว่าเศษซากพืชที่ลอยอยู่ในอ่างไม้เหล่านั้นเป็นดอกไม้...พวกมันไม่ใช่ดอกไม้แต่อย่างใด แท้จริงแล้วมันคือสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุนรุนแรงเกินจะทานทนไหว ตลอดช่วงเวลาที่ฉันอาบน้ำ พี่จิวซิ่งต้องคอยลากฉันกลับเข้าไปแช่ในน้ำสมุนไพรเหม็นเขียวนั่นอยู่หลายรอบ   เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปจึงจะเสร็จสิ้นการอาบน้ำ ขั้นตอนต่อไปคือการแต่งกาย อา...ขอฉันใส่กางเกงแทนกระโปรงไม่ได้หรือ “ชั้นสุดท้ายแล้วเจ้าค่ะคุณหนู” พี่จิวซิ่งพูดพร้อมกับนำเอาเสื้อคลุมโปร่งบางสีชมพูสดใสปักลายดอกเหมยมาสวมทับให้กับร่างเล็กๆของฉัน   “ต่อไปก็ทำผมนะเจ้าคะคุณหนู” “เกล้าผมให้ข้าลวกๆ ก็พอ ถึงอย่างไรข้าก็อยู่แต่ในเรือนนี่นา” “เจ้าค่ะคุณหนู” พี่จิวซิ่งยิ้มรับคำสั่ง ก่อนจะหยิบหวีไม้เนื้องามอันหนึ่งขึ้นมาค่อยๆ สางผมให้เส้นผมคลายความยุ่งเหยิงลง เมื่อหวีเสร็จนางจึงค่อยรวบผมครึ่งหัวเข้ามาทีละข้างและจัดการถักเปียแล้วมัดผมต่อ หลังจากนั้นจึงมวยผมให้เด็กสาวไม่สูงมากนัก พี่จิวซิ่งปักปิ่นหยกขาวที่แกะสลักลวดลายงดงามลงไปบนมวยผมก็เป็นอันเสร็จ คนโบราณนี่แต่งตัวกันนานชะมัด ฉันนั่งทำหน้าซังกะตายอยู่หน้ากระจกทองเหลืองและคอยนั่งมองสำรวจรูปลักษณ์ของตนไปพลางๆ หน้าตาก็ไม่ได้ต่างไปจากตอนอยู่โลกโน้นมากนัก มีเพียงแค่ดวงตาเท่านั้นที่กลมโตและเป็นสีทับทิมสดใส   “ไปเดินเล่นกันเถอะพี่จิวซิ่ง” ฉันเอ่ยปากชักชวนพี่เลี้ยงสาวด้วยรอยยิ้ม “แต่วันนี้ลมแรงนะเจ้าคะคุณหนู วันหน้าค่อยไปเถิดนะเจ้าคะ” “ก็ได้” ฉันทำแก้มพองๆ พร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน อยากจะเดินสำรวจแต่สภาพแวดล้อมไม่อำนวย เฮ้อ! วันนี้ก็คงอยู่ได้แค่ภายในเรือนเท่านั้นใช่หรือไม่?   “แล้วที่จวนแห่งนี้พอจะมีสวนดอกไม้บางรึไม่? ข้าอยากจะไปนั่งตากลมเล่นสักพัก” “สักพักนี่นานเท่าใดหรือเจ้าคะ หากคุณหนูตากลมนานเกินไปอาจทำให้ไม่สบายได้เจ้าคะ” เมื่อฟังพี่จิวซิ่งกล่าวจบ ฉันจึงใช้มันสมองอันน้อยนิดของตนเค้นเอาการนับช่วงเวลาในสมัยจีนโบราณออกมาใช้ อืม...ไปนั่งนานเท่าไหร่ดีนะ? “หนึ่งก้านธูป(ประมาณ15นาที)ก็พอ” “เจ้าค่ะ” พี่จิวซิ่งพยักหน้ารับคำก่อนที่นางจะขอล่วงหน้าเพื่อไปเตรียมน้ำชาและขนมให้ฉัน    เมื่อพี่จิวซิ่งเตรียมน้ำชาและขนมจนเสร็จ นางก็ได้เข้ามาช่วยพยุงตัวฉันไปยังสวนดอกไม้   สวนที่นี่มีดอกไม้มากมายหลายชนิดและยังเป็นสวนส่วนตัวของฉันอีกด้วย ดอกเหมยบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมสดชื่นไปทั่วอาณาบริเวณ กลิ่นของดอกเหมยช่างวิเศษเสียจริง “เดี๋ยวจิวซิ่งรินน้ำชาให้นะเจ้าคะ” “อื้อ!” ฉันหยิบขนมเข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่าด้วยความเพลินมือ ช่างเป็นขนมที่มีรสชาติดีและเคี้ยวเพลินเสียจริง! “น้ำชาเจ้าค่ะคุณหนู” “ขอบใจ” ฉันยกน้ำชาเข้าปากอย่างรวดเร็วแต่แล้วก็ต้องสะดุดกับรสชาติและกลิ่นที่พิลึกพิลั่นของชาถ้วยนี้จนเผลอพ่นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ตายแล้ว! คุณหนูเจ้าคะ กริยาเช่นนี้ไม่งามเลยนะเจ้าคะ!” พี่จิวซิ่งเอ็ดฉันเสียงดังก่อนจะรีบหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าของตนขึ้นมาซับปากและเสื้อผ้าของฉัน “พ่นสมุนไพรของข้าออกมาเช่นนี้ เจ้าช่างใจร้ายยิ่งนัก” เสียงนุ่มทุ้มชวนให้ผู้คนที่ได้สดับรับฟังเคลิ้มไปกับน้ำเสียงของเขาดังขึ้นมา ชายหนุ่มผู้นี้ทำหน้ายียวนกวนบาทาฉันเป็นอย่างมาก   เขาค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ ทุกย่างก้าวที่เขาเดินมาช่างงามสง่าราวกับเทพเซียนจำแลงกาย “กลับเรือนเมื่อใดข้าจะจับเจ้ากรอกยาให้หมดหม้อเสียเลย...น้องเล็กของข้า” ชายหนุ่มพูดจบพร้อมกับแสยะยิ้มให้ฉัน รูปร่างดุจเทพเซียน วาจาและกริยาดุจปีศาจผู้ชั่วร้าย! “อย่าจับข้ากรอกยาเลยเจ้าค่ะ พี่สองสยองเกล้าของน้อง!” ฉันกระแทกเสียงกลับไปยังพี่ชายคนที่สอง เขามีสกิลเทพทางด้านวิชาแพทย์ อีกทั้งยังเอ็นดูสมุนไพรประดุจลูกน้อยของเขาเอง แน่นอนว่าที่ฉันพ่นสมุนไพรของเขาออกมาก็เปรียบเสมือนฆ่าลูกของเขาก็ไม่ปาน สงสัยงานนี้คงได้มีเหตุเลือดตกยางออกกันเป็นแน่  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม