บทที่ 5 นามของข้าคือฟางเจียวเฟย

4067 คำ
“เซียน...บรรพกาล?” ข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่รึไม่? เซียนบรรพกาลมีอยู่จริงหรือ? แล้วเซียนบรรพกาลของที่นี่จะเหมือนกับที่ข้าเคยอ่านเจอในนิยายแนวเทพเซียนหรือไม่? ข้าชักจะชอบโลกนี้ขึ้นมาเสียแล้วสิ “อืม...เซียนบรรพกาล” “แล้วเซียนบรรพกาลอาศัยอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ?” “ขุนเขาแห่งหนึ่ง” ข้าจับจ้องไปยังเด็กสาวตัวน้อยที่มีท่าทีเปลี่ยนไปจากตอนแรก สายตาของนางช่างเปล่งประกายเสียจนออกหน้าออกตาเกินไปแล้วกระมัง? “แล้วท่านมาที่นี่เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ?” “เที่ยว” “...” หลังจากผู้รับใช้เซียนบรรพกาลกล่าวตอบคำถามของนางออกมา คำตอบของเขานั้นน่าจับตะบันหน้าเสียจริง หมัดในมือข้ามันสั่นไปหมดเลยทีเดียว... “เช่นนั้นก็เชิญท่านเที่ยวให้สนุกนะเจ้าคะ ข้ามีธุระที่ต้องรีบไปทำ” ยังไม่ทันที่ข้าจะได้ชิ่งออกมาจากตรงนั้น มือเรียวยาวของเขาก็กระชากแขนของข้ากลับไปอย่างแรง ข้าไม่ทันระวังตัวจึงเซถลาตามแรงดึงของเขาไป และข้าก็หวังให้เขารับตัวข้าตอนล้มด้วยจะดีมาก!  ปึก! ข้าเสียหลักเซล้มจนก้นกระแทกกับพื้นดินอย่างแรง ความเจ็บปวดค่อยๆก่อเกิดขึ้นมาทีละน้อยก่อนจะเพิ่มมากขึ้นจนเจ็บปวดอย่างรุนแรง ท่านรู้ตัวหรือไม่ว่าพื้นดินยังเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าท่านเสียอีก! ข้าโมโหชายที่ตรงหน้านี้จนเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ แต่ก็ทำได้แค่กล้ำกลืนมันลงไปเท่านั้น “เจ้าล่วงเกินข้าก่อน เช่นนั้นเจ้าต้องได้รับบทเรียนคืนเช่นกัน!” “ก็แล้วใครจะไปรู้ว่านกกระเรียนอย่างท่านจะมีตำแหน่งสูงส่งเพียงนั้นล่ะเจ้าคะ?” หน้าตาก็เหมือนนกกระเรียนบ้านๆทั่วไปแท้ๆ “เจ้าว่าข้าเหมือนนกกระเรียนบ้านๆหรือ!?” “ท่านอ่านใจของข้าได้?” “หึ! ข้ามิใช่มนุษย์อ่อนแอเช่นพวกเจ้าเสียหน่อย” เทพเซียนบรรพกาลเจ้าคะ ข้าขออนุญาตนำกระเรียนตัวนี้ไปตุ๋นกินเสียหน่อยนะเจ้าคะ... “ท่านจะเอาคืนข้าอย่างไรท่านก็ว่ามา ข้าขี้เกียจต่อปากต่อคำกับนกกระเรียนเช่นท่านแล้วนะเจ้าคะ” ข้าพูดพลางถอนหายใจไปด้วย   ฟางเจียวเฟยที่ได้ยินและเห็นท่าทีที่เบื่อหน่ายของนางก็บันดาลโทสะขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง มือของเขาเอื้อมไปจับศีรษะของเด็กสาวตัวน้อย ก่อนจะค่อยๆยีหัวของนางไปมาอย่างรุนแรง เส้นผมของนางที่ถูกรวบเก็บไว้อย่างเรียบร้อย ตอนนี้กลับกลายเป็นพันกันเสียจนยุ่งเหยิงไปหมด เด็กสาวตัวน้อยมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ขุ่นเคือง แต่เขาก็หาได้สำนึกไม่ มิหนำซ้ำยังยิ้มร่าด้วยความสนุกสนานที่แกล้งเด็กน้อยได้สำเร็จ เมื่อเขายีหัวนางจนสมใจอยากแล้วจึงค่อยๆนำมือของตนกลับมาซุกไว้ที่แขนเสื้อดังเดิม “ข้าไม่เอาเรื่องเจ้าก็ได้เด็กน้อย ขอแค่ข้าได้แกล้งเจ้าจนสมใจอยากความผิดทั้งหมดของเจ้าข้าจะถือเสียว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน” ฟางเจียวเฟยพูดพลางวางมาดเข้มใส่เด็กสาวทันที   ข้าทำได้แต่เบะปากใส่เขาอย่างเงียบๆ ในใจข้าตอนนี้มันกำลังลุกไหม้ไปด้วยความโกรธ เจ้ารู้หรือไม่ว่ากว่าข้าจะรวบผมออกมาให้เรียบร้อยมันไม่ง่ายเลยนะ! “เมื่อไหร่ท่านจะกลับไปเสียทีเจ้าคะ?”   น้ำเสียงของเด็กสาวแสดงออกถึงความไม่พอใจเขาอย่างยิ่ง คำถามของนางราวกับกำลังขับไล่เขาให้กลับไปทางอ้อมอย่างไรอย่างนั้น ฟางเจียวเฟยหน้ากระตุกเล็กน้อยหลังรู้เจตนารมณ์ที่แฝงอยู่ในคำถามของเด็กสาว เขาตัดสินใจที่จะไม่ต่อปากต่อคำกับนาง ก่อนจะค่อยๆหมุนตัวเตรียมจะกลับไปยังที่ของตน แต่ทันใดนั้นเขาก็ชะงักตัวหยุดไว้ แล้วหันกลับมาทางเด็กน้อยด้วยสายตาประหลาดใจ เหตุเพราะมีกลิ่นแปลกๆลอยออกมาจากตัวของนางนั่นเอง   กลิ่นเช่นนี้...กลิ่นของคำสาปไม่ผิดแน่ เป็นดังที่ท่านเทพเซียนบรรพกาลกล่าวเอาไว้ไม่มีผิด “นี่! นังหนู” เขาตะโกนเรียกเด็กสาวเอาไว้ นางตกใจเสียจนร่างกายกระตุกไปหมด นางมองค้อนใส่เขาเป็นการคาดโทษทันที “มีอันใดอีกเจ้าคะ?” “เจ้าเข้ามาใกล้ๆข้าหน่อยสิ” เขาพูดพลางยกมือเรียวกวักเรียกนาง เด็กสาวถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านแปดของวันก่อนจะสาวเท้าด้วยความเร็วมุ่งสู่ด้านหน้าของนกกระเรียน นางเดินเข้าไปด้วยความงุนงง สายตาของนางมีคำถามหลากหลายผุดขึ้นมาและพร้อมจะถามเขาออกมาทุกเมื่อ แต่ฟางเจียวเฟยไม่มีเวลามาตอบคำถามอะไรกับเด็กสาวอีกต่อไป เพราะกลิ่นคำสาปที่โชยออกจากตัวนางนั้นเป็นกลิ่นที่ร้ายแรงน่าดู เรียกได้ว่าถ้าหากเผลอไผลไปแม้เพียงนิดก็สามารถคร่าชีวิตของนางได้ในพริบตา “ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าไปทำให้เทพองค์ใดพิโรธจนโดนคำสาปร้ายแรงเช่นนี้มา แต่เพื่อเป็นการปลอบใจสาวน้อยเช่นเจ้า ข้าจะมอบเครื่องรางเอาไว้ป้องกันคำสาปพวกนี้ก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบ เขาก็เอามือล้วงเข้าไปในเสื้อคลุมปักลายใบไผ่อยู่นานสองนานก่อนจะจับข้อมือเล็กๆของเด็กสาวเข้ามาหาตน ในมือของเขานั้นมีกำไลหยกแกะสลักที่เทพเซียนบรรพกาลฝากมามอบให้เด็กสาวที่เขาตามหาอยู่ เขาค่อยๆสวมมันให้กับเด็กสาวอย่างเบามือก่อนจะร่ายคาถาอาคมตามลงไป   เด็กสาวมองสิ่งที่เขากำลังทำก็พาให้นึกถึงแม่หมอผู้นั้น ตอนที่นางสวมกำไลหยกให้ข้า กำไลหยกนั้นก็เกิดรอยร้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ว่าทำไมกำไลหยกของนกกระเรียนตนนี้ถึงไม่เป็นอะไรเลย? ของวิเศษส่งตรงจากแดนเซียนหรือนี่? “ฟังข้านะเด็กน้อย ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าก็ห้ามถอดกำไลหยกชิ้นนี้ออกเด็ดขาด ข้าไปล่ะ!” เขากล่าวกำชับกับข้าก่อนจะแปลงกายกลับไปเป็นนกกระเรียนดังเดิม เขาหันกลับมามองข้าเล็กน้อยก่อนจะบินจากไปทันที ข้ายังคงมองกำไลหยกชิ้นนี้สลับกับการขบคิดถึงเรื่องราวที่จิวซิ่งเล่าให้ฟัง ที่แท้ก็เป็นเพราะคำสาปนั้นนั่นเอง   แต่พับเรื่องนี้เก็บเอาไว้ก่อนเสียจะดีกว่า เพราะข้าต้องรีบไปศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการบำเพ็ญตบะของเซียนต่อ เมื่อนึกได้ดังนั้น ข้าก็ตื่นเต้นเสียจนห้ามตัวเองไม่อยู่ สุดท้ายก็ลากจิวซิ่งออกมาจากโรงครัวแล้วบุกเข้าไปในห้องตำราทันที   ห้องตำราสกุลจาง บรรยากาศภายในของห้องตำราคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นที่มีจำนวนมาก เนื่องมาจากแทบจะไม่มีใครเข้ามาใช้งานในห้องนี้กันหลายปีมาแล้ว ชั้นวางตำราหลายสิบชั้นเต็มไปด้วยหยากไย่ แถมบางจุดก็มีปลวกขึ้นอีกต่างหาก ข้าเดินสำรวจไปตามชั้นตำราต่างๆอย่างสนอกสนใจและพยายามเมินฝุ่นและกลิ่นอับชื้นที่ก่อกวนข้าอยู่ในตอนนี้ มีตำราจำนวนมากที่เสียหายไปตามกาลเวลา บางเล่มน้ำหมึกก็เลอะเลือนไป บางเล่มก็ถูกปลวกแทะจนเกือบหมด ข้ามองเหล่าตำราพวกนั้นด้วยสายตาที่ผิดหวัง ตำราพวกนี้แทบจะไม่มีเล่มไหนหลงเหลืออยู่ในสภาพที่ดีเลยสักนิด ข้ามองห้องตำราที่ทั้งเก่าและทรุดโทรมไปมา สงสัยว่าข้าคงต้องออกไปหาซื้อตำราด้วยตัวเองเสียแล้วกระมัง?   จิวซิ่งที่แอบมองทีท่าของคุณหนูตัวน้อยก็พลอยห่อเหี่ยวใจไปด้วย เพราะตั้งแต่ที่คุณชายทั้งสามแยกย้ายกันเข้าสำนักไป นายท่านเองก็ไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะเข้ามาใช้งานที่ห้องตำรา ส่วนฟูเหรินในปีนั้นก็กำลังวิ่งวุ่นหาวิธีรักษาคุณหนูจนหัวหมุน ที่นี่จึงถูกทิ้งร้างเอาไว้โดยไม่ทันได้รู้ตัว   “คุณหนูเจ้าคะ...” จิวซิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ้อยอิ่ง “ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องออกไปซื้อตำราเอาเองเสียแล้วล่ะ...” ข้าพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ห้องตำราของจวนนี้ทำให้ข้าผิดหวังนัก  ข้าหมุนกายเดินออกจากห้องตำราและมุ่งหน้าสู่เรือนใหญ่ทันที   ตอนนี้เวลาก็ปาเข้าไปยามเซิน[1]แล้ว ถ้าต้องการจะออกไปซื้อตำราข้างนอกก็คงต้องขออนุญาตจากท่านพ่อและท่านแม่เสียก่อน แล้ววันพรุ่งนี้จึงค่อยเดินทาง ข้าจมอยู่กับความคิดได้ไม่นานก็มาถึงเรือนใหญ่ของท่านพ่อและท่านแม่แล้ว แต่วันนี้ดูเหมือนท่านพ่อจะไม่อยู่เพราะคืนนั้นที่ร่วมโต๊ะอาหารกัน ท่านพอเคยพูดเอาไว้ว่าจะต้องไปจัดเตรียมการคัดเลือกทหารเข้ากองทัพอะไรนั่นและอาจจะไม่ได้กลับบ้านเสียพักใหญ่ ข้าไม่มีทางเลือกนักจึงต้องไปขอร้องท่านแม่ให้ข้าออกไปซื้อของ ข้าเดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าประตูห้องนอนของเรือนใหญ่ ก่อนจะค่อยๆเคาะประตูสามครั้งและผลักบานประตูอย่างเบามือ ภายในนั้นข้าเห็นท่านแม่กำลังนั่งปักผ้าอยู่ด้วยความสงบเสงี่ยม กลิ่นหอมของกำยานดอกไม้ชวนให้เคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นนั้น ท่านแม่ซึ่งนั่งปักผ้าอยู่ก็ได้หยุดมือที่กำลังปักผ้าลง นางค่อยๆเงยหน้าและหันมามองหลี่หลินอย่างช้าๆแต่ก็ยังคงความสง่างามเอาไว้ “มีอันใดหรือ หลินเอ๋อร์?” นางกล่าวถามลูกสาวตัวน้อยของนาง “ข้าอยากจะมาขออนุญาตจากท่านแม่เจ้าค่ะ” “เรื่องอันใด?” “ข้าจะขออนุญาตออกไปซื้อตำราที่ตลาดในเมืองเสียหน่อยเจ้าค่ะ” ข้ารีบอธิบายให้ท่านแม่ทราบทันที เพราะท่านแม่เองก็ถือว่าเป็นนักปราชญ์เหมือนกัน ท่านคงไม่ใจไม้ไส้ระกำจนถึงขนาดกักขังข้าให้อยู่แต่ในเรือนหรอก “ตำราเรื่องใดหรือ?” “ตำราเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนเจ้าค่ะ” “...” ท่านแม่พยักหน้าเพื่อบอกว่าตนได้รับรู้แล้ว  เยว่ชิงไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความอีก เพราะตัวนางเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าถึงแม้ว่าห้องตำราของจวนสกุลจางจะไม่ถูกทิ้งร้าง แต่อย่างไรเสียก็คงไม่มีตำราที่เขียนเกี่ยวกับเซียนตั้งเอาไว้ในห้องตำราอยู่ดี  เมื่อนางได้ทราบความต้องการของลูกสาวตัวน้อยจึงมิได้ห้ามปรามนางแต่อย่างใด นางกำชับเพียงว่าให้แต่งตัวดูบ้านๆเพื่อไม่ให้สะดุดสายตาของคนอื่นก็พอ ข้าดีใจมากที่ท่านแม่ไม่ได้ห้ามให้ข้าออกไปข้างนอก ข้าจะได้ถือโอกาสนี้ในการเดินสำรวจเมืองของโลกนี้ไปด้วยเลยก็แล้วกัน ข้าสั่งให้จิวซิ่งไปหาเสื้อผ้าเด็กผู้ชายบ้านๆมาให้ข้าทันที เพราะพรุ่งนี้ข้าจะต้องออกไปตามหาตำราเกี่ยวกับเซียนตั้งแต่เช้า จิวซิ่งแอบเสียดายเล็กน้อยที่คุณหนูของตนไม่ยอมสวมใส่เสื้อผ้าแบบเด็กผู้หญิง เพราะในแผ่นดินนี้แทบจะไม่มีสตรีคนใดที่แต่งกายเป็นชายเลย จิวซิ่งลอบถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะขอตัวไปเตรียมชุดเด็กผู้ชายแบบบ้านๆมาให้คุณหนูในวันรุ่งขึ้นทันที   ข้านอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงไม้แกะสลักลวดลายงดงาม ตาของข้านั้นบังคับให้ข่มตาหลับได้ยากยิ่ง เหตุเพราะคงจะตื่นเต้นที่จะได้ออกไปเที่ยวนอกจวนในรอบหลายวัน ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ข้าก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่แต่ในจวนมิได้ออกไปที่ใด สายตาข้าจับจ้องไปทางหน้าต่างที่มีผ้าม่านผืนบางปกปิดเอาไว้ เมื่อจ้องมองไปอย่างไร้จุดหมายสุดท้ายข้าจึงตัดสินใจหันหน้าเข้าหากำแพงและข่มตาหลับให้ได้ เหตุเพราะข้าไม่อยากตื่นสาย หากออกจากจวนช้าข้าก็จะมีเวลาเดินเที่ยวเพียงนิดเดียวเท่านั้น ข้าคิดได้ดังนั้นก็ได้แต่พยายามนอนนับแกะทีละตัวสองตัวไปมาจนผล็อยหลับไปในที่สุด ทันใดนั้นกำไลหยกที่ไร้บทบาทมาพักหนึ่งก็ได้เรืองแสงมรกตขึ้นมาในระยะสั้นๆ ก่อนที่แสงจะค่อยๆเลือนหายไปเป็นปกติดังเดิม เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้ใดรับรู้ แม้กระทั่งเด็กสาวที่กำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความสบายใจก็เช่นกัน กำไลหยกแกะสลักวงนี้มันกำลังส่งผ่านความร้อนจำนวนหนึ่งเข้าสู่ร่างกายของเด็กสาว เหมือนมันเองก็รับรู้ได้ว่าอุณหภูมิในร่างกายของเด็กสาวกำลังลดต่ำลงโดยที่นางไม่รู้ตัว มันจึงช่วยส่งผ่านความร้อนเข้าสู่ร่างผู้เป็นเจ้าของของมัน ณ ปัจจุบัน เสียงเหล่านกน้อยพากันขับขานต้อนรับเช้าตรู่ของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆของดวงอาทิตย์ได้ลอดผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามา เด็กสาวตื่นขึ้นจากการหลับใหลและอ้าปากหาวอย่างสบายอารมณ์ จิวซิ่งรีบยกบันไดไม้มาวางไว้ใต้เท้าของข้า ก่อนจะรีบไปรินน้ำลงในอ่างล้างหน้าอย่างเช่นทุกเคย ข้าค่อยๆเหยียบบันไดไม้น้อยๆนั่นอย่างช้าๆจนกระทั่งเท้าแตะถึงพื้น ข้าเดินไปยังอ่างล้างหน้าและวักน้ำล้างหน้าเหมือนทุกๆวัน จิวซิ่งเดินไปเตรียมน้ำอาบให้ข้า และนางไม่ลืมที่จะกล่าวกับข้าหนึ่งประโยคก่อนจากไป “วันนี้จิวซิ่งจะพาคุณหนูไปหาอะไรทานที่ตลาดนะเจ้าคะ” “อื้อ” ข้าพยักหน้ารับคำก่อนจะเตรียมตัวอาบน้ำ   น้ำอุ่นที่ถูกตระเตรียมเอาไว้โดยจิวซิ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้ารีบเดินไปยังหลังฉากกั้นก่อนจะปลดเปลื้องชุดนอนออกมาพาดไว้บนฉากกั้น เรื่องการอาบน้ำนั้นข้าได้กำชับกับจิวซิ่งไว้ว่าข้าจะอาบเอง ส่วนการแต่งตัวหลังจากที่ข้าใส่ชุดตัวในจนเสร็จหมดแล้วข้าจึงจะอนุญาตให้นางมาช่วยข้าแต่งตัว ในช่วงแรกๆนั้นจิวซิ่งนางไม่ยินยอม เอาแต่กล่าวว่า ‘ปล่อยให้ผู้เป็นนายทำอะไรเองไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เพราะทั้งหมดมันคือหน้าที่ของพวกบ่าวที่คอยรับใช้ผู้เป็นนาย’ แต่หลังจากที่ข้าขู่ว่าจะลากนางไปโบย นางก็เลยยินยอมแต่โดยดี กลิ่นของดอกไม้อ่อนๆโชยมาจากอ่างไม้ ในอ่างนั้นมีน้ำอุ่นอยู่ภายในอ่างและถูกโรยไปด้วยกลีบดอกเหมย กลิ่นนี้ช่วยกระตุ้นให้ข้าอยากอาบน้ำมากยิ่งขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้หลายวันที่ข้าต้องแช่แต่น้ำสมุนไพรที่มีแต่กลิ่นฉุน ข้าค่อยๆหย่อนตัวเองลงอย่างช้าๆด้วยความสบายใจ กลิ่นก็หอม น้ำก็อุ่น วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีเสียจริง ข้าลงแช่น้ำได้เกือบๆหนึ่งก้านธูป จิวซิ่งจึงรีบตะโกนให้ข้าขึ้นจากอ่างและรีบไปแต่งตัวให้เสร็จโดยเร็ว ข้าไม่รอช้ารีบขึ้นจากการแช่น้ำและมุ่งไปแต่งตัวทันที   จิวซิ่งหยิบชุดเด็กผู้ชายสีซีดขึ้นมาชุดหนึ่ง ก่อนจะจัดแจงสวมใส่มันให้เรียบร้อยทันที เมื่อแต่งตัวเสร็จจิวซิ่งก็พาข้ามานั่งตรงหน้ากระจกทองแดงและหยิบหวีขึ้นมาสางผมด้วยความรวดเร็ว นางค่อยๆรวบผมของข้าให้เป็นมวยหลังจากนั้นนางก็นำผ้าคลุมมวยผมขึ้นมาคลุมและเอาเชือกมารัดให้แน่นจนเสร็จเรียบร้อย เมื่อข้าและจิวซิ่งจัดแจงการแต่งกายเสร็จ ทหารที่เฝ้าประตูด้านหน้าของจวนก็ได้ส่งคนมาบอกพวกข้าว่ารถม้ามาถึงจวนแล้ว ข้าและจิวซิ่งสบตากันแวบหนึ่งเป็นเชิงบอกว่าให้รีบไปกันได้แล้ว ข้าและจิวซิ่งเดินมาถึงหน้าประตูของจวนและขึ้นรถม้าไปกันแบบเงียบๆ โดยมีเหล่าทหารเวรยามหน้าประตูยืนส่งพวกข้ากันอย่างสงบเสงี่ยม ในรถม้าหนึ่งคันมีเด็กสาวอยู่สองคนและคนขับรถม้าซึ่งเป็นผู้ชายอีกหนึ่งคน ถึงแม้ว่าการปล่อยให้หญิงสาวสองคนไปเที่ยวด้วยกันเพียงลำพังจะดูอันตราย แต่ว่าท่านแม่เองก็ไม่ลืมที่จะส่งผู้ติดตามไร้เงาให้ตามติดไปด้วยเช่นกัน   ตลาดคนเดิน เมืองหลวงแคว้นเลี่ยงจิน ข้าและจิวซิ่งเดินทางมาถึงที่ตลาดคนเดินแห่งนี้เวลาก็ล่วงเข้าไปเป็นยามเฉิน[2]แล้ว ข้าสังเกตและมองไปรอบๆบริเวณของตลาด บรรยากาศของที่นี่ครึกครื้นดีไม่ขาดสาย เสียงของผู้คนดังจอแจไปทั่วบริเวณ คนมากหน้าหลายตาทั้งชายและหญิงต่างเดินจับจ่ายข้าวของที่ขายอยู่ภายในตลาด เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างแย่งชิงลูกค้ากันอย่างสนุกสนาน ข้าเลือกที่จะเดินตามหาร้านตำราโดยทำใจไม่แวะร้านอื่นใดเลย นั่นก็เป็นเพราะข้าตั้งกฎกับตนเองเอาไว้ว่าถ้าหากยังไม่ได้ตำรา ข้าก็จะไม่แวะร้านอื่น   ข้าได้สอบถามชาวบ้านว่าตลาดแห่งนี้มีร้านตำราอยู่หรือไม่ ปรากฏว่าชาวบ้านหลายๆคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามีอยู่ร้านหนึ่ง ร้านตำราแห่งนั้นเป็นดั่งร้านตำราวิเศษที่สามารถตามหาตำราที่ต้องการให้แก่ลูกค้าได้ ถึงราคาจะสูงแต่คุณภาพและการบริการของร้านก็ดียิ่ง ข้าจึงเลือกที่จะยืนหยัดในคำพูดของบรรดาชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนี้ ข้าและจิวซิ่งพากันเดินเข้ามาตามตรอกซอยที่ชาวบ้านชี้มา ข้าเดินเข้าไปค่อนข้างลึกพอสมควร ภาพตรงหน้าของข้าก็ได้ปรากฏบานประตูขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ป้ายหินอ่อนขนาดใหญ่ด้านบนประตูนั้นสลักคำว่า ‘ฮุ่ยเจิน’ ข้าเดินเข้าไปผลักบานประตูให้เปิดออกและมุ่งหน้าเข้าสู่ร้านตำราสารพัดนึกทันที ภายในร้านประดับประดาไปด้วยของตกแต่งที่เรียบง่ายและเงียบสงบ ลูกค้าทั้งหลายที่มาใช้บริการร้านแห่งนี้ต่างพร้อมใจกันไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น ต่างคนต่างอ่านตำราที่ตนเลือกมาและจมดิ่งอยู่กับตัวเอง ข้ารีบเดินตรงไปยังผู้ที่ข้าคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้านทันที “เถ้าแก่ ข้ามาตามหาตำราเรื่องหนึ่ง” ข้าเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเถ้าแก่หันหน้ามาทางข้าพอดี “ตำราเรื่องใดเล่าเด็กน้อย?” เถ้าแก่ถามตอบกลับมาพร้อมยิ้มตาหยี “ตำราเรื่องที่เกี่ยวกับเซียน” “เอ...เจ้าพอจะมีชื่อตำราให้ข้ารึไม่? ข้าจะได้จัดหาให้เจ้าได้ถูก” “ข้าเอาทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องเซียน ราคาแพงเท่าใดข้าย่อมจ่ายได้”   เถ้าแก่มองท่าทีของเด็กชาย(ที่เป็นหญิง) ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ดูจากการแต่งกายของเขาแล้วนั้น เงินสักแดงคงแทบไม่มี “โฮ่...ข้าเกรงว่าเจ้าอาจจะได้เป็นหนี้ข้าแทนน่ะสิพ่อหนุ่ม” น้ำเสียงของเถ้าแก่พลันทำให้มุมปากของข้ากระตุก “ราคาหนึ่งพันตำลึงเงินเจ้าจะจ่ายให้ข้าไหวรึไม่? หนึ่งพันตำลึงเงินนี้ข้ารวมค่าตำราและค่าบริการเอาไว้แล้ว” “เหตุใดราคาตั้งหนึ่งพันตำลึงเงิน? ราคาแพงเช่นนี้ท่านไม่คิดว่าเกินควรไปหน่อยหรือ?” ข้ารีบแย้งกับราคาที่ค่อนข้างจะหนักหน่วงทันที “พ่อหนุ่มน้อย เจ้าบอกว่าเจ้าอยากได้ตำราที่เกี่ยวกับเซียนทั้งหมดใช่รึไม่? ที่ร้านของข้ามีอยู่แปดเล่ม แต่ละเล่มข้าคิดเจ้าแค่เล่มละร้อยตำลึงเงิน เพราะตำราเหล่านี้มันก็เก่ามากแล้ว อีกทั้งผู้คนที่มาจับจ่ายตำราที่ร้านของข้าหากมิเป็นชาวยุทธก็เป็นนักปรุงโอสถ ฉะนั้นแล้ว ตำราที่เกี่ยวกับเซียนทั้งหลายจึงต้องลดราคาจากเดิมลงมามากอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนค่าบริการข้าคิดเจ้าอีกสองร้อยตำลึง มันไม่เกินไปหรอกหนา” ข้าฟังเถ้าแก่อธิบายถึงเรื่องราคาที่สูงลิ่วพลางพยักหน้าตามไปด้วย ผู้คนที่นี่ไม่คิดอยากจะเป็นเซียนกันบ้างเลยหรือ? ต่างจากที่อ่านมาในนิยายเสียจริง   เถ้าแก่พลางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เด็กชายผู้นี้ช่างอ่อนต่อโลกนัก ผู้คนที่คิดจะเป็นเซียนส่วนใหญ่แล้วจะเป็นลูกๆของเหล่าขุนนางที่ได้เข้าไปฝึกตนจนเป็นเซียนเสียมากกว่า แต่เขาเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดเด็กชายผู้นี้จึงไม่เลือกเป็นจอมยุทธหรือนักปรุงโอสถแทนเล่า? เพราะเส้นทางในการจะเป็นนั้นช่างง่ายดายกว่าเซียนนัก ข้ามองเถ้าแก่ที่จ้องข้าด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะเวทนาข้าและถอนหายใจซ้ำไปซ้ำมาจนข้าเริ่มรำคาญ ข้ากระตุกชายแขนเสื้อของจิวซิ่งเพื่อเป็นสัญญาณว่าให้นางรีบเอาถุงเงินของข้าออกมาเร็วๆ จิวซิ่งสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจในสิ่งที่ข้าทำ นางรีบหยิบเอาถุงเงินออกมาและส่งให้ข้าทันที ข้าเปิดถุงเงินและล้วงหยิบตำลึงทองออกมาหนึ่งก้อนและวางไว้ที่โต๊ะไม้ด้านหน้าของเถ้าแก่ทันที เถ้าแก่เมื่อเห็นเงินตำลึงทองก็แทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง ทั้งชีวิตของเขาแทบไม่เคยได้เห็นตำลึงทองเลย เถ้าแก่รีบใช้ให้ผู้ช่วยร้านทั้งหลายแยกย้ายกันไปห่อตำราทั้งแปดเล่มและหยิบยกตำลึงเงินมาเพื่อนทอนเงินให้เด็กชายตัวน้อย เมื่อตำราทั้งแปดเล่มถูกห่อจนเรียบร้อย เถ้าแก่จึงรีบยื่นห่อตำรามาให้ข้าทันที ข้ารับมาด้วยความดีใจอย่างถึงที่สุดที่ได้ตำราที่ตนต้องการมาไว้ในครอบครอง จิวซิ่งไม่อยากให้ข้ายกตำราจึงอาสาที่จะเป็นคนยกเอง ในขณะที่ข้ากำลังจะเดินออกจากร้าน เถ้าแก่คนนั้นก็ได้เรียกข้าเอาไว้ พลางหยิบตำลึงเงินทีละก้อนขึ้นมานับไปมาเพื่อเป็นเงินทอน “ไม่ต้องทอนหรอกเถ้าแก่” เถ้าแก่กำลังจะพูดทักท้วงข้าขึ้นมาเพราะไม่เห็นด้วย ข้าทั้งรำคาญและเสียเวลาในการอยู่ที่นี่มามากพอสมควร จึงโบกมือเพื่อตัดบทสนทนาทันที เถ้าแก่ได้แต่มองตามหลังข้าด้วยตาปริบๆเพียงเท่านั้น  ข้าจากร้านฮุ่ยเจินมาไม่ทันไรก็เดินสวนกับตาลุงแปลกหน้าเข้า ลุงคนนั้นแต่งตัวมอมแมมและผอมแห้งมาก เขามองข้าไม่หยุดและดูเหมือนจะเอาแต่จ้องตำราของข้าที่จิวซิ่งถือไม่หยุดเสียด้วย “อ่านตำราหมื่นเล่ม ก็มิสู้เดินทางหมื่นลี้[3]หรอกนะเด็กน้อย” เสียงอันแหบแห้งลอยมาตามสายลมก่อนจะค่อยๆเลือนหายไป กว่าข้าจะรู้สึกตัว ลุงคนนั้นก็ได้หายตัวไปเสียแล้ว เขากำลังจะสื่ออะไรกับข้ากันแน่?    ------------------------------------------   [1] ยามเซิน = 15.00น. จนถึง 16.59 น. [2] ยามเฉิน = 07.00 น. จนถึง 08.59 น. [3] อ่านหนังสือหมื่นเล่ม ก็มิสู้เดินทางหมื่นลี้ หมายความว่า การเดินทางไปตามที่ต่างๆทำให้เราได้รับรู้บทเรียนชีวิตได้มากกว่าจากการอ่านหนังสือ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม