บทที่ 6 ข้าอยากเป็นเซียน!

4505 คำ
หลังจากที่ข้าหันซ้ายมองขวาจนแน่ใจแล้วว่าตาลุงแปลกหน้าได้หายตัวไปเรียบร้อยแล้วข้าก็ถอนหายใจออกมา ข้ากำลังจะถามเขาอยู่เชียวว่าเขาหมายถึงอันใด? ดูจากท่าทางของจิวซิ่งแล้วก็รับรู้ได้เลยว่าข้าและนางไม่เคยไปมาหาสู่กับตาลุงผอมแห้งผู้นี้แน่นอน ข้าก้าวเท้าเดินออกไปอย่างไม่ใส่ใจมากนัก เพราะท้องน้อยๆของข้ามันกำลังกู่ร้องเรียกขอความเป็นธรรมขึ้นมาเสียระลอกใหญ่ จิวซิ่งจึงพาข้าเข้าร้านอาหารดีๆร้านหนึ่ง เราสองคนเดินเข้าไปในร้านและกำลังมองหาที่นั่งมุมดีๆสักมุม ทันใดนั้นเสี่ยวเอ้อน้อยก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับพวกข้าทันที เสี่ยวเอ้อยิ้มน้อยๆก่อนจะกล่าว "คุณชายน้อยและแม่นางน้อยต้องการที่นั่งตรงไหนเป็นพิเศษหรือไม่ขอรับ? ร้านของเรามีโต๊ะมุมที่ดีที่สุดอยู่บนชั้นสอง และมีโต๊ะแบบทั่วไปอยู่ชั้นล่าง ชั้นสามของทางร้านจะเป็นที่พัก มีทั้งแบบพักเดี่ยวและพักคู่ และก็ยังมี..." "จัดอาหารเนื้อมาสามจาน อะไรก็ได้ ขอที่นั่งชั้นสองริมหน้าต่างด้วย" ข้าพูดตัดบทเสี่ยวเอ้อช่างจ้อทันที ใบหน้าของเขาแอบหดหู่ไปแวบหนึ่งก่อนจะกลับมายิ้มร่าเหมือนเดิม   เสี่ยวเอ้อเดินนำเราสองคนไปทางที่นั่งริมหน้าต่างของชั้นสองทันที ที่นั่งตรงนี้ค่อนข้างอับสายตาจากผู้คน แต่มันก็มีข้อดีตรงที่บริเวรนี้จะค่อนข้างเงียบสงบกว่าโต๊ะอื่นๆ นั่นก็ทำให้ข้าพอใจเป็นอย่างมากแล้ว จิวซิ่งพาข้านั่งลงพร้อมกับจัดการวางกองตำราอย่างเบามือที่สุด ข้ามองไปรอบๆร้านอย่างนึกสนใจ บรรยากาศที่นี่คึกคักนัก คล้ายๆ กับที่เคยดูในหนังจีนก็ไม่เชิงสักเท่าใด จิวซิ่งรินชาที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ใส่ถ้วยชาเล็กๆก่อนจะส่งให้ข้า ข้าและจิวซิ่งที่นั่งรออาหารอยู่ก็ได้แต่พากันคุยถึงสิ่งของที่ขายในตลาดและเรื่องที่จะแวะร้านไหนเป็นร้านต่อๆไป   เราทั้งสองพูดคุยกันได้ไม่นาน ก็มีเสี่ยวเอ้อยกอาหารทั้งสามอย่างที่ข้าสั่งไปมาวางไว้บนโต๊ะ "ทานให้อร่อยนะขอรับ" เสี่ยวเอ้อยิ้มร่าก่อนจะโค้งให้พวกเราเล็กน้อยและเดินจากไปในที่สุด ข้ามองอาหารเนื้อทั้งสามบนโต๊ะด้วยตาที่ลุกวาว น่ากิน! น่ากินเหลือเกิน! ข้าไม่รอช้ารีบคีบอาหารทั้งสามเข้าปากอย่างรวดเร็ว ส่วนจิวซิ่งก็เอาแต่นั่งจ้องข้ากินอาหารอย่างสุขใจ ตั้งแต่ที่ข้าเริ่มกินอาหารมาก็ไม่เห็นว่านางจะแตะกับข้าวสักอย่างเลยแม้แต่น้อย นางเอาแต่นั่งมองข้าแล้วยิ้มตาหยีอยู่เงียบๆ เอ่อ...ข้าอึดอัดนะจิวซิ่ง...  เมื่อจิวซิ่งนั่งจ้องข้าแบบโดยมีทีท่าว่าจะหยุดแต่อย่างใด สุดท้ายข้าจึงยอมจำนนต่อสายตาของนางพร้อมกับพูดเชิญชวนให้นางกินด้วยกันกับข้า "ข้ายังไม่หิวหรอกเจ้าค่ะ แค่ข้าได้มองดูคุณหนูกินอย่างสุขใจ ท้องของข้าก็พลันอิ่มแล้วล่ะเจ้าค่ะ" จิวซิ่งพูดพร้อมอมยิ้มพลางบิดตัวไปมาด้วยความเก้อเขิน ข้านั่งมองอากัปกิริยาของจิวซิ่งที่ค่อนข้างน่าขนลุกขนพองสำหรับข้าอยู่นานสองนานก่อนจะลงมือจัดการกับอาหารทั้งสามต่อจนหมดเกลี้ยง ข้าลูบท้องน้อยๆที่กลมโตจนเกือบจะแตกของตนก่อนจะเรียกเสี่ยวเอ้อมาเพื่อจ่ายเงิน หลังจากที่จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยข้าก็ได้เดินนำจิวซิ่งและออกจากร้านไปในที่สุด  สองข้างทางเต็มไปด้วยแผงลอยสินค้าของพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลาย มีทั้งอาวุธแบบทั่วไป ผัก ปลา ผลไม้ และผ้าแพรหลากสีสันมากมายก็มีเช่นกัน ข้าไล่สายตามองแผงลอยข้างทางไปมาแต่ก็ยังไม่มีร้านใดที่ข้าอยากจะแวะเป็นพิเศษ ข้าจึงเลือกที่จะเดินดูไปเรื่อยๆสักหนึ่งเค่อแล้วจึงค่อยกลับ มีแผงลอยของร้านหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกลจากร้านอื่นๆ ข้าสะดุดตาเข้ากับแผงลอยของร้านนี้เหตุเพราะร้านนี้ขายเครื่องประดับที่งดงามมากมาย   ข้ารีบวิ่งตรงไปยังแผงลอยของร้านนั้นทันที ข้ากวาดสายตามองบรรดาเครื่องประดับทั้งหลายที่วางเรียงรายกันเต็มไปหมด ในใจก็พลันนึกอยากจะได้ปิ่นปักผมธรรมดาๆสักอัน เพราะปิ่นปักผมที่จิวซิ่งชอบใช้ประดับบนมวยผมของข้านั้นมันออกจะอลังการเกินไปเสียหน่อย ถึงแม้ว่าข้าจะเคยออกปากห้ามใช้ปิ่นปักผมอันนั้นประดับบนมวยผมของข้าเป็นอันขาดแล้วก็ตาม แต่จิวซิ่งกลับบอกว่าคุณหนูตระกูลอื่นๆมิได้ปักปิ่นสวยๆเพียงอันเดียว มีเพียงข้าเท่านั้นที่บอกให้จิวซิ่งปักเพียงอันเดียว ดังนั้นเรื่องปิ่นปักผมเองก็เป็นหนึ่งในเรื่องทะเลาะวิวาทระหว่างข้าและจิวซิ่งด้วยเช่นกัน  ข้าไล่สายตาหาปิ่นปักผมอยู่นานสองนานก็เจอเข้ากับอันที่ถูกใจ มันคือปิ่นปักผมไม้แกะสลักเพียงเล็กน้อยและห้อยระย้าเป็นรูปผีเสื้อเล็กๆน่ารัก ข้าถูกใจปิ่นอันนี้มากเสียจนต้องหยิบออกมาเชยชมทุกซอกทุกมุม จนในที่สุดข้าก็ตัดสินใจว่าจะซื้อเจ้าปิ่นนี้กลับไปให้ได้ ข้าจึงหันมองหาพ่อค้าหรือแม่ค้าที่เป็นเจ้าของแผงลอยนี้ แต่มองหาอยู่นานข้าก็หาไม่พบ จนกระทั่งข้าตัดสินใจว่าจะวางเงินทิ้งเอาไว้ให้ แต่ก็มีเสียงเสียงหนึ่งเอ่ยทักข้าขึ้นมาก่อนที่ข้าจะล้วงหยิบถุงเงินออกมาเสียอีก "ถ้าเจ้าชอบมันมากก็เอาไปเถิด ข้าให้" "เอ๊ะ?"   เสียงนี้มัน... "มันเหมาะกับเจ้าดีนี่นา นังหนู" ตาลุงผอมแห้งพูดขึ้นพลางหยิบปิ่นนั้นออกจากมือข้าเพื่อนำมันไปใส่กล่องลายสวยงามกล่องหนึ่ง ก่อนจะยื่นมันกลับคืนให้กับข้า  ข้ารับมันมาด้วยความงุนงง ข้าแต่งกายเป็นชายเช่นนี้แต่เขารู้ได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วข้าเป็นเด็กหญิง? พิลึกคนแหะ "มันเป็นของซื้อของขาย แพงเท่าไหร่ข้าก็สามารถจ่ายได้ ท่านมิต้องให้ข้าก็ได้..." "แล้วเจ้าคิดว่ามีผู้ใดรู้บ้างว่าตรงนี้มีแผงลอยขายสินค้าเล่า หืม? เจ้าลองมองดูรอบกายของเจ้าให้ดีเสียก่อนเถิด เด็กน้อย" ลุงแปลกหน้าพูดพลางชี้ให้ข้ามองไปรอบๆตัว ข้าจึงอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาต้องให้ข้ามองไปรอบๆด้วย?   ด้วยความที่ข้าทนความสงสัยไม่ไหวจึงเลือกที่จะมองดูรอบๆ ตามที่เขาบอกทันที ทันใดนั้นดวงตาของข้าพลันเบิกกว้างขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อครู่ยังมีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาแต่เหตุใดครานี้ถึงได้ร้างผู้คนเช่นนี้เล่า? แม้แต่จิวซิ่งเองข้าก็ไม่เห็นนางเลยแม้แต่เงา รอบๆกายของข้ามีเพียงลุงคนนี้เท่านั้นที่อยู่กับข้า แล้วผู้คนตั้งมากมายจะหายไปเพียงพริบตาได้อย่างไร? "ฮ่าๆ เจ้านี่มันเป็นเด็กน้อยที่โง่งมเสียจริง แต่ทักษะการจับสัมผัสของเจ้านั้นไม่เลว หากผู้ใดไม่มีคุณสมบัติในการบำเพ็ญเป็นเซียนก็จะไม่สามารถมองเห็นแผงลอยของข้าได้หรอก ไม่เลว ไม่เลว" ตาลุงผอมแห้งหัวเราะร่วนด้วยความชอบใจ อีกทั้งยังตบบ่าข้าซ้ำไปซ้ำมาอีกด้วย   ข้าได้แต่ยืนนิ่งเงียบไปเสียพักใหญ่ เหตุการณ์ตรงหน้าราวกับว่าข้าโดนผีหลอก คุณสมบัติบำเพ็ญเป็นเซียนคืออะไร? ผู้คนมากมายหายไปไหน? แล้วตาลุงคนนี้เป็นใคร? ก่อนที่ข้าจะได้เอ่ยถามสิ่งใดออกไป ลุงคนนั้นก็โบกมือเป็นเชิงไม่ให้ข้าพูด สักพักหนึ่งลุงผอมแห้งก็ผลักข้าจนกระเด็นออกไปไกลเสียหลายลี้ ข้าตกใจกับพลังมากมายมหาศาลที่ลุงผอมแห้งผู้นั้นมี มันมหาศาลผิดกับรูปลักษณ์ที่ผอมแห้งแรงน้อยของเขานัก "หากเจ้าอยากจะเป็นเซียน เจ้าก็จงไปเข้าร่วมการทดสอบที่สำนักหยางอินเสียเถิด ที่นั่นกำลังเปิดรับสมัครลูกศิษย์หน้าใหม่กันอยู่พอดี หวังว่าจะได้พบกันอีกครั้งนะ เด็กน้อย"  ร่างของข้าลอยออกมาไกลก็จริงแต่ไม่มีทีท่าว่าก้นของข้าจะกระแทกเข้ากับพื้นเลย นี่มันจะผิดหลักการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์เกินไปแล้วนะ! ข้าโหวกเหวกโวยวายอยู่ในใจไม่นาน เพียงครู่เดียว ข้าก็สะดุ้งอย่างแรงหนึ่งทีพร้อมกับหายใจเอาอากาศเข้าปอดเสียเฮือกใหญ่ รู้สึกตัวอีกทีข้าก็เห็นจิวซิ่งนั่งเขย่าร่างข้าไปมาพร้อมกับคราบน้ำตาที่เปรอะแก้มของนาง รอบตัวข้ามีทั้งชาวบ้านพ่อค้าแม่ค้ายืนรุมกันเต็มไปหมด บ้างก็นำพัดมาพัดเข้าที่หน้าใบหน้าของข้า บ้างก็ควักยาหอมออกมาให้ข้าดม บ้างก็ร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวาย สถานการณ์ตอนนี้ยุ่งวุ่นวายไปเสียหมด  ข้านิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืน จิวซิ่งและบรรดาผู้คนทั้งหลายต่างทำสีหน้าที่เป็นกังวลสุดๆออกมา เพราะพวกเขาเห็นว่าหน้าของข้ายังคงซีดเป็นไก่ต้มจึงอดเป็นกังวลไม่ได้ "เกิดอะไรขึ้น?" "คุณหนูเป็นลมเจ้าค่ะ ข้าตกใจแทบแย่ เดินอยู่ดีๆก็ล้มฟุบลงไปเลย ขอบคุณสวรรค์ที่ยังไม่พาท่านไป" จิวซิ่งร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด นางคว้าข้าเข้าไปกอดเสียแน่นจนข้าต้องร้องบอกว่าหายใจไม่ออกนางถึงจะปล่อย กลุ่มฝูงชนที่เห็นว่าข้าดีขึ้นแล้วจึงพากันแยกย้ายกันไปในที่สุด ข้าควานหากล่องใส่ปิ่นไปทั่วทั้งตัวจนคลำไปเจออยู่ที่อกเสื้อ เมื่อข้ารับรู้การมีอยู่ของมันข้าก็พลอยโล่งใจไปด้วย จิวซิ่งชักชวนให้ข้ารีบกลับจวนเพราะตอนนี้เวลาก็เกือบๆจะล่วงเข้ายามอุ้ย[1]แล้ว กว่าจะเดินทางกลับก็คงจะพลบค่ำพอดี ข้าเห็นด้วยกับนางจึงพากันเดินไปยังที่ที่รถม้าพักหลบความร้อนอยู่ จิวซิ่งพยุงข้าขึ้นรถม้าก่อนที่ตนจะตามเข้ามาติดๆ หลังจากนั้นพวกเราจึงได้เริ่มเดินทางกลับสู่จวนสกุลจางทันที ข้ามองวิวตามข้างทางจากบานหน้าต่างเล็กๆของรถม้า วิวทิวทัศน์ชองที่นี่ก็ดูจะไม่เลวสักเท่าไหร่ ขอจ้องมองอีกหน่อยก็คงไม่เป็นไร  หัวเล็กๆของเด็กสาวตัวน้อยโอนเอนไปมาตามจังหวะการเคลื่อนไหวของรถม้า จิวซิ่งผู้ทนไม่ไหวกับภาพตรงหน้าก็ได้จัดแจงท่านอนที่สบายๆให้คุณหนูของตนทันที นางยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะมองดูคุณหนูน้อยของนาง ยามหลับแบบเงียบๆจนกระทั่งถึงจวน   จวนสกุลจาง รถม้าคันหนึ่งค่อยๆหยุดลงยามเข้าใกล้ประตูจวน ทหารยามอี๋เฉินได้รีบวิ่งออกมารับคุณหนูน้อยของตนทันที เขาคิดว่าคุณหนูคงออกไปซื้อข้าวของกลับมามากมาย ตนจึงรีบวิ่งออกมาเพื่อจะช่วยคุณหนูและจิวซิ่งขนของเข้าเรือน แต่ก็ต้องตระหนกตกใจทันทีที่พบว่าคุณหนูของต้นกลับซื้อตำราแค่แปดเล่มกลับมาเท่านั้น ปกติผู้หญิงเขามิใช่ว่าจะต้องสนใจพวกของสวยๆงามๆหรอกหรือ? แล้วทำไมคุณหนูถึงได้ซื้อแต่ตำรากลับมาเล่า? จิวซิ่งทีเห็นสีหน้าของอี๋เฉินที่สงสัยใคร่รู้ก็ได้แต่ถอนหายใจ และไม่ลืมที่จะสะกิดเรียกสติของเขากลับมาด้วยเช่นกัน "ท่านอย่ามัวแต่นิ่งค้างอยู่เลย ตำรากองนี้หนักนัก ท่านช่วยข้าขนเข้าเรือนคุณหนูจะได้หรือไม่?" จิวซิ่งไม่พูดเปล่านางขนกองตำราออกมายื่นให้อี๋เฉินด้วย "อ่า..." อี๋เฉินเมื่อได้สติกลับคืนมาจึงรีบยกกองตำราและเดินนำลิ่วไปยังจวนคุณหนูน้อยทันที จิวซิ่งเข้าไปปลุกคุณหนูของตนในรถม้าพลางพยุงคุณหนูลงจากรถม้า "ถึงแล้วหรือ?" ข้าพูดพลางขยี้ตาไปมาเล็กน้อย "ถึงแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรีบไปอาบน้ำและรับสำรับมื้อเย็นด้วยนะเจ้าคะ" "อื้ม" ข้าและจิวซิ่งรีบเดินไปยังเรือนดอกเหมยสีชาดทันที เพราะการไปเที่ยวครั้งนี้สนุกก็จริง แต่ในเรื่องของการเดินทางไปและกลับนั้นทำเอาร่างกายของข้าปวดเมื่อยไปหมด อยากรีบๆอาบน้ำแล้วเข้านอนเสียจริง  ผ่านมาแล้วหลายเค่อ จิวซิ่งก็ยังคงไม่เห็นวี่แววว่าคุณหนูของตนจะออกมาจากห้องนอนแต่อย่างใด ในใจรู้สึกว่าอาจจะมีบางสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นกำคุณหนูของตนเป็นแน่ จิวซิ่งจึงตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไปในห้องนอนของคุณหนูน้อยทันที ภายในห้องกลับเงียบสงัด มีเพียงแสงเทียนจากตะเกียงที่ถูกจุดทิ้งไว้ตรงโต๊ะข้างเตียง ผ้าม่านผืนบางถูกปลดออกจากเสาเตียงทั้งสี่ ร่างเล็กของเด็กสาวตัวน้อยกำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างสบายใจ   โธ่...ที่แท้คุณหนูก็ผล็อยหลับเพราะความเหนื่อยเองหรือนี่? สิ้นเสียงถอนใจ จิวซิ่งจึงเดินสำรวจความเรียบร้อยภายในห้อง ก่อนจะดับตะเกียงแล้วเดินออกมาอย่างเงียบๆ ส่วนสำรับเย็นครั้งนี้ ข้าเองก็คงต้องจัดการแทนคุณหนูเสียแล้ว ว่าแล้วก็ไม่รอช้าจิวซิ่งรีบกินอาหารที่ทำให้คุณหนูทันที ถ้าเหลือทิ้งเยอะขนาดนี้ เดี๋ยวฟูเหรินต้องตามมาบ่นนางเป็นแน่แท้   ท่ามกลางความมืดมิดที่เหน็บหนาว มีเพียงเธอที่อยู่ที่นี่ มีเพียงเธอไม่มีใครอื่นใด เธอซึ่งอยู่ในร่างของหลี่หลินก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน เพราะที่แห่งนี้มันมืดมากเกินไปเสียจนมองไม่เห็นทิศทาง ผ่านไปไม่นานก็ค่อยๆก่อเกิดแสงสว่างทีละนิดราวกับหิ่งห้อยตัวน้อยก็ไม่ปาน แสงเหล่านั้นค่อยๆรวมกันจนกลายเป็นทางไปสู่ที่ใดสักแห่งหนึ่ง เธอจึงตัดสินใจที่จะเดินตามแสงเหล่านั้นไป ทันใดนั้นภาพความทรงจำจากภพที่แล้วก็ค่อยๆปรากฏขึ้นทีละจุดตามทางที่เธอเดินผ่านมา มันโผล่ขึ้นสลับกับหายไป มีทั้งความทรงจำที่ดีและไม่ดีปะปนกันไปหมด เธอเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งเจอบานประตูเก่าๆบานหนึ่ง มันเป็นบานประตูที่เก่าคร่ำครึและยังมีสนิมขึ้นตรงลูกบิดประตูอีกต่างหาก เธอค่อยๆเปิดประตูบานนั้นอย่างช้าๆ ภายในนั้นปรากฏเป็นภาพความทรงจำอันเลวร้ายของเธอเอาไว้ ใช่แล้ว...มันคือภาพความทรงจำก่อนที่เธอจะตาย   เธอมองดูภาพความทรงจำที่เธอถูก'ฆาตกร'ลอบฆ่าจนเสียชีวิตอย่างน่าอนาถในที่ที่ตัวเองไม่รู้จัก เจ้าของร้านบ้านั่นทำกันได้ลงคอ! นึกแล้วก็แอบแค้นอยู่ในใจ หลังจากที่ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นฉายช่วงที่ฉันถูกผลักตกน้ำจนจบ แทนที่ภาพความทรงจำมันจะหยุดลงเพียงเท่านั้น แต่มันกลับกลายเป็นว่ามันยังฉายต่อ ชายคนนั้นที่ผลักฉันตกน้ำไป อยู่ๆสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองของเขา ทันใดนั้นเรือนร่างที่เป็นชายหนุ่มก็ผันแปรเป็นร่างของผู้หญิงที่งดงามมากๆคนหนึ่ง อีกทั้งชุดที่เธอสวมใส่อยู่ก็ยังกลายเป็นชุดจีนโบราณอีกด้วย ฉันงงกับภาพที่กำลังฉายตรงหน้านี้ ทำไมถึงฉายต่อทั้งๆที่มันควรจะจบตั้งแต่ฉันตกน้ำ? ชายคนนั้นไม่สิ...ผู้หญิงคนนั้นแท้จริงแล้วเป็นใครกัน? เธอร้องไห้ให้ใครกัน? ยิ่งนานเข้าเธอก็ยิ่งร้องหนักขึ้น หนักเสียจนน้ำตาแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือด มองดูแล้วมันช่างน่ากลัวนัก  "ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบเสียที นานเท่าใดแล้วที่เจ้าจากโลกนั้นมาโดยไม่มีผู้ใดเหลียวแล..." ผู้หญิงคนนั้นเริ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ น้ำเสียงที่ปนสะอื้นของเธอฟังแล้วช่างหดหู่เหลือเกิน "กลับโลกของเราเถิดนะ อาหลิน..." เธอยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินลงน้ำไปอย่างช้าๆ ผิวน้ำกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงของหญิงสาวที่เดินลงน้ำไป ผ่านไปหลายนาทีผิวน้ำก็ค่อยๆ นิ่งสงบเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เมื่อภาพความทรงจำฉายจบมันก็ค่อยๆเลือนจากไปอย่างช้าๆและมีร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมาแทน ร่างของชายหนุ่มที่ไม่เด็กและไม่แก่ค่อยๆหันหน้ามาทางเธอ ทว่าภายในนี้ช่างมืดนัก ฉันจึงมองไม่เห็นใบหน้าของเขาแม้แต่เศษเสี้ยว "อีกไม่นาน...อีกไม่นาน..." เสียงที่เอ่ยออกมาเป็นเสียงเดียวกับในภาพความทรงจำนั้นไม่ผิดแน่ ใครกัน? "คุณเป็นใคร?" เสียงหัวเราะละมุนดังก้องไปทั่วบริเวณ ร่างของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นร่างของหญิงสาวที่งดงามผู้นั้นในทันใด เธอหัวเราะออกมาด้วยท่าทางที่อารมณ์ดี เธอค่อยๆเดินใกล้เข้ามาทางที่ฉันยืนอยู่เรื่อยๆก่อนจะหยุดลง ระยะห่างระหว่างฉันกับเธอมันห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง  "ถึงเวลาเจ้าก็จะรับรู้เอง เราจะได้พบกัน...ในเร็ววัน" "บอกแค่ชื่อก็ได้ค่ะ" ฉันพยายามต่อรองเธอให้มากที่สุดเพื่อให้เธอคลายความสงสัยของฉัน "หมดเวลาแล้วสาวน้อย ร่างของชายหนุ่มเป็นเพียงร่างที่ข้าหยิบยืมมา ตอนนี้ได้เวลาที่ข้าจะต้องนำร่างนั้นไปคืนแก่เจ้าของแล้ว"   เธอนั้นยิ้มให้น้อยๆก่อนจะเกิดกระแสลมที่รุนแรงพัดพาทุกสิ่งออกไป สายลมนั้นพัดพาสีดำให้กลายเป็นขาวอย่างรวดเร็ว รอบกายของฉันที่เคยมืดมัวตอนนี้กลับกลายเป็นสว่างจ้า สายตาของฉันพยายามสาดส่องไปทั่วบริเวณก็พบเข้ากับกระพรวนสีเงินกระพรวนหนึ่ง ฉันก้มเก็บมันขึ้นมาอย่างช้าๆและพยายามจะสำรวจมัน ไม่นานสติของฉันก็ดับวูบลงราวกับกำลังอยู่ในที่ที่มีแสงไฟแล้วมีคนปิดสวิตซ์ไฟอย่างไรอย่างนั้น  ร่างกายน้อยๆสั่นไปมาตามแรงเขย่า จากนั้นไม่นานข้าก็ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างช้าๆ พร้อมกับเหงื่อที่ท่วมกายจนชุดนอนของข้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ จิวซิ่งเมื่อเห็นข้าตื่นนางก็รีบหยุดเขย่าทันที นางนำน้ำมาให้ข้าดื่มพร้อมกับนำผ้ามาซับเหงื่อบนใบหน้าของข้าด้วยความแผ่วเบา "คุณหนูฝันร้ายหรือเจ้าคะ? เหงื่อท่วมตัวเยอะเช่นนี้รีบไปอาบน้ำดีกว่าเจ้าค่ะ เดี๋ยวจิวซิ่งจะไปเตรียมน้ำอาบให้" "พี่จิวซิ่ง" ข้าดึงชายเสื้อของนางเอาไว้ไม่ยอมปล่อย "คุณหนู..." "ข้าตัดสินใจแล้ว" "เจ้าคะ?" "ข้าจะเดินทางไปร่วมทดสอบที่สำนักหยางอินในอีกห้าวันข้างหน้า" "เอ๊ะ?" จิวซิ่งทำหน้าตางงงวยใส่ข้าด้วยความไม่เข้าใจ คุณหนูของนางอยากเป็นเซียนขนาดนั้นเลยหรือ? จิวซิ่งนิ่งเงียบยืนรอฟังคำพูดของคุณหนูน้อยต่อด้วยความใจเย็น "และข้าจะพาพี่สี่ไปด้วย" "เอ๊ะ!?" เสียงอุทานของจิวซิ่งดังก้องไปทั่วเรือน พวกบ่าวที่กำลังทำงานกันอยู่ข้างนอกต่างก็พากันตกอกตกใจกันไปหมด   เหตุใดคุณหนูต้องพาคุณชายสี่ไปด้วย? นายท่านจะโมโหอีกรึไม่? หวังว่าข้าจะไม่ถูกทำโทษอีกหนนะ... จิวซิ่งได้แต่คุยกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา หลังจากที่เกิดเรื่องแบบนั้นนางเองก็อดที่จะหวาดระแวงนายท่านขึ้นมาเช่นกัน ตอนที่ท่านโมโหมันช่างเป็นอะไรที่น่ากลัว "เบาๆสิ! เจ้าจะตกใจไปไย? อย่างไรเสียอีกห้าปีพี่สี่ก็ต้องกราบอาจารย์ ตอนนี้โอกาสก็มาแล้วมิสู้ให้เขาเข้าไปร่วมทดสอบพร้อมกันกับข้าเลยเล่า? คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก!" "แต่คงไม่คุ้มกับหัวของบ่าวที่จะหลุดออกจากบ่าหรอกเจ้าค่ะ" จิวซิ่งคร่ำครวญกับข้าเสียงดังเสียจนข้าหนวกหูไปหมด ข้าทนไม่ไหวจึงลุกไปอาบน้ำและรับสำรับเช้าทันที ส่วนจิวซิ่งนางก็ยังคงคอตกและทำท่าทางหดหู่อยู่ตลอดเวลา จิวซิ่งเอ๋ยจิวซิ่ง...  วันนี้ข้าวางแผนไว้ว่าจะต้องอ่านตำราที่ซื้อมาเมื่อวานให้จบสักเล่มสองเล่ม และจะรอจนกว่าท่านพ่อจะกลับมา ข้าจะต้องขอร้องท่านพ่อให้พาพี่สี่ไปด้วยให้ได้ ว่าแล้วข้าก็หยิบเอากองตำราเหล่านั้นมาตั้งไว้บนโต๊ะไม้ทันที แต่เมื่อข้าอ่านไปได้สักพักกลับรู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก จึงตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่ในการอ่านตำราทันที ข้าเลือกที่จะไปอ่านที่ศาลาริมสระบัวที่เคยไปเมื่อวันก่อนทันที ที่นี่บรรยากาศเย็นและถ่ายเท หากมัวแต่อุดอู้อยู่แต่ภายในเรือนก็คงจะไม่ดีนัก  ข้าถือตำราที่กำลังอ่านและเดินไปยังศาลาริมสระบัวทันที ข้านั่งลงและเริ่มคลี่ตำราที่ถูกคั่นเอาไว้โดยใบไม้แห้ง ตำราเล่มนี้เป็นการอธิบายคุณสมบัติของผู้ถือครองปราณธาตุ ประเภทของปราณธาตุ และธาตุบรรพกาล เรียกง่ายๆว่าเป็นตำราที่อธิบายเกี่ยวกับปราณธาตุทั้งหมด ภายในตำราเขียนเอาไว้ว่า คุณสมบัติของผู้ถือครองธาตุจะให้ดีต้องถือครองเพียงธาตุเดียว เพราะจะทำให้ฝึกพลังและเลื่อนขั้นการบำเพ็ญได้ง่ายดายกว่าผู้ที่ถือครองหลายธาตุ ส่วนการทดสอบปราณธาตุ หากทดสอบตั้งแต่อายุยังน้อยจะมีความแม่นยำมากกว่าการทดสอบตอนที่โตพ้นวัยเด็กมาแล้ว  ส่วนประเภทของพลังปราณธาตุ มีทั้งหมดหกธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ ทอง มีธาตุหายากหรือธาตุบรรพกาลอีกสองธาตุ คือ ธาตุอัสนีและธาตุน้ำแข็ง ผู้ถือครองสองธาตุนี้ในแดนเซียนมีน้อยนัก อีกทั้งยังหาตัวได้ยากยิ่ง ผู้ที่ถือครองสองธาตุนี้เอาไว้จะถือเป็นผู้วิเศษและเป็นผู้สูงส่ง เพราะคนผู้นั้นได้ถือครองธาตุแห่งบรรพกาลเอาไว้ ปัจจุบันมีเพียงเซียนบรรพกาลเท่านั้นที่ถือครองธาตุบรรพกาลอยู่เพียงผู้เดียว นอกนั้นก็ได้สลายหายไปตามอายุขัย เอ...เซียนมิได้เป็นอมตะกันหรอกหรือ? ข้าอ่านเล่มแรกไปได้สักพักจึงตัดสินใจที่จะพักสายตาสักหน่อย แต่ความตั้งใจที่มีก็ได้ทลายลงไปหลังจากที่ได้ยินพวกบ่าวและทหารในจวนโหวกเหวกโวยวายกันเสียงดัง "นายท่านกลับมาแล้ว! พวกเจ้าอย่ารอช้า รีบไปเตรียมสำรับไว้ ส่วนพวกเจ้าตามข้ามา! " เสียงของอี๋เฉินประกาศกร้าวออกมาด้วยความหนักแน่นก่อนที่เหล่าสมุน ของเขาจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ที่ตนได้รับ  อี๋เฉินและเหล่าทหารยามต่างพากันไปยืนรับนายท่านที่หน้าประตูจวนทันที รถม้าคันใหญ่หนึ่งคันหยุดอยู่ที่หน้าประตู จางหมิงลู่เดินลงมาจากรถม้าอย่างสง่าผ่าเผยก่อนจะตามมาด้วยสองพี่น้องสกุลจาง มี่อิงและมี่จิง ทั้งสองได้ติดตามท่านพ่อของตนกลับมาด้วยเช่นกัน เหตุเพราะธุระและหน้าที่ที่พวกเขาได้รับต่างก็สำเร็จลุล่วงจึงได้รีบเดินทางกลับจวนเพื่อมาพักผ่อนเอาแรง อี๋เฉินและเหล่าทหารยามพากันขนสัมภาระของพวกเขาทั้งหมดเข้าจวนทันที และรถม้าเองก็ได้จากไปอย่างช้าๆด้วยเช่นกัน "ไม่ได้กลับจวนเสียนาน คิดถึงเหลือเกิน" มี่อิงพูดพลางยืดเส้นยืดสายไปมาแก้เมื่อย   รถม้าคันเล็กๆกับชายฉกรรจ์ทั้งสาม ภายในทั้งอุดอู้และอึดอัด จึงไม่แปลกหากพวกเขาจะมีอาการเมื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็น "กลับมากันแล้วหรือเจ้าคะ?" เสียงอ่อนหวานอันไพเราะดังขัดจังหวะของคนทั้งสามขึ้นมา หมิงลู่เก็บอาการดีใจของตนเอาไว้ไม่มิด รีบโผลเข้ากอดนางอันเป็นที่รักทันที "ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน" มี่อิงโอดครวญเสียงดังก่อนจะวิ่งเข้าไปสมทบกับท่านพ่อของตน "โตแต่ตัวหรืออย่างไรกัน? เจ้านี่จริงๆเลย" มี่จิงถอนหายใจพลางส่ายหัวไปมาก่อนจะเดินเข้าไปสมทบกับคู่พ่อลูกติดแม่ทันที "ท่านแม่ หลินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?" "สองสามวันมานี้นางเริ่มสนใจอยากบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนน่ะสิ" "งั้นก็ให้นางบำเพ็ญเสียสิจะเป็นอันใดไปเล่า? ถือเสียว่าให้นางได้ไปเรียนรู้โลกภายนอกบ้างก็คงไม่เสียหายใช่รึไม่?" หมิงลู่พูดพลางหัวเราะอย่างชอบใจ ข้าชักอยากจะเห็นนักว่าลูกสาวตัวน้อยๆของข้าหากได้บำเพ็ญเป็นเซียนก็จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยดังเดิมอีก   บางทีนางอาจจะได้อาจารย์ดีๆที่สามารถลบล้างคำสาปบนตัวนางก็เป็นได้ "เช่นนั้นข้าขอพาพี่สี่ไปด้วยนะเจ้าคะ!" เสียงของเด็กสาวตัวน้อยดังออกมาด้วยอารมณ์ที่ร่าเริงกว่าผู้ใด ทว่าสมาชิกในครอบครัวทั้งสี่ที่ยืนอยู่ข้างหน้านางกลับมีสีหน้าที่ดำคล้ำอย่างไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง   -----------------------------------     [1] ยามอุ้ย = 13.00 น. จนถึง 14.59 น.
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม