บทที่ ๒ ก้าวเข้าสู่วังปีศาจ(๓)

1573 คำ
ทางด้านผู้ถูกกล่าวถึงน่ะหรือกำลังนอนน้ำลายไหลย้อย กลีบปากสีชมพูระเรื่อดุจดอกเหมยเผยอนิดๆ ผมเผ้ายังคงปล่อยสยายระไปตามหมอนสีทอง แขนขาเผยออกจากผ้าห่มแถมยังมีเสียงครางแผ่วๆ เล็ดลอดออกมาอีกด้วย “พระชายาเพคะ” เสี่ยวจือพยายามเขย่าเรียวแขนของเซี่ยอิงลั่วเบาๆ ถ้าหากไม่ติดว่ามีสายตาผู้อื่นจับจ้องอยู่ละก็คงตะโกนเรียกคุณหนูไปแล้ว แต่เมื่อมีผู้อื่นอยู่ด้วยต้องแสดงความนอบน้อมเช่นไรก็ยังคงต้องทำเช่นนั้น เพราะตอนนี้คุณหนูของนางคือพระชายาเอกของอ๋องห้าเว่ยจิ่นอิ่งเชียวนะ หนำซ้ำยังเป็นพระชายาหนึ่งเดียวในวังอู่เทียนอีกด้วย จะไม่ให้เป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไรในเมื่อควานหาทั่วทั้งแคว้นแล้วก็ไม่มีสตรีใดกล้าแต่งเข้าวังอู่เทียนที่ได้รับฉายาว่าเป็นวังปีศาจเลยสักคน เสี่ยวจือปลุกพระชายาเซี่ยอิงลั่วอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ แต่ต้องอ้าปากเบิกตาค้างเพราะทันทีที่พระชายาตื่นบรรทม ก็เหยียดแขนเปิดปากหาว บิดตัวไปมาด้วยท่าทางเกียจคร้านเป็นอย่างยิ่ง ทำเอาเหล่าหมัวมัวกับนางกำนัลรับใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ยังต้องรีบก้มหน้าหลุบตามองเพียงรองเท้าปักของตน แต่ละคนคงวาดหวังให้ตนเองตาบอดไปเลยกระมัง จะได้ไม่ต้องเห็นภาพไม่เหมาะไม่ควรของพระชายา ทันทีที่ตื่นเต็มตาเซี่ยอิงลั่วถึงกับเหลียวมองไปรอบๆ การเห็นสภาพห้องเครื่องตกแต่งเต็มสองตานั้นทำให้นางลอบถอนหายใจทิ้งแรงๆ ก่อนจะตื่นขึ้นมาอุตส่าห์วาดหวังว่าให้ตนเองกลับไปอยู่ในยุคปัจจุบันอีกครั้ง แต่ความหวังเหล่านั้นมันก็มลายสิ้น จึงได้แต่เอ่ยปากสั่ง “ยกน้ำเข้ามาเถอะ” อาจเป็นเพราะการเผชิญหน้ากับพระชายาจิ่นอ๋องในวันแรกแล้วเห็นสีหน้าแววตาของพระชายาไม่ดีนัก เหล่าหมัวมัวกับนางกำนัลรับใช้จึงปรนนิบัติด้วยท่าทีระมัดระวังยิ่ง จะกล้ากระทำการผิดพลาดสักนิดก็ไม่มี ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยนางก็กวาดสายตามองชุดที่สาวใช้ประคองเอาไว้ตาปริบๆ เช้าวันนี้ไม่ใช่ต้องสวมชุดพิธีการเพื่อเข้าวังกลางไปถวายน้ำชาพ่อสามีกับแม่สามีผู้มีอำนาจหรือ เหตุใดชุดที่เลือกมาถึงเป็นสีฟ้าปักลายบุปผาเรียบง่ายเช่นนี้เล่า เสี่ยวจือเห็นแล้วก็ได้แต่กระซิบเบาๆ “ท่านอ๋องส่งคนมาแจ้งว่าวันนี้ไม่ต้องเข้าวังกลางเพคะ” “จริงหรือ” แน่นอนว่าคำถามนั้นมาพร้อมกับการกระตือรือร้นดูตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าเป็นข่าวดีสุดๆ “ไม่ต้องเข้าวังกลางตลอดไปเลยหรือไม่” “พระชายา!” เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวจือกล้ากัดฟันเรียกพลางขยิบตาให้ ตอนนี้มีผู้คนรายล้อมอยู่ตั้งมากมาย แสดงท่าทีอะไรก็ช่วยระมัดระวังหน่อยได้หรือไม่ ประเดี๋ยวก็จะมีข่าวลือออกไปว่าพระชายาไม่ปรารถนาจะเข้าวังกลางถวายน้ำชาฮ่องเต้กับฮองเฮาหรอก ถ้าเกิดมีผู้ไม่ประสงค์ดีใส่สีตีไข่ขึ้นมาไม่ต้องถูกลงโทษหรอกหรือ “ไม่เอานะเพคะ ไม่พูดแบบนั้น” “รู้แล้วน่า” เซี่ยอิงลั่วโบกมือ “แต่งตัวเถอะ หิวจะแย่อยู่แล้ว” คงมีแค่เพียงอาหารเท่านั้นกระมังที่ช่วยเยียวยาจิตใจนางได้บ้าง ดังนั้นจึงปล่อยให้สาวใช้หลายคนวุ่นวายอยู่กับการสวมใส่อาภรณ์ที่แสนจะยุ่งยาก เกล้าผมปักปิ่นผูกถุงเครื่องหอมเรียบร้อยก็มานั่งกินอาหารมื้อแรกของวันในทันที การได้ลิ้มรสอาหารที่ปรุงอย่างพิถีพิถันคงเป็นสิ่งเดียวที่สามารถทำให้นางคิดว่าการมาอยู่ในยุคโบราณก็ยังมีสิ่งดีๆ อยู่บ้าง แน่นอนว่ากินอาหารเช้าเสร็จก็ต้องมานั่งฟังหัวหน้ากงกงประจำวังอู่เทียนสาธยายอะไรมากมายอยู่เกือบสองชั่วยามเต็ม เมื่อเบื่อเต็มทีจึงหาเรื่องหลีกหนีเหล่านางกำนัลกับขันทีนับยี่สิบชีวิตที่เฝ้าจับตามอง หิ้วเสี่ยวจือออกจากประตูข้างของตำหนักกลางได้ก็เดินลิ่วๆ ออกมายังอุทยานด้านข้าง ดีหน่อยที่นางกำนัลขันทียศชั้นน้อยไม่รู้จักนางเท่าไรนัก เห็นเป็นคนแปลกหน้าดูมียศศักดิ์ก็ทำเพียงคุกเข่าหลุบตาลงไม่กล้ามองแม้แต่เหลือบตามองชายกระโปรงของนางด้วยซ้ำ จนกระทั่งมาถึงภูเขาจำลองที่ปล่อยธารน้ำตกลงมากระซ่ากระเซ็นกระทบหินน้อยใหญ่ดูสดชื่นเป็นอย่างยิ่งนั่นแหละ เซี่ยอิงลั่วถึงได้หยุดมอง เห็นภาพนี้แล้วก็ได้แต่นึกเสียดายว่ามันควรจะเป็นน้ำตกจริงๆ มากกว่าของปลอมๆ พวกนี้ “แถววังอู่เทียนมีภูเขาที่มีน้ำตกสูงๆ บ้างหรือเปล่า” เสี่ยวจือซึ่งเดินเร็วๆ ตามมาด้านหลังกำลังยืนหอบแฮกๆ หน้าดำหน้าแดง พลางเหลือบสายตามองแผ่นหลังของพระชายาเล็กน้อย ก่อนจะยอบกายรายงาน “บ่าวรู้แค่เพียงว่า ด้านนอกวังหลวงมีหุบเขาอยู่หลายแห่ง แต่ไม่รู้ว่าหุบเขาแห่งใดที่มีธารน้ำตกบ้าง อีกอย่างที่นี่คือวังอู่เทียนของท่านอ๋องห้า บ่าวจึงไม่ทราบจริงๆ เพคะ” “ข้าพอจะมีโอกาสออกจากวังอู่เทียนไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้างหรือไม่” “พระชายา” คำเรียกของเสี่ยวจือมาพร้อมกับการขยับเข้าใกล้ ดึงชายแขนเสื้อเบาๆ “อย่าคิดเสด็จออกจากวังอู่เทียนโดยไม่มีท่านอ๋องเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจถูกลงโทษได้นะเพคะ” เฮ้อ...เซี่ยอิงลั่วได้แต่ทอดถอนใจแรงๆ ทะลุมิติมาอยู่ยุคนี้อะไรๆ ก็ทำไม่ได้ ตอนอยู่จวนตระกูลเซี่ยนางก็ไม่มีโอกาสได้ออกมาชมโลกภายนอก แต่งเข้าวังอู่เทียนยังถูกกักขังราวกับนักโทษอีก “รู้งี้ไม่แต่งซะก็ดี” “พระชายา!” เสี่ยวจือรีบหันขวับไปมองรอบๆ เห็นไม่มีผู้อื่นก็ได้แต่ยกมือกุมหน้าอกอย่างโล่งใจ นางอยากจะถามพระชายาเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่ฟื้นคืนสติจากการพลัดตกน้ำในคราวนั้น คำพูดคำจา ท่าทาง การกระทำทุกอย่างล้วนไม่เหมือนคุณหนูสามที่นางรับใช้ใกล้ชิดมาหลายปีเลยแม้แต่นิดเดียว คนพูดจาไพเราะอ่อนหวาน เยื้องย่างราวกับมีปุบผารองฝ่าเท้า ผู้ได้ชื่อว่าเป็นสตรีงดงามเพียบพร้อมนั้นหายไปไหน เหตุใดจึงกลายมาเป็นคนวาจาไม่เรียบร้อย แถมท่าทีกระโดกกระเดกราวกับเด็กแก่นเซี้ยวเช่นนี้ ยังไม่ทันที่เสี่ยวจือจะได้โล่งใจก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกันเบาๆ ดังแว่วมาจากด้านหลังภูเขาหินจำลอง “เจ้าได้ยินเรื่องจากตำหนักกลางหรือไม่ ได้ข่าวว่าเมื่อคืนพระชายาถูกท่านอ๋องเคี่ยวกรำจนป่านนี้ยังไม่ตื่นเลย” เสี่ยวจือเหลียวไปมองพระชายาที่กำลังเดินย่องไปแอบฟังใกล้ๆ ทันที “สงสัยท่านอ๋องจะทรงโปรดพระชายาเป็นอย่างมาก” “นั่นสิ น่าอิจฉาพระชายายิ่งนัก” ฟังแล้วดวงตากลมโตราวกับพระจันทร์เต็มดวงของ เซี่ยอิงลั่วก็ยิ่งเบิกกว้าง นางหันขวับมามองเสี่ยวจือทันที เห็นสาวรับใช้คนสนิทอ้าปากเบิกตาโตจึงแทบจะพุ่งเข้าไปถามให้ชัดๆ แต่กลับถูกเสี่ยวจือรั้งเอาไว้ การเคลื่อนไหวของนางทำให้คนอยู่ด้านหลังภูเขาจำลองได้ยิน บัดนี้ได้วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปแล้ว ทิ้งให้พระชายาของท่านอ๋องจิ่นอิ่งยืนอึ้งอยู่กับที่ “เสียงพูดคุยเบาๆ นั่นมันคืออะไรกัน” “พระชายาอย่าคิดมากเลยเพคะ ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะไปเรียนให้ท่านกงกงหาตัวคนพูดมาลงทัณฑ์จะได้ไม่เสียเกียรติของพระชายาเพคะ” ตอนนี้เซี่ยอิงลั่วไม่ได้สนใจว่าใครจะนินทาว่าร้ายอะไรหรอก สิ่งที่นางอยากรู้มีเพียง อะไรคือถูกเคี่ยวกรำอย่างหนัก อะไรคือท่านอ๋องทรงโปรด เพราะจนป่านนี้ยังไม่เคยเห็นหน้าท่านอ๋องผู้ได้ชื่อว่าเป็นสวามีของนางเลย เมื่อความอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นมีมากกว่าความหวั่นกลัว จึงกัดฟันถามขึ้น “เสี่ยวจือ เจ้ารู้ไหมว่าเวลานี้ท่านอ๋องประทับอยู่ที่ใด” คิ้วของเสี่ยวจือขยับเข้าหากันเพียงเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมาราวกับละเมอ “วันนี้ไม่ได้พาพระชายาเสด็จวังกลาง ป่านนี้น่าจะอยู่ในห้องหนังสือชั้นในของตำหนักเพคะ พระชายาจะ...” ยังไม่ทันที่เสี่ยวจือจะรายงานจบก็พลันเห็นพระชายารั้งชายกระโปรงยกสูงแล้วเดินแกมวิ่งกลับไปยังตำหนักกลางอีกครั้ง ทิ้งให้เสี่ยวจือได้แต่เบิกตาถลนอยู่ด้านหลัง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เห็นแผ่นหลังของพระชายาอยู่ห่างจากสายตามากแล้ว จึงได้แต่กัดฟันร้องห้าม “พระชายา อย่ารั้งชายกระโปรงขึ้นเช่นนั้นสิเพคะ ทรงไม่งามเลย ไม่งามเลย” น่าเสียดายก็ตรงที่พระชายาของเสี่ยวจือไม่อยู่ฟัง แถมยังใช้สองมือรวบชายกระโปรงขึ้นอุ้มแล้ววิ่งอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก เรียกได้ว่าตอนนี้มองเห็นได้แค่หลังไวๆ เท่านั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม