เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่เกะกะสายตาอีก เว่ยจิ่นอิ่งพลันสะบัดชายแขนเสื้อเพียงเล็กน้อยแล้วเดินอ้อมผ่านฉากบังลมเข้าสู่ด้านใน สิ่งที่เห็นครั้งแรกนั่นคือสตรีในชุดเจ้าสาวนางหนึ่งนอนหลับใหลอยู่บนเตียงด้วยท่าทางสบายยิ่ง
พบนางครั้งแรก นางนั่งหลับอยู่บนเกี้ยวเจ้าสาว สัปหงกจนเครื่องประดับศีรษะกระแทกเกี้ยวไม่หยุด ดูท่าทางแล้วช่างผิดแผกแตกต่างจากคำเล่าลือยิ่งนัก ว่ากันว่าคุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเซี่ยนั้นเพียบพร้อมด้วยกิริยามารยา จรรยาคัมภีร์สตรีล้วนไม่มีบกพร่อง เชี่ยวชาญพิณ หมาก อักษร ภาพวาด ร่ายรำอ่อนช้อยไม่เป็นสองรองใคร เรียกได้ว่าเป็นคุณหนูอันดับหนึ่งของเมืองหลวงที่องค์ชายทุกพระองค์ในแคว้นรวมถึงเหล่าบุรุษมีชื่อล้วนอยากแต่งให้นาง แต่ดูเหมือนคำเล่าลือเหล่านั้นคงเป็นเพียงคำโกหกพกลมกระมัง เพราะการพานพบนางครั้งที่สองแทนที่จะนั่งรอเขาเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเฉกเช่นเหล่าสตรีของเมืองหลวง แต่นางกลับนอนหงายเหยียดตัวยาวอยู่บนเตียง ส่วนผ้าคลุมหน้านั้นถูกโยนทิ้งไปไหนแล้วก็ไม่รู้ บัดนี้เหลือเพียงใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยสีสันกับเครื่องประดับหนักอึ้งเอียงกระเท่เร่
ดวงตาดำเข้มดุจบ่อน้ำลึกของจิ่นอ๋องฉายแววกราดเกรี้ยวเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็บันดาลโทสะกับคนหลับใหลไม่ลง เขาทำได้เพียงทอดสายตามองเครื่องหน้าของสตรีที่นั่งตำแหน่งพระชายาของตนเท่านั้น
คิ้วโก่งราวคันศร จมูกเชิดขึ้นรับกับริมฝีปากบางเฉียบสีชมพู ดวงตานั้นถูกเปลือกตาบอบบางปิดสนิทเผยให้เห็นเพียง ขนตาโก่งโค้ง สองแก้มก็ดูเนียนนุ่มประดุจผิวของดอกเหมยในยามหิมะโปรยปราย ผิวพรรณตั้งแต่ลำคอลงมาดูเรียบรื่นราวกับหิมะแรกฤดู คราแรกเว่ยจิ่นอิ่งกำลังจะยื่นมือสัมผัสความเนียนละเอียด ทว่าสุดท้ายกลับทำเพียงดึงเครื่องประดับบนศีรษะของนางออกอย่างเชื่องช้า และในยามที่นางครางคล้ายรำคาญเขาก็ได้แต่กลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย มาถึงยามนี้ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสตรีผู้นี้จะเป็นสตรีที่เสด็จพ่อกับฮองเฮาเลือกให้แต่งเข้าวังอู่เทียนของเขา
เพียงถอดเครื่องประดับบนศีรษะออกหมด เส้นผมดำขลับของนางก็พลันทิ้งตัวลงสยายเต็มหมอน แม้จะสัมผัสถูกเส้นผมนุ่มลื่นประดุจม่านไหมแผ่วเบา ทว่าความนุ่มนิ่มกับกลิ่นหอมราวกับดอกไม้ในยามเช้ากลับทำให้จิ่นอ๋องไม่อาจละสายตาจากเจ้าสาวในชุดแดงเพลิงได้เลยแม้แต่น้อย เขาแทบจะไล้ปลายนิ้วไปกับแก้มเนียนนุ่มทว่าสุดท้ายก็รั้งมือกลับแล้วเอ่ยเพียงประโยคหนึ่งออกมา
“เซี่ยอิงลั่ว เจ้าเป็นคนเช่นไรกันแน่”
ส่วนคนที่ถูกถามว่าเป็นเช่นไรน่ะหรือ ย่างเข้ายามเฉินแล้วยังไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมาเลยสักนิด ทำเอาคนถูกไล่มาปลุกอย่างเสี่ยวจือต้องเหลือบมองสีหน้าของหมัวมัวทั้งสี่ด้วยความหวาดหวั่น เพราะเช้าวันแรกของการแต่งงานคุณหนูของนางกลับก่อเรื่องด้วยการตื่นสายเสียแล้ว แถมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าท่านอ๋องเสด็จมาประทับห้องหอหรือเปล่า ตอนนี้นอกจากหมัวมัวทั้งสี่ก็ยังมีขันทีใหญ่มารอเข้าเฝ้าอยู่ในห้องโถง แต่พระชายากลับกำลังนอนด้วยท่วงท่าสบายเป็นอย่างยิ่ง ขาไปทาง แขนไปทั้ง ผ้าห่มหล่นลงมากองอยู่ข้างเตียง หมอนอีกใบปลิวไปอยู่มุมห้อง เรียกได้ว่าท่านอนของพระชายานั้นไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง
ที่น่าตื่นตระหนกตกใจยิ่งกว่าก็คือ เช้าวันแรกหลังแต่งงานไม่ใช่ต้องไปวังกลางเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับฮองเฮาหรอกหรือ มีพ่อสามีเป็นผู้ครองแคว้น มีแม่สามีเป็นมารดาแผ่นดิน คุณหนูของนางต้องกระตือรือร้นกว่านี้สิ แต่ว่า...เหลือบสายตามองอีกครั้งเสี่ยวจือก็เห็นหัวตัวเองแขวนอยู่บนประตูอู่เหมิน ยิ่งรับใช้ใกล้ชิดคุณหนูมากเท่าไรเงาหัวคล้ายจะเลือนรางลงทุกที
ในขณะที่เสี่ยวจือกำลังอยากตายเพราะไม่สามารถปลุกคุณหนูสามเซี่ยอิงลั่วให้ตื่นขึ้นมาได้ บัดนี้เงาร่างสูงใหญ่ยังคงยืนนิ่งทอดมองหน้าต่างผ่านจากห้องหนังสือชั้นใน ยิ่งแสงอาทิตย์แจ่มชัดมากเท่าไรนัยน์ตาก็ยิ่งดูล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของคนสนิทนั่นแหละถึงได้เอ่ยถาม
“จัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่”
“เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ผ้าพรหมจรรย์ถูกหมัวมัวของเรานำส่งไปยังตำหนักของฮองเฮาแล้ว และกระหม่อมสั่งปิดปากทุกคนที่รู้เรื่อง รับรองว่าไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้แน่นอน”
“อืม”
เว่ยจิ่นอิ่งพยักหน้าพอใจกับผลงานขององครักษ์ข้างกาย “แล้วทางด้านเสี่ยวเค่อจื่อเล่า”
เมื่อท่านอ๋องถามถึงกงกงคนสนิท องครักษ์จางก็ถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาโดยไม่ลืมสังเกตท่าทีกับสีหน้าของท่านอ๋องอย่างระมัดระวัง
“เพลานี้ท่านกงกงยังไม่ได้เข้าเฝ้าพระชายาเลย”
หัวคิ้วของอ๋องห้าขมวดมุ่นเล็กน้อย “ในตำหนักกลางเกิดอะไรขึ้น”
ท่าทางเม้มปากนิดๆ คล้ายมีเรื่องที่พูดไม่ได้เช่นนั้นทำให้เว่ยจิ่นอิ่งต้องพ่นลมหายใจยืดยาวออกมา ก่อนมุมปากจะโค้งขึ้น
“ในเมื่อนางยังไม่ตื่นก็แพร่ข่าวออกไปสักหน่อย จะได้สมจริงขึ้น”
“ข่าว...ข่าวอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“สตรีหลังผ่านคืนแต่งงาน จะมีข่าวอะไร ย่อมต้องเป็น...”
ประกายเล่ห์ร้ายที่พาดผ่านดวงตาดำเข้มไร้ก้นบึ้งเมื่อสักครู่นี้ทำให้องครักษ์จางรู้ซึ้งเป็นอย่างดี ดังนั้นนอกจากประสานมือรับคำสั่งก็ไม่มีท่าทีอื่นใดจะแสดงออกแล้ว เพียง ท่านอ๋องพยักหน้าองครักษ์หนุ่มจึงหมุนตัวออกไปอย่างรีบร้อน เชื่อว่าอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามต้องมีข่าวหนึ่งแพร่สะพัดไปทั้งวังเป็นแน่