เสียงคารวะยังไม่ทันสิ้นสุด พระชายาเซี่ยอิงลั่วก็มายืนหอบปล่อยชายกระโปรงลงตรงหน้าประตูห้องหนังสือ ถ้าหากไม่ถูกองครักษ์ชุดดำสี่คนยืนขวางเอาไว้ป่านนี้คงผลักประตูเปิดเข้าไปแล้ว ครั้นถูกประสานมือคารวะขัดขวางเช่นนั้นจึงต้องปล่อยมือลง จัดชายกระโปรงกับตัวเสื้อให้ดูเรียบร้อย วางตัวให้สมกับเป็นพระชายาแห่งวังอู่เทียนถึงแม้ในความคิดของสาวรับใช้ข้างกายอย่างเสี่ยวจือจะช้าไปสักหน่อยก็เถอะ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้อื่นนางก็ยังไม่ลืมฐานะของตนเอง
“ท่านอ๋องอยู่ข้างในหรือไม่” เซี่ยอิงลั่วเชิดปลายคางขึ้นนิดๆ แต่อันที่จริงก็รู้แหละว่าไม่เหมาะกับตนเองเลย นางควรจะผลักประตูแล้วตะโกนเรียกท่านอ๋องๆ ต่างหากเล่า ทว่านี่วังของผู้อื่น สถานที่ของผู้อื่นจึงยังไม่กล้าจะทำเช่นนั้น ประเดี๋ยวจะหาว่าพระชายาอย่างนางเสียสติ ถูกส่งเข้าห้องลงทัณฑ์จะไม่แย่หรือ
องครักษ์ผู้หนึ่งจึงประสานมือตอบ “ท่านอ๋องทรงประทับอยู่ด้านใน กระหม่อมจะรีบเข้าไปรายงาน พระชายาได้โปรดรอสักครู่พ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ข้า...อยากเข้าไปเดี๋ยวนี้”
“พระชายาคงยังไม่ทราบ ว่าท่านอ๋องไม่ทรงโปรดให้...”
ยังไม่ทันที่องครักษ์ผู้นั้นจะกล่าวจบก็พลันมีเสียงหนึ่งเล็ดลอดออกมาจากด้านใน คำอนุญาตนั้นดูเหมือนจะทำให้องครักษ์ที่ยืนเฝ้ายามอยู่ด้านนอกถึงกับลอบขมวดคิ้ว เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมา นอกจากผู้ได้รับมอบหมาย กงกงคนสนิท รวมถึงองครักษ์อย่างจางอี้เทาแล้วผู้อื่นหาได้มีสิทธิ์เข้าไปไม่ แม้แต่องค์ชายสามที่เคยมาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ ก็ยังเข้ามาถึงแค่ห้องรับรองชั้นในเท่านั้น จะหาคนที่เข้าไปในห้องหนังสือของท่านอ๋องได้เรียกว่ายากยิ่งกว่ายากเสียอีก ดูท่าข่าวลือเรื่อง ท่านอ๋องทรงโปรดปราน พระชายานั้นจะไม่ผิดไปเลยแม้แต่น้อย
“ในเมื่อท่านอ๋องอนุญาตแล้ว เชิญเสด็จพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยอิงลั่วผงกศีรษะส่งเสียงอืมตอบรับเพียงเล็กน้อย ทันทีที่องครักษ์เปิดประตูให้ นางก็ยกชายกระโปรงก้าวเข้าสู่ด้านใน แต่ในยามที่บานประตูปิดลง โดยด้านหลังไม่มีเงาร่างของเสี่ยวจือทำเอาร่างกายเกร็งสะท้านจนต้องสูดหายใจยาวๆ แถมเพลานี้สายตายังปะทะกับบุรุษร่างสูงสองคน คนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ส่วนอีกคนเว้นระยะห่างเพียงเล็กน้อย หนึ่งสวมชุดสีดำปักลายมังกรทองตรงด้านล่างชายชุด ส่วนอีกคนนั้นสวมชุดดำที่ไม่มีลวดลายใดๆ พอนางเข้ามาคนยืนอยู่ด้านหลังก็ประสานมือคำนับถอยห่างเงียบๆ แต่ก่อนจะผ่านนางยังก้มศีรษะด้วยท่าทีนอบน้อม แล้วเดินเร็วๆ ออกจากห้องไป ทำเหมือนว่าถ้าเหลือบตามองแม้แต่ชายกระโปรงของนางจะถูกควักลูกตาอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อปลอดบุคคลอื่น เซี่ยอิงลั่วก็มั่นใจแล้วว่าบุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือเจ้าของวังอู่เทียนแห่งนี้ เว่ยจิ่นอิ่ง สวามีของนาง ดังนั้นถ้าหากจะถามเรื่องข่าวที่ได้ยินมากับหูละก็ หากไม่ถามเขาก็ไม่รู้จะถามใครแล้ว
“ท่าน...”
แม้ปากจะกัดฟันเรียกออกมาเบาๆ แต่การมาอยู่ในยุคโบราณแม้เพียงไม่กี่วันก็ทำให้รู้ว่าความตายนั้นมันมาเยือนได้ง่ายๆ จึงพยายามเดินอย่างเชื่องช้า เว้นระยะห่างจากเจ้าของวังเพียงเล็กน้อยก่อนจะยอบกายลง “อิงลั่วคารวะท่านอ๋อง” จะให้นางแทนตัวเองว่าข้าภรรยาอะไรพวกนั้นฝันไปเถอะ ภรรยาอะไรกันยังไม่ได้เข้าหอร่วมโลงสักหน่อย แม้แต่พิธีการกราบไหว้ฟ้าดิน เปิดผ้าคลุมหน้าเขายังไม่มีใจจะทำด้วยซ้ำ ใช้ชื่อตัวเองแทนเช่นนี้ก็นับว่าดีแล้ว
“อิงลั่วหรือ” แน่นอนว่านั่นไม่ใช่คำถามเลยสักนิด เพราะเป็นการทวนคำด้วยน้ำเสียงแสนเยียบเย็นจนเจ้าของชื่อถึงกับเสียวสันหลังขึ้นมา แต่พริบตาเดียวสีหน้ากับแววตาของเว่ยจิ่นอิ่งก็แปรเปลี่ยน “ลั่วลั่วมาแล้วหรือ”
ลั่วลั่วอะไรเล่า! ถ้าท่านอ๋องห้าหันกลับมาสักนิดก็คงจะเห็นดวงตากลมโตของพระชายาตระกูลเซี่ยถลึงตาใส่ด้วยความไม่พอใจ และสุดท้ายก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายจับได้ เซี่ยอิงลั่วก็รีบหลุบตาลงมองเพียงปลายรองเท้าปักลวดลายหงส์อุ้มลูกแก้วเท่านั้น
“ขออภัยที่หม่อมฉันเข้ามาโดยท่านอ๋องไม่ได้เรียก ได้โปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ในเมื่อลั่วลั่วมาแล้ว มีอะไรก็พูดมาเถิด ข้ากับเจ้าเป็นสามีภรรยากันหาใช่คนอื่นไม่”
สามีภรรยา เชอะ! หรือเพราะแบบนี้ถึงได้ยอมให้นางเข้ามาในห้องหนังสือที่มีองครักษ์หน้าตาขึงขังยืนเฝ้าอย่างง่ายดาย แม้ในหัวจะขบคิดอีกอย่างแต่ถึงกระนั้นก็ยังฝืนตัวเองเดินไปใกล้ๆ ใจหนึ่งอยากเห็นหน้าสวามี อีกใจก็อยากจะพูดเรื่องที่ได้ยินมาจากภูเขาจำลองให้จบๆ ไป
ข่มใจที่เต้นระรัวภายในอกจากความหวาดหวั่นจนมายืนอยู่ด้านข้างเรียบร้อยถึงได้ก้มหน้าก้มตาเอ่ยออกมา “วันนี้ หม่อมฉันบังเอิญได้ยินเรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยดีนัก ท่านอ๋องได้โปรดชี้แจงให้หม่อมฉันเข้าใจได้หรือไม่”
ดวงตาดำเข้มดุจบ่อน้ำไร้ก้นบึ้งของเว่ยจิ่นอิ่งยังคงทอดมองผ่านต้นไม้ใบหญ้าออกไปด้านนอก ดูเหมือนสายลมอ่อนจางของปลายฤดูใบไม้ผลิจะเรียกร้องความสนใจได้มากกว่า พระชายาที่เพิ่งแต่งเข้าวังอู่เทียนเสียอีก อึดใจหนึ่งถึงได้เอ่ยออกมา “เจ้าสงสัยเรื่องอะไรก็ว่ามาเถิด”
“ข่าวลือ...” นางสูดหายใจลึกจนอกกระเพื่อม “ว่าหม่อมฉันถูกท่านอ๋องเคี่ยวกรำ”