นับตั้งแต่ถูกเหล่าหมัวมัวประจำวังอู่เทียนประคับประคองส่งเข้าห้องหอรอเจ้าบ่าวมาเปิดผ้าคลุมหน้า อรัญญิกาในร่างของเซี่ยอิงลั่วสูดหายใจเข้าปอดลึก พยายามทำตัวให้เรียบร้อย แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญสุดๆ ให้นางไปเต้นแร้งเต้นกาตามผับยังง่ายกว่าอีก จนภายในห้องเงียบสงัดได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจเข้าออก จึงได้เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลดุจธารน้ำลึกในคืนฝนพรำ
“เสี่ยวจือ ให้ทุกคนออกไปก่อนได้หรือไม่”
เสี่ยวจือมองไปรอบๆ เห็นหมัวมัวหลายคนยังคงยืนนิ่งสงบอยู่มุมหนึ่งของห้องก็ได้แต่กลั้นใจเอ่ยวาจาขอร้องหลายสิบประโยค แถมยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลพระชายาเป็นอย่างดี จนทุกคนยอมถอยออกไปจึงได้รีบปิดประตูอย่างรีบร้อนแล้วเดินมายอบกายรายงานอยู่ด้านข้างเตียง
“พระชายา ในห้องไม่มีผู้อื่นแล้วเพคะ”
“เฮ้อ...ค่อยโล่งอกหน่อย” คำพูดนั้นมาพร้อมกับผ้าคลุมหน้าสีแดงถูกโยนทิ้งลงด้านข้างเตียง แล้วสตรีในชุดแต่งงานที่นั่งนิ่งเป็นหินเมื่อสักครู่นี้ลุกขึ้นมาทุบคอทุบแขนด้วยความปวดเมื่อยแถมยังบ่นไม่หยุด “เมื่อไรจะถอดเครื่องหัวออกได้สักที ข้ารู้สึกเหมือนคอจะหักแล้ว”
“พระยาชา...พระชายาทรงทำอะไรเพคะ” เสี่ยวจือเบิกตากว้าง หน้าถอดสีจนไร้เลือด
มุมปากของเซี่ยอิงลั่วยกขึ้นน้อยๆ แล้วขยิบตาว่า “หุบปากน่า”
“พระชายา”
ได้ยินเสียงเรียกก็ถึงกับขึงตาใส่ด้วยท่าทีไม่พอใจ “ระหว่างที่เราอยู่ด้วยกันสองคน เจ้าเรียกข้าว่าคุณหนูเหมือนเดิมดีหรือไม่ พระชายงพระชายาอะไรกัน ไร้สาระ”
“ตายแล้ว! พระชายาพูดจาอะไรเพคะ คำพวกนั้นหมายความว่าอะไร”
“ช่างเถอะๆ เจ้าฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องรู้หรอก ข้าแค่พูดไปอย่างนั้น ว่าแต่นี่ยามใดแล้ว”
เสี่ยวจือมองไปยังกาน้ำหยดที่อยู่มุมห้อง คิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย เพราะตั้งแต่คุณหนูฟื้นคืนสติจากการจมน้ำก็มักถามเสมอว่าอยู่ในยามใดแล้ว บางทีก็ทำท่าทาง พูดจาแปลกๆ จนอดคิดไม่ได้ว่าการล้มป่วยในครั้งนี้คงทำให้คุณหนูเกือบเสียความทรงจำไปใช่หรือไม่ แต่ก็ยังมีหลายอย่างที่คุณหนูของนางจดจำได้แม่นยำ ยกเว้นเรื่องเวลาแล้วก็ท่าทางไม่เรียบร้อยนี่แหละ แม้ภายในหัวจะคิดอะไรวุ่นวายปากยังเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เกือบจะผ่านยามซวีไปแล้วเพคะ”
“เจ้าค่ะ ไม่เพคะแล้วนะ เข้าใจ๊”
“พระชายา”
“คุณหนู”
นางชี้ปากตัวเองพลางยิ้มบอกแล้วเดินไปรอบๆ ด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “ข้ากับเจ้าต้องอยู่ในวังปีศาจแห่งนี้จริงๆ หรือ ข้าต้องเป็นเมียของอ๋องห้าจริงๆ ใช่ไหม ตายแล้ว...ข้าเพิ่งอายุสิบเจ็ดเองนะ ยังเรียนมอปลายอยู่เลย ทำไมต้องให้ข้ามีสามีตั้งแต่อายุน้อยๆ ด้วยเล่า น่าจะรอให้ข้าอายุสักยี่สิบแปดยี่สิบเก้าปีก่อนสิ ตอนนี้ร่างกายยังอ่อนปวกเปียก ไม่เหมาะจะเป็นแม่พันธุ์เลยสักนิด”
ในเมื่อถูกย้ำชัดเช่นนั้นเสี่ยวจือจึงไม่มีทางเลือกอื่น “คุณหนู....ท่าน...ทานพูดอะไรเจ้าคะ เสี่ยวจือไม่เข้าใจ”
“เฮ้อ...ช่างเถิด ถือว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน”
เมื่อหันมาเห็นดวงตาของสาวใช้คนสนิทเบิกกว้าง เซี่ยอิงลั่วก็ได้แต่โบกมือไปมา ก่อนจะเหลือบตามองมงกุฎหงส์ที่สวมอยู่บนศีรษะ
“ว่าแต่เจ้าถอดเครื่องประดับออกให้ข้าได้หรือไม่ แล้วก็ให้คนไปยกถังน้ำมา ข้าจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย แม้จะปลายฤดูใบไม้ผลิแล้วแต่ยังรู้สึกร้อนอยู่ดี”
คำพูดของนางทำเอาเสี่ยวจือเบิกตาจนแทบถลนออกนอกเบ้าเลยทีเดียว เสี่ยวจือเอาแต่มองคุณหนูสามอย่างไม่อยากเชื่อ แถมยังเอาแต่ส่ายหน้าไปมาไม่หยุด
“ไม่ได้เจ้าค่ะ คุณหนูต้องอยู่ในชุดแต่งงานรอท่านอ๋องก่อนนะเจ้าคะ เอาไว้...เอาไว้...”
เซี่ยอิงลั่วไม่ปล่อยให้เสี่ยวจือพูดประโยคต่อมา จึงเอาแต่ทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยท่าทีไม่พอใจ “ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปดูต้นทางหน่อยก็แล้วกัน ข้าจะนอนพักสักหน่อย ตื่นแต่เช้าง่วงจะตายอยู่แล้ว”
“คุณหนู!”
เสี่ยวจือไม่ทันได้อ้าปากห้ามด้วยซ้ำ คุณหนูสามก็ขึ้นเตียงปิดตานอนหลับ สาวใช้อย่างนางจึงทำได้เพียงออกไปยืนอยู่ด้านนอกฉากบังลม ดวงตานั้นจับจ้องอยู่กับประตูไม้บานใหญ่ตาแทบไม่กะพริบ แถมภายในใจยังเอาแต่เฝ้าภาวนาขออย่าให้ท่านอ๋องเสด็จเข้าห้องหอในยามนี้ เพราะดูแล้วคุณหนูของนางไม่พร้อมต้อนรับพระองค์เลยสักนิด
ท่ามกลางความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริงของเสี่ยวจือ เพียงเวลาล่วงเข้ายามจื่อภายในตำหนักกลางของวังอู่เทียนเงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง เหล่าหมัวมัวที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกถูกไล่ไปพักแล้ว เหลือเพียงเวรยามยืนประจำตำแหน่งกันตามหน้าที่เท่านั้น
หลังจากส่งเหล่าขุนนางออกจากงานเลี้ยงจางอี้เทาก็นำเสด็จเว่ยจิ่นอิ่งมายังตำหนักกลางซึ่งถูกจัดเป็นเรือนหอกับ พระชายาจากตระกูลเซี่ย
ทว่าทันทีที่ท่านอ๋องหยุดอยู่หน้าประตู จางอี้เทาก็อดเหลือบตาขึ้นมองไม่ได้ บัดนี้จึงเห็นพระเนตรคมกล้าเพ่งมองประตูบานใหญ่อย่างลังเล
“พระชายากำลังรออยู่ เสด็จเข้าไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ป่านนี้นางคงหลับแล้ว ไปตำหนักรองเถิด”
องครักษ์จางอยากเอ่ยปากหักห้าม แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเก็บงำคำพูดเหล่านั้นเอาไว้แล้วเดินตามหลัง แต่แล้วผู้เป็นนายกลับหมุนกายกลับมาด้วยสีหน้าแววตาที่แตกต่างไปจากเมื่อครู่ลิบลับ
“ช่างเถิด ไปดูนางหน่อยก็แล้วกัน”
คำพูดนั้นทำเอาสีหน้าขององครักษ์จางมีรอยยิ้มโล่งใจพาดผ่าน แต่ทันทีที่ผลักบานประตูให้เปิดออก องครักษ์ข้างกายท่านอ๋องห้าก็ถึงกับต้องกลั้นหายใจเลยทีเดียว เพราะตอนนี้ข้ารับใช้ใกล้ชิดที่พระชายาพามาด้วยนั้นกำลังนั่งฟุบหลับคอพับคออ่อนอยู่ข้างประตู และตัวเขาเองก็ไม่กล้าเหลือบสายตาเข้าไปด้านในจึงได้แต่ยืนหลุบตารอรับคำสั่งเท่านั้น
มีลมหายใจหนักหน่วงถูกพ่นออกมารอบหนึ่งก่อนน้ำเสียงเยียบเย็นประดุจน้ำแข็งราวบุคลิกขององค์ชายสามจะดังขึ้น “พานางออกไป จัดการให้ดี”
จัดการให้ดี! คงไม่ได้หมายถึงให้ฆ่ากระมัง ได้ยินคำบัญชาจากแล้ว จางอี้เทาก็อดเหลือบตาขึ้นมองไม่ได้ “พระองค์จะให้กระหม่อมสังหารนางหรือพ่ะย่ะค่ะ”
มุมปากของเว่ยจิ่นอิ่งกระตุกเล็กน้อย “เจ้าว่านางสมควรตายหรือไม่”
“กระหม่อมจะจัดการเดี๋ยวนี้” จบคำจางอี้เทาจึงยกร่างเสี่ยวจือแบกขึ้นบ่า กระโดดไม่กี่ครั้งก็หายไปในความมืดมิด ทิ้งให้รอบๆ วังอู่เทียนเยียบเย็นขึ้นทันทีที่บานประตูตำหนักปิดลง