3 - เพลงคราวเดรียว
ชรัสขับรถมาตลอดทาง ปกติผมจะแก้เบื่อด้วยการเปิดเพลงฟังหาคลื่นเพลงจากวิทยุคลื่นโปรดที่ผมชอบที่สุด ผมหมุนมาคลื่นหนึ่งมันน่าแปลกเหมือนกันเพราะมันเป็นเพลงบรรเลงเปียโน ทำไมเพลงจากเครื่องดนตรีชิ้นนี้มันเริ่มหลอกหลอนผมเข้าไปทุกทีแล้ว มันน่าแปลกเหมือนกันเพราะปกติดนตรีเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้กลัวแต่ถ้าได้ยินมากทุกวินาทีขนาดนี้ มันทำให้หลอนหูผมได้เหมือนกัน
“ทำไมมันมีแต่เพลงบรรเลงเปียโนเต็มไปหมด” ผมเหมือนตัวเองเจอดีเข้าให้ ผมปิดวิทยุแล้วตั้งสมาธิขับรถไปตามทางจะดีที่สุด การขับรถหากเสียสมาธิเปลี่ยนชีวิตได้หากไปชนใครแล้วทำชีวิตเขาพิการ ถือเป็นตราบาปที่ติดตัวไปตลอดชีวิต
ที่โรงเรียน
ครูพลอยเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาเลิกเรียน ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงยี่สิบนาที อีกชั่วโมงถึงจะเลิกเรียนและเตรียมตัวกลับบ้าน ฉันเห็นผู้ปกครองน้องทิวลิปมาถึงแล้ว ฉันขอครูเวรที่นั่งตรงห้องทำงานทางเข้าออกโรงเรียนให้เข้ามาเพราะมีเรื่องด่วนขอติดต่อเป็นการส่วนตัว ฉันว่าเรื่องนี้มันดูเหลือเชื่อมาก ต้องคุยกันในห้องทำงานจะดีที่สุด
“ปกติน้องทิวลิปเคยบอกคุณไหมคะว่าสนใจดนตรี”
“ไม่เคยนะครับ”
“แล้วน้องไปได้ความสามารถพิเศษมาจากไหนคะ มันเร็วเกินไปที่มันจะแสดงออกชัดเจนนะคะ” ครูพลอยบอกผมว่าความสามารถพิเศษของทิวลิปมันเร็วเกินไปที่จะแสดงออกมาและทำมันอย่างชัดเจน ถ้าคนตรงหน้าบอกฉันว่าน้องไม่เคยเล่นดนตรี พื้นฐานไม่มากและไม่เคยฝึกฝนมาก่อน นี่แหละคือข้อสงสัยที่ทำให้ฉันต้องเรียกมา ถ้าคนปกติสอนมันก็น่าจะไม่เอะใจ แต่นี่มันไม่น่าใช่คนแล้วล่ะ
“ครูพลอยเชื่อเรื่องนี้ด้วยเหรอครับ”
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้นค่ะ ฉันไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือคนนะคะ” ครูพลอยพูดไปด้วยท่าทางขนลุก มื่อสั่นชัดเจน ผมฟังแล้วยังเป็นไปตามราวกับโรคติดต่อ น้องผมไม่เคยหัดอะไรได้เร็วข้ามคืน ผมค่อย ๆ หันไปหาน้องตรงหน้าต่างที่สามารถมองไปเห็นห้องดนตรีได้ เวลาน้องเล่นมันอย่างมีความสุข ในสายตาผม ผมอาจไม่คิดแล้วว่าตัวตนนั้นไม่ใช่ทิวลิป
“ก่อนที่น้องจะเล่นดนตรีเป็น น้องไปเจออะไรมาก่อนหรือเปล่าคะ” ฉันขอถามให้แน่ใจสืบหาต้นสายปลายเหตุเลยว่า ก่อนหน้านั้นน้องไปเจออะไรมาแล้วทำให้ความสามารถพิเศษเริ่มต้นและคล่องแคล่วอย่างไวจนไม่ปกติ
“งั้นผมจะเล่าให้ฟังแล้วกันนะครับ แต่ว่ามันจะน่าเชื่อถือหรือประหลาดใจไหมครับ”
“ทำไมล่ะชรัส”
ช่วงเลิกเรียน
ชรัสขอเข้ามาในห้องดนตรีของโรงเรียน เพราะผมเห็นความสามารถพิเศษของน้องแล้ว บอกเลยว่ามันเห็นผลทันตาเร็วเกินไป การฝึกฝนใช้เวลานานไม่ใช่นาทีสองนาที น้องสามารถเล่นดนตรีได้เหมือนมีประสบการณ์มาหลายปี มันน่าประหลาดเกินไป ผมเห็นน้องบรรเลงไปอย่างเข้าถึงอารมณ์ เมื่อน้องเห็นผมรีบหันมาแล้วหยุดนิ้วบนเปียโน เป็นการหยุดเพลงไว้
“พี่ชรัส”
“พี่กับครูพลอยเห็นความสามารถน้องแล้วนะ แต่ว่ามันเร็วไปไหมที่น้องจะเล่นได้คล่องขนาดนี้ ว่าแต่น้องเล่นเพลงอะไรให้ตัวเองฟัง”
“เพลงคราวเดรียวครับ”
“มันคืออะไรนะ”
ผมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่น้องกำลังบรรเลงอยู่คือชื่อเพลงอย่างนั้นเหรอ จังหวะหนักเบาที่ลงน้ำหนักบนลิ่มปียโนสีขาวสลับคีย์สีดำอยู่นั้น ผมฟังแล้วเคลิ้มตามเลยเพราะเพลงมันช้าและเคล้าน้ำตา ราวกับว่าบทเพลงนี้มีความขลังไม่น้อย ผมกำลังถูกบทเพลงสาปให้ไปตามอารมณ์อยู่เหรอ เสียงที่ได้ยินทำผมอินไม่น้อย ราวกับว่าบทเพลงชวนให้ระลึกถึงอดีตและอยากกลับไปแก้ไขมากกว่ายืนอยู่ ณ เวลาปัจจุบัน
“ผมไม่รู้ความหมายแต่เพลงมันเพราะมากเลยครับ”
“เพลงครา...”
“คราวเดรียวครับ”
ผมไม่เข้าใจว่าชื่อเพลงมันมีความหมายในเนื้อเพลงว่าอะไร คำว่าคราวเดียวมันก็คือครั้งเดียว แต่พอเติม ร. มาใส่คำว่าเดรียว การออกเสียงมีการม้วนลิ้นมันทำให้ชื่อเพลงและการอ่านออกเสียงม้วนลิ้นได้ดูเป็นคำหรูหราขึ้น แต่ถึงยังไงผมก็ยังไม่เข้าใจความหมายของมันอยู่ดี เพลงเพราะมากแต่แฝงความหมายบางอย่างที่อาจลึกซึ้งก็ได้
“พี่ไม่ใช่คนชอบเล่นดนตรีอาจจะไม่เข้าใจความหมายก็ได้ครับ ผมอยากมอบความสุขให้ผ่านเสียงเพลง แม้ชีวิตของเขาจะอยู่ในความเศร้าก็ตาม”
“เขา เขานี่ใครอะ”
ผมไม่รู้ว่าคำว่าเขาของทิวลิปหมายถึงใคร แต่ผมฟังแล้วเหมือนตอนนี้ผมกับทิวลิปไม่ได้อยู่ในห้องนี้สองคน แต่ในสายตาผมก็มีแค่ตัวผมและน้องเท่านั้น นักเรียนคนอื่นก็ทยอยออกห้องกันไปแล้ว ผมเงยหน้ามองเพดาน มองโต๊ะคีย์บอร์ดของคุณครู สลับไปมองกระดานไวท์บอร์ด เพื่อลดความกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น ลักษณะการพูดของน้องมันเหมือนไม่ใช่ตัวน้องที่ผมรู้จักเลย ผมว่าคนในร่างอาจไม่ใช่น้องก็ได้
“น้องหมายถึงใครเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีพี่เขามอบความสามารถพิเศษเป็นการส่งต่อให้ผมเท่านั้น ผมถึงเล่นมันได้อย่างมีความสุขไงครับ” ยิ่งน้องพูดมากเท่าไหร่ ผมยิ่งมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ทิวลิปคนเดิม ผมเขย่าตัวน้องและพูดในใจว่ามันเป็นใครมาสิงร่างน้อง ผมต้องทำและน้องอาจจะตกใจ ผมอยากให้วิญญาณตนใดไม่ทรายตัวตนออกไปจากร่างน้องผม ก่อนที่มันจะควบคุมจิตใจจนเสียคนแล้วชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“พี่เป็นอะไรครับ”
“น้องเป็นอะไรหรือเปล่า การพูดดูแปลกไปมาก”
“ผมก็คือทิวลิปคนเดิมไงครับ ไม่ใช่คนอื่นแค่มีความสามารถพิเศษเพิ่มมาเท่านั้นเอง” ผมบอกกับพี่ชรัสว่าผมเป็นทิวลิปคนเดิม ผมไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองต่างจากเดิม สิ่งที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ถือว่าเป็นความสามารถพิเศษที่ผมได้มาทีหลัง ผมชอบเล่นดนตรีและผมจะเล่นมันด้วยความเต็มใจ มอบความสุขให้ฟังจนใครก็ต้องชอบมัน
“ทิวลิป...”
ช่วงเย็น
ผมกับทิวลิปมักจะไปเดินศูนย์การค้าช่วงเย็นเสมอ ผมตั้งใจพาน้องไปหาของอร่อย อีกอย่างผมจะได้ลบความหวั่นกลัวกับตัวเองด้วย ผมเริ่มแปลกใจว่าคนตรงหน้าผมคือน้องคนเดิมหรือไม่ ลักษณะการพูดเดี๋ยวปกติ เดี๋ยวพูดอะไรไม่ใช่ตัวตน ผมยอมรับเลยว่าน้องผมไม่เคยมีประวัติการรักษาอาการทางจิตมาก่อน ไม่เคยพบจิตแพทย์แต่สิ่งที่แสดงออกมามันเพิ่มมาพร้อมกับความสามารถพิเศษด้วยเหรอ
“น้องอยากกินไอติมไหม”
“เดี๋ยวผมตามไปนะครับ ผมอยากได้ของร้านนั้น” ผมแปลกใจว่าทิวลิปอยากไปซื้อหนังสือโน้ตเพลง ปกติน้องจะชอบซื้อหนังสือการ์ตูนที่มีความรู้สอดแทรกไปในตัว ผมกับน้องจะมีหนังสือเล่มโปรดเรื่องหนึ่งที่ต้องซื้ออ่านเสมอ ตัวเอกของเรื่องก็เป็นเด็กเหมือนกันอย่างโทรุ น้องเคยบอกผมว่าเล่มใหม่ออกแล้วจะไปซื้อ พร้อมหนังสือดนตรี ผมเข้าใจน้องแล้วขอตัวไปนั่งรออยู่ที่ร้านไอศกรีมก่อน
“น้องเป็นแบบนี้เพราะสิ่งที่เราเข้าไปในบ้านหลังนั้นเหรอ”
ผมจำได้ว่าวันนั้นผมกับน้องไปตีแบดมินตันที่หน้าบ้านหรูหลังหนึ่งในหมู่บ้าน ผมเข้าไปตามน้องออกมา ตอนแรกก็ดูปกติแต่สิ่งที่ผมหันเข้าไปในบ้านหลังนั้นคือเปียโนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงห้องโถงใหญ่ในบ้าน อยู่ตรงประตูเข้าออกหรือว่าสิ่งที่น้องผมเป็นจะได้มาจากสิ่งที่อยู่ในบ้านหลังนั้น
เพราะเปียโนหลังนั้นเหรอ...