EP1 - แค่เข้าไปเก็บลูกแบตเท่านั้นเอง
1 - แค่เข้าไปเก็บลูกแบตเท่านั้นเอง
เสียงลิ่มนิ้วเปียโนบรรเลงเพลงจังหวะผ่อนคลายไล่ระดับเสียงไปตามความหนักหนาขณะลิ่มนิ้วลงบนเปียโน เสียงของมัน จังหวะเพลงบ่งบอกอารมณ์และความหนักเบาได้เป็นอย่างดี ตอนนี้เสียงของมันอารมณ์วิงวอนหาความรักจากใครคนหนึ่งที่เรียกหาและรอการกลับมา เพลงที่บรรเลงด้วยเปียโนฟังแล้วรู้สึกอมยิ้มเพราะเต็มไปด้วยความรักแต่ว่ามันกลับแฝงความเศร้าบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมบทเพลงนี้ถึงสร้างสรรค์มันออกมาแบบนี้ ฟังดูทุกอย่างเหมือนคนบรรเลงเพลงถ่ายทอดความรู้สึกออกมาทางใจ
มันช่างเศร้าเหลือเกิน...
เปียโนหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางบ้านหลังใหญ่ บรรยากาศการตกแต่งเน้นโทนสีขาวเป็นหลัก ทำให้บ้านหลังนี้สวยและโดดเด่นไปด้วยอุปกรณ์ตกแต่งทันสมัยเน้นสีขาว พร้อมพรรณไม้ให้ความเย็นในบ้าน แม้เป็นตอนกลางวันแต่ความเงียบแปรเปลี่ยนเป็นความกลัวได้ เพราะมันมืดและเยือกเย็น เสียงเปียโนที่ดังขึ้น ไม่ได้ถูกเปิดเทปให้เสียงเพลงบรรเลงออกมา แต่มันกำลังเล่นด้วยตัวมันเองด้วยพลังงานที่มองไม่เห็น
ที่นี่เปียโนหลังใหญ่มีอะไรบางอย่างเล่นให้ฟังตลอดเวลา ราวกับว่าวิญญาณผู้ถูกฝังอยู่ ณ ที่แห่งนี้มักจะออกมาพร้อมกับของหวงที่เขารักมากที่สุดในชีวิต ไม่แปลกที่มันวางอยู่ตรงนี้ ใครก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายมันไปได้เพราะมันถูกยึดไว้จากเจ้าของเดิมที่เขารักที่สุด ว่าแต่ทำไมเสียงเพลงถึงบรรเลงตลอดเวลาให้คนที่ผ่านไปมาได้ยินทุกวันคุ้นหูจนเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปกติไม่ได้มีอะไรใหญ่โต
เสียงของผมจะตราตรึงให้เจ้าของใหม่ในวันข้างหน้ามาได้ยินและรับมันต่อไป...
อีกด้านหนึ่ง
แปะ ๆ เปาะ
เสียงลูกแบตกระทบกับตาข่ายของไม้แบดมินตันไปมาบนถนนสายหนึ่ง คนสองคนกำลังเล่นมันอย่างสนุกสนานบนถนนของหมู่บ้าน เพราะความกว้างของถนนทำให้พื้นที่ของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น จะวิ่งรับลูกเซออกพื้นที่หรือกระโดดไปมาก็ได้ ขอแค่หลบรถยนต์ที่อาจเข้ามาไม่บ่อยแต่ถนนก็คือถนน
“เย้ ๆ ผมชนะพี่แล้ว”
ผมชื่อ ‘ทิวลิป’ เป็นเด็กมัธยมหนึ่ง หน้าตาน่ารักตัวผอมและเก่งกีฬามากเลยก็ว่าได้ ผมชอบแบดมินตันเพราะผมคิดว่าน่าจะเล่นง่ายและเป็นพื้นฐานของคนอยากหัดเล่นกีฬา ถึงผมจะตัวผอมแต่ผมก็กระโดดโลดเต้นพริ้วไหวได้ดีไม่แพ้คนตัวใหญ่ เพราะเหตุนี้เองทำให้ผมสามารถเป็นนักกีฬาตามที่คุณสมบัติพร้อมยื่นให้
“อีกแล้วเหรอน้อง พี่จะแพ้เด็กได้ยังไงเนี่ย”
ผมชื่อ ‘ชรัส’ เป็นพี่ชายของทิวลิป ความจริงผมก็ไม่ได้เป็นพี่ที่แท้จริงกับเขาหรอก ต่างฝ่ายต่างมาจากคนละครอบครัว มีเหตุเฉพาะกิจทำให้ผมต้องมาเป็นพี่ของเขา ซึ่งมันก็ดูจะไม่เป็นอะไรมาก ผมกับน้องจะชอบกันก็ได้เพราะไม่ได้มาจากสายเลือดเดียวกัน คนละพ่อพันธุ์เลยก็ว่าได้ เพราะความเอาใจใส่และเอ็นดูเด็กผู้ชายนี้เอง ทำให้น้องทิวลิปเข้าใจในตัวผมมากกว่าเดิม และผมเป็นคนชอบทำกิจกรรมท้าทายและชอบอะไรเหมือนกับน้อง ไม่แปลกที่น้องจะชวนผมเล่นเสมอ ในขณะนี้ก็เช่นกัน ผมเล่นแบดมินตันกับน้องและน้องจะชนะผมเสมอ
“ถึงแพ้เด็ก แต่ก็ห้ามแพ้ใจให้ผมนะครับ”
ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าทิวลิปเป็นแค่เด็กมัธยมหนึ่งเท่านั้น แต่ทำไมความรักและความต้องการเกินวัยขนาดนี้ ปกติวัยนี้ถือว่าอีกไม่กี่ปีจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว อันนี้ถือว่ากำลังเข้าช่วงเริ่มต้น วัยที่ต้องเจอสังคมและเพื่อนใหม่ ๆ เข้ามาทักทายในชีวิต มันก็เป็นเรื่องดี แต่ว่าถ้าน้องมีระบบคัดกรองคนหน่อยก็ดีจะได้มองอย่างเฉียบขาดว่าใครจริงใจหรือแค่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตให้ดิ่งลง
“งื้ออ”
เวลาน้องเล่นชนะผมทีไร ชอบมากระโดดกอดผม ทำให้ผมใจอ่อนและแพ้ความหวั่นไหวกับเด็กทุกที เหมือนใช้เสน่ห์ทางหน้าตาและความจริงใจ อ่อนโยน ความขี้เล่นเข้ามาทำให้คนสามารถใจอ่อนทุกที ไม่แปลกที่ผมจะชอบตามใจน้อง แต่ตามใจในทางเหมาะสมและอยู่ในกรอบไม่ให้เสียคน ผมอยากมอบอนาคตสวยงามให้น้องเป็นของขวัญที่ดีที่สุดก็เท่านั้นเอง
“งั้นมาแข่งกันต่อนะครับ...”
ผมขอแข่งแบดมินตันกับพี่ชรัสอีกสักสองรอบ จะได้พักแล้วกลับบ้าน ปกติบ้านผมไม่ได้อยู่ซอยนี้หรอก แค่อยากมาเล่นในสถานที่กว้าง ๆ หมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่ไม่ได้มีสนามเด็กเล่นจัดไว้ ไม่ได้เป็นบ้านจัดสรร ชั้นเดียวทุกหลังอาจไม่ดูดีแต่อยู่แล้วสบายใจ ผมสัญญาว่าเล่นเสร็จแล้วจะพาไปกินของอร่อย ๆ ที่ผมกับพี่ชอบเหมือนกัน
เปาะ!!
พี่ผมมือหนักตีแบดมินตันแบบเอาจริงเอาจังกระโดดและก้าวขาสไลด์ตัวไปซ้ายบ้างขวาบ้าง สงสัยพี่คิดว่ากีฬานี้เล่นง่ายที่สุดในความคิดเขา ผมกำลังจะรับแต่กลายเป็นว่ามันลอยไปตกในบ้านหลังหนึ่ง ผมว่าผมต้องเป็นคนเข้าไปเก็บอีกตามเคย
“พี่ตีแรงมากเลย”
พี่ผมจะเป็นคนมือหนักเวลาตีแบดมินตัน ผมตีแรงไปหน่อยทำให้มันลอยไปตกในบ้านหลังหนึ่ง ผมเห็นมาสักพักแล้วมันสวยมาก บ้านสองชั้นผิดกับบ้านหลังอื่น ถ้าให้เรียกว่าแบ่งฐานะคือเห็นชัดเจนมาก บ้านสวยผิดกับหลังอื่นมาก ผมไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นใคร ดูมีเงินและฐานะมาก ตั้งแต่การปลูกบ้านแล้ว อยากทำให้โดดเด่นมากกว่าคนอื่น เห็นแล้วอิจฉามากเลย
“อ้าว ทิวลิป”
ผมมองบ้านหลังนี้ด้วยความหลงใหลเพลินตาไปหน่อย รู้ตัวอีกที น้องทิวลปิเดินเข้าไปเก็บลูกแบตในบ้านตรงหน้าแล้ว ผมไม่รู้ว่าขออนุญาตเจ้าของบ้านหรือยัง ผมยังไม่ได้ยินเลยแล้วเข้าไปแบบนี้จะไม่เป็นการบุกรุกหรือไง ผมรีบตามเข้าไปดีกว่ากลัวว่าน้องจะหลงทางในบ้านเพราะมันสวยจนมองแล้วลืมเส้นทาง
ในบ้านหลังหนึ่ง
ทิวลิปแอบเปิดประตูเพื่อเข้ามาเก็บลูกแบตที่ตกเข้าไปในบ้าน ผมเรียกเจ้าของบ้านแล้ว แต่ไม่มีเสียงตอบรับคาดว่าคงไม่อยู่ ผมรอสักพักก็ไม่มีการตอบรับ ผมขออนุญาตเข้าไปเก็บเลยแล้วกันจะได้ไม่เสียเวลา ผมเดินไปตามตำแหน่งที่ตกอยู่ มันอยู่ตรงสวนในบ้าน แต่จะว่าไป บ้านหลังนี้มันใหญ่ขนาดสองชั้น การตกแต่งสีขาวดำไปทางยุโรป หน้าต่างและตัวบ้านใสและเงางามแสดงว่าการดูแลดีเลิศ เจ้าของบ้านมีฐานะและเงินทองมหาศาลไม่งั้นคงไม่ได้แบบนี้หรอก ผมมองค้างเพราะหลงใหลในความสวยงามอันเลอค่า
“อยู่นี่เอง”
ผมเห็นลูกแบตลอยมาตกที่พุ่มไม้ตัดแต่งเป็นรูปวงกลม ในสวนแห่งนี้เหมือนเจ้าของบ้านชอบความเป็นเรขาคณิตและสีเขียวของธรรมชาติ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ในทันใดนั้นเองผมได้ยินเสียงเปียโนบรรเลงเพลงออกมาด้วยความเย็นใจ เสียงจังหวะเวลาลิ่มนิ้วลงบอกอารมณ์ได้ว่ากำลังมีความรัก ผมฟังแล้วรู้สึกเคลิ้มเลยเพราะผมชอบเพลงรัก
เสียงของมันหยุดไป ผมเดินไปตามหาต้นเสียงว่ามันอยู่ส่วนไหนภายในบ้าน ผมค่อย ๆ เปิดประตูทางเข้าหลักหน้าบ้านเป็นประตูบานใหญ่กระจกกรอบไม้แปดช่องเห็นภายใน เปิดแล้วเห็นความยิ่งใหญ่ราวกับโรงละครโอเปร่า สิ่งที่ตั้งอยู่กลางบ้านพร้อมกับพรรณไม้เขียวขจีเป็นของตกแต่ง
“นี่มันเปียโนนี่นา”
ผมเห็นเปียโนสีดำหลังหนึ่งขนาดใหญ่ยกตัวให้เห็นภายใน ผมมองแล้วหลงใหลและของสิ่งนี้มันดูดีมาก ผมเห็นว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่แต่ว่าเปิดบ้านไว้แบบนี้สรุปว่าอยู่จริงหรือไม่ ตอนนี้ผมเข้าไปนั่งแล้วลองเล่นมัน ผมเล่นมันไม่เป็นหรอก กดไปมาให้มันมีเสียงก็พอ ผมเล่นเพลงไม่เป็นเพลงเลย แล้วในตอนนั้นเองผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับตาจนผมตกใจมาก
“เห้ยย...”