หลงรักพ่อเลี้ยง :: CHAPTER 5 [100%]

2431 คำ
“พวกเขาคิดว่าบัวจะมาเป็นนายหญิงคนใหม่ของไร่สิงหา!” ในที่สุดก็เผลอหลุดปากและใส่ความอึดอัดในอกออกไปเป็นคำพูดจนพ่อเลี้ยงนิ่งไปทันที “ว่าบัวยังไงก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่เรื่องนี้ เพราะบัว... ให้บัวออกไปอยู่หอมหาลัยเถอะค่ะ” “ไม่” “แต่พ่อเลี้ยงเสียหายนะคะ บัวเองก็ไม่ได้อยากให้ใครมาดูถูกพ่อเลี้ยงเรื่องนี้” พ่อเลี้ยงลุกขึ้นบีบไหล่สองข้างของฉันให้หันไปเผชิญหน้ากับเขาที่จดจ้องมองเข้ามาในดวงตากลมโตของฉันที่สั่นไหวทันทีที่เห็นหน้าเขาชัดๆ พ่อเลี้ยงไม่พูดอะไรกลับใช้ปลายนิ้วโป้งปาดน้ำตาที่กำลังรินไหลออกไปซะก่อน “ก็ให้เขาคิดไปสิ เราไม่ได้ทำอะไรผิด” “...” “ฉันอยากดูแลเธอ ขืนปล่อยเธอไปอยู่หอเธอจะอยู่ยังไงบัว เราบริสุทธิ์ใจนะบัว เธอไม่จำเป็นต้องแคร์คำพูดคนพวกนั้น” บริสุทธิ์ใจงั้นเหรอ? อาจจะเป็นแค่พ่อเลี้ยงคนเดียวหรือเปล่า สำหรับฉันหัวใจที่เคยขาวสะอาด มาตอนนี้กลับค่อยๆ มืดสนิทเพราะเผลอคิด เผลอรู้สึกในแบบที่ไม่ควรเป็นด้วยซ้ำ “ต่อให้เธอขอร้อง ฉันก็จะไม่ให้เธอไป” “พ่อเลี้ยง” “ไม่เอา อย่าร้องเรื่องแค่นี้เอง” “ฮึก แต่พวกเขาคิดไม่ดีกับพ่อเลี้ยงเรื่องบัว” “บอกแล้วไง ฉันบริสุทธิ์ใจ” อยากจะถามว่าตอนนั้นจูบฉันทำไม ก็ได้แต่เงียบ... เพราะเผลอไผลหรือเปล่า หรือพ่อเลี้ยงแค่ปลอบใจฉันที่โดนชาญทำร้ายจิตใจ “เอาไว้เธอโตกว่านี้ อยากไปอยู่หอฉันก็จะให้ไป ฉันจะไม่ห้ามเพราะมันคือการตัดสินใจของเธอ” “...” “ตอนนี้เธอยังเด็ก เพิ่งเจอเรื่องแย่ๆ มา อยู่ที่นี่น่ะดีแล้ว รู้ไหม” พยักหน้ารับพ่อเลี้ยงก็เช็ดน้ำตาให้ฉันอยู่เสมอเวลาที่ร้องไห้ รู้สึกโดดเดี่ยวเขาก็คอยปลอบใจหรือแม้แต่ตอนที่รู้สึกไม่เหลือใครก็มีเขาคอยพาไปหาความสุขในแบบที่ฉันไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต ตั้งแต่ได้อยู่กับเขาสองคน ทั้งฉันและเขาต่างยิ้ม หัวเราะได้อย่างมีความสุข มันเป็นความสุขอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่เคยได้สัมผัส “โอเคยัง” “ค่ะ” ตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “มาเคลียร์เรื่องงานแล้วก็เรื่องจ่ายเงินคนงาน พรุ่งนี้วันหยุดช่วงสายฉันจะพาไปที่ที่หนึ่ง รับรองว่าเด็กน้อยขี้แยเห็นจะต้องชอบมากแน่ๆ” “บัวเปล่าขี้แย” “หึ ใครกันร้องไห้ขี้มูกโป่ง” พ่อเลี้ยงแซวฉันพลางลูบศีรษะเบาๆ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งเพื่อเคลียร์งานกับฉันจนเสร็จ เราสองคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวไปที่ที่หนึ่งกับพ่อเลี้ยงพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะพาไปไหน แต่อย่างน้อยได้อยู่กับพ่อเลี้ยงทุกวัน ทุกเวลาสำหรับฉันมันมีความสุขมากจริงๆ รุ่งเช้าฉันตื่นมาทำอาหารให้กับพ่อเลี้ยงและรอคนงานที่จะมารับเงินเบิกล่วงหน้าที่เมื่อคืนฉันกับพ่อเลี้ยงช่วยกันเอาเงินใส่ซองให้กับคนงานเพื่อเตรียมพร้อม เวลานี้ฉันยืนอยู่ด้านหลังพ่อเลี้ยงที่ยื่นซองขาวให้กับคนงานที่ต่อคิวรับเงินล่วงหน้ากันอย่างเป็นระเบียบ ด้วยเพราะวันหยุดบางคนก็อยากเข้าเมืองหรือไปท่องเที่ยวตามประสา ซึ่งฤดูเก็บเกี่ยวผลองุ่นสิ้นสุดลงพ่อเลี้ยงเลยให้คนงานพักเป็นเวลาสามวัน หลังจากกลับมาก็เริ่มปลูกองุ่นกันใหม่ส่วนบางคนที่ไม่ได้ไปเที่ยวไหนก็พักผ่อนภายในไร่หรืออยากช่วยเรื่องการแปรรูปก็ได้เช่นเดียวกัน “เที่ยวให้สนุกนะทุกคน แล้วก็...” คนงานได้รับเงินกันครบก็ยืนเรียงหน้ากระดานสบตากับพ่อเลี้ยงที่ยืนเท้าเอวราวกับมีเรื่องจะพูด “ใครเป็นคนพูดเรื่องที่บัวจะมาเป็นนายหญิงของไร่” “!” “ป้าศรี” “ได้เลยค่ะพ่อเลี้ยง อีเจี๊ยบค่ะ” ป้าศรีดูเหมือนจะคันปากแบบสุดๆ รีบบอกพ่อเลี้ยงและชี้นิ้วไปทางกลุ่มพี่เจี๊ยบที่หน้าเสียทันที พวกเขาคงไม่คิดสินะว่าป้าศรีจะฟ้องพ่อเลี้ยงบอกเลยว่าป้าศรีเนี่ยเข้าข้างฉันเหมือนฉันเป็นหลานแท้ๆ ของท่านเลย “เมื่อวานมันด่าคุณบัวว่ามาช่วยพ่อเลี้ยงเพราะหวังจะเป็นนายหญิงของไร่ แล้วก็ดูถูกพ่อเลี้ยงด้วยค่ะ บอกว่าชายหญิงใกล้ชิดกันมากๆ ต่อให้อายุของพ่อเลี้ยงกับคุณบัวห่างกันยี่สิบปีก็ไม่เป็นปัญหา มันแซะคุณบัวว่าคุณบัวแย่งผัวแม่ตัวเองค่ะ” “ปะ ป้าศรี!” “มีอีกนะคะพ่อเลี้ยง อีเจี๊ยบชอบด่าคุณบัวว่าหน้าใสๆ จริงๆ แล้วจ้องจะงาบพ่อเลี้ยง คุณเบญหนีไปกับชู้แทนที่จะไสหัวไปแต่กลับอยู่ที่นี่เพราะว่าจ้องจะจับพ่อเลี้ยง แล้วก็ใส่ไฟว่าคุณบัวอยากเป็นนายหญิงของที่นี่ด้วยค่ะ” ฉันได้ฟังป้าศรีเล่าเรื่องเมื่อวานแบบตาเบิกโพลง ไม่คิดว่าป้าศรีจะจำได้หมดทุกคำพูดที่พี่เจี๊ยบพูดกับฉันและที่สำคัญ พูดรัวเร็วจนหอบหายใจฉันคิดว่าป้าศรีจะช็อกตายก่อนจะได้เบ้ปากใส่พี่เจี๊ยบน่ะสิ “พ่อเลี้ยงคะ คือฉันไม่ได้...” “เธอคิดว่ามีดมันคมไหมเจี๊ยบ” “คะ คมค่ะ” “นั่นแหละ ปากคนก็เหมือนกัน ไม่ว่าเธอจะคิดอะไรก็ขอให้เป็นแค่ความคิด เพราะถ้ามันพ่นออกมาเป็นคำพูดมันก็เหมือนมีดแหลมๆ ที่คอยทิ่มแทงคนๆ นั้น” พี่เจี๊ยบถึงกับก้มหน้าลงไม่สบตากับพ่อเลี้ยงโดยตรง ทำเอาคนงานทุกคนนิ่งเงียบไปตามๆ กันทั้งที่อากาศในช่วงเช้าหนาวเหน็บและมีลมพัดผ่าน หากแต่ว่าไร่ตอนนี้เงียบราวกับป่าช้าทั้งที่อยู่กันเยอะ “แล้วเธอก็อย่าเที่ยวไปพูดเรื่องนี้กับใคร เพราะคนที่เสียหายมันไม่ใช่ฉัน แต่เป็นบัว” “...” “จำไว้ด้วยนะว่าที่บัวอยู่ที่นี่ เป็นเพราะฉันอยากให้บัวอยู่” ทุกคนเงยหน้าสบตากับพ่อเลี้ยงไม่ต่างจากฉันที่ได้แต่มองแผ่นหลังกว้างที่กำลังกล่าวตักเตือนคนงานเรื่องนี้ “บัวอยากย้ายออกไปอยู่หอตั้งแต่วันที่เบญทิ้งฉันไป แต่ฉันรั้งบัวไว้เพราะฉันอยากให้บัวอยู่ที่นี่ ดูแลและทำหน้าที่ทุกอย่างแทนฉัน เคารพบัวให้เหมือนกับเคารพฉัน ถ้าปากสรรหาคำพูดดีๆ ไม่ได้ทีหลังก็อย่าพูดออกมา” “พ่อเลี้ยงด่าได้สะใจป้ามากเลยค่ะ” ป้าศรีเอ่ยชมพ่อเลี้ยงพลางหันไปเบ้ปากใส่กลุ่มพี่เจี๊ยบที่ทำหน้าหงอย “อย่าให้ฉันได้ยินเรื่องนี้ในไร่อีก ถ้ามีอีกครั้งฉันไล่ออกแน่ รบกวนป้าศรีด้วยนะครับ” “ยินดีเลยค่ะพ่อเลี้ยง ป้าจะคอยสอดส่องให้ ใครกล้ามาดูถูกดูแคลนคุณบัว ป้าจะรีบฟ้องพ่อเลี้ยงทันที” “แยกย้ายกันไปได้แล้ว” พ่อเลี้ยงว่ากล่าวตักเตือนคนงานที่สลายหายไปเหลือกลุ่มพี่เจี๊ยบที่ยังอาลัยอาวรณ์พ่อเลี้ยงพลางมองฉันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ป้าศรีก็ผลักศีรษะพี่เจี๊ยบให้เดินกลับไปยังที่พักเพื่อไปเที่ยวพักผ่อนในวันหยุด “ไปเตรียมตัว แล้วก็เตรียมชุดสำรองไปด้วย” “ทำไมคะ?” “บอกให้ทำก็ทำสิบัว ไม่ต้องถาม” ฉันย่นจมูกใส่พ่อเลี้ยงก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในบ้านเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดใหม่ ฉันเลือกที่จะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขาสั้นยีนส์อวดเรียวขายาวและเอาเสื้อยืดสีดำกับกางเกงขาสั้นใส่กระเป๋าผ้าไปด้วยหนึ่งชุด ไม่รู้ว่าพ่อเลี้ยงจะพาไปที่ไหนก็เลยแต่งตัวสบายๆ ไว้ก่อน มัดผมรวบเป็นมวยไว้ตรงท้ายทอยเป็นอันเสร็จ “บัวเสร็จแล้วค่ะ” เรียกสายตาของร่างสูงที่ยืนพิงรถพลางสูบบุหรี่ไปด้วย หลังกระบะป้าศรีกำลังเอาของขึ้นรถไปด้วย ฉันก็ยิ่งมึนงงไปอีกว่าที่ที่พ่อเลี้ยงจะพาไปมันคือที่ไหนกันแน่ หันมาสบตากับพ่อเลี้ยงที่ทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้นและหยิบทิ้งลงถังขยะ เขาหรี่สายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า “ทำไมใส่ขาสั้น” “บัวไม่รู้ว่าพ่อเลี้ยงจะพาไปไหนก็เลยเลือกแต่งตัวให้ทะมัดทะแมงน่ะค่ะ” “สั้นไปหรือเปล่า?” พอพ่อเลี้ยงพูดแบบนี้ฉันก็ก้มหน้ามองกางเกงยีนส์ของตัวเองมันไม่ได้สั้นมากเลยนะ ฉันรู้ตัวเองเสมอนั่นแหละว่าควรหรือไม่ควรใส่สั้นแค่ไหน “ให้บัวไปเปลี่ยนไหมคะ กลัวไปที่ที่ไม่ควรสวมขาสั้น” “ไม่ต้อง เสียเวลา” ป้าศรีส่งยิ้มให้ฉันเป็นยิ้มที่แปลกประหลาดมาก แต่ฉันก็ไม่คิดจะใส่ใจจึงส่งยิ้มกับไปให้ป้าศรีและขึ้นรถกระบะของพ่อเลี้ยงที่ขับออกจากไร่สู่ท้องถนนและไปอีกทางหนึ่งที่ไม่ใช่ทางเข้าเมืองหรือไปรีสอร์ท “ทีหลังถ้าสวมขาสั้นใส่แค่อยู่ในบ้านพอนะ อย่าใส่ออกมาในไร่นะบัว” “บัวทราบค่ะ บัวรู้ว่าถ้าออกไปที่ไร่ควรแต่งตัวให้มิดชิด เพราะแดดร้อน” “ไม่ใช่แค่แดดที่ร้อน แต่คนงานผู้ชายมีเป็นร้อย” ฉันพยักหน้ารับและมองใบหน้าหล่อเหลาที่หันมามองขาฉันแวบหนึ่งก็หน้านิ่งคิ้วขมวด “มันดูไม่ดี” “รับทราบค่ะ” พ่อเลี้ยงอาจจะแปลกใจเล็กน้อยเพราะปกติฉันไม่ค่อยได้สวมขาสั้นสักเท่าไหร่ ปกติแต่งตัวมิดชิดมากแม้กระทั่งอยู่ในบ้านก็เถอะ เขาจะเป็นห่วงเรื่องนี้ก็คงไม่แปลกฉันเข้าใจดีแล้วก็ไม่ได้คิดจะโกรธกับคำตักเตือนที่แสนดีของเขา “ว่าแต่พ่อเลี้ยงจะพาบัวไปไหนเหรอคะ หลังกระบะมีของกินด้วย” “เดี๋ยวถึงก็รู้เอง” พ่อเลี้ยงไม่พูดอะไรต่อเขาก็เปิดเพลงสากลเบาๆ ฟังในรถที่ขับเคลื่อนไปตามเส้นทาง จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปในซอยป่าทึบที่ค่อนข้างชันและรกร้าง หากแต่ว่าเส้นทางมีรถขับผ่านเข้าไปแน่ดูจากถนนลูกรังที่ทอดยาวเป็นเส้นทาง แม้ว่าเส้นทางจะค่อนข้างลำบากเพราะทางคดเคี้ยวมากพอควร หากแต่ว่าพอขับเข้าไปลึกเรื่อยๆ กลับรู้สึกเห็นถึงบรรยากาศข้างทางที่มีต้นไม้กำลังปล่อยกลีบดอกไม้ลอยลงมาเป็นทางราวกับเส้นทางนี้เป็นเส้นทางแห่งความฝัน กระทั่งรถของพ่อเลี้ยงจอดและฉันก็ไม่เห็นเส้นทางที่จะไปไหนได้ต่อ จึงลงจากรถพร้อมเขาสะพายกระเป๋าข้างและช่วยพ่อเลี้ยงถือของกินที่ป้าศรีทำให้ มีตะกร้าสานขนาดสี่เหลี่ยมหนึ่งใบ ถุงผ้าใส่พวกน้ำดื่ม “เดินผ่านตรงนั้นไปก็ถึงแล้ว” พ่อเลี้ยงชี้นิ้วขึ้นไปตรงก้อนหินขนาดยักษ์ที่เรียงซ้อนกัน เห็นแค่นี้ก็จะเป็นลมแล้วดิ “รับรองเธอต้องชอบ” “ดีนะคะที่บัวเลือกสวมขาสั้นมา” ไม่ได้คิดไงว่าจะต้องมาปีนก้อนหินข้ามไปอีกฝั่งน่ะ ฉันพ่นลมออกทางปากเดินตามพ่อเลี้ยงที่เดินนำฉันขึ้นไปก่อนอันดับแรก ก่อนจะยื่นมือมาให้ฉันจับและพาปีนขึ้นไปแบบทุลักทุเล พ่อเลี้ยงจับมือฉันไม่ปล่อยราวกับความอบอุ่นจากมือหนาแผ่ซ่านเข้ามาทำให้รู้สึกดีเผลอจับมือเขาตอบกระทั่งเราสองคนปีนขึ้นมาถึงด้านบน “เป็นไง” “พะ พ่อเลี้ยง” ดวงตาของฉันเบิกกว้างขึ้นทันทีที่เห็นธรรมชาติตรงหน้า ถึงกับหันไปสบตากับพ่อเลี้ยงพลางฉีกยิ้มกว้างให้กับเขา อยากจะบ้าตายทุกคน! น้ำตกตรงหน้าฉันสวยมาก สวยจนฉันอยากจะลงไปแหวกว่ายในน้ำให้รู้แล้วรู้รอด ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวเอกในเทพนิยายเลยล่ะ เพราะที่นี่สวยมากร่มเงาของต้นไม้และเสียงนกดังระงมไปทั่ว เสียงน้ำตกดังเข้ามาในโสตประสาทก่อนที่พ่อเลี้ยงจะจูงมือฉันให้เดินขึ้นไปอีกนิดถึงซึ่งมุมนี้น้ำตกจะเป็นชั้นและมีแอ่งน้ำกว้างมากให้ลงไปว่ายเล่น “สวยมากเลยค่ะ แต่ทำไมถึงไม่มีคนเลยล่ะคะ?” “คงเพราะการเดินทางมันค่อนข้างลำบากมั้ง อีกอย่างมีแค่คนในพื้นที่ที่รู้ ก็เลยยังไม่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว แต่ก็ดีไม่ใช่เหรอ มีแค่เรา” ใช่ มีแค่เราสองคนเท่านั้น พ่อเลี้ยงจูงมือฉันมานั่งที่ใต้ต้นไม้ก่อนจะเอาผ้าสีขาวปูและวางของกินลงบนผ้า ถึงว่าทำไมเขาเอาของกินมาด้วยคงจะอยู่ที่นี่ถึงเย็นเลยล่ะมั้ง ให้อยู่ทั้งวันฉันก็อยู่ได้นะ ฉันไม่รอช้าที่จะถอดรองเท้าและเดินลงไปในน้ำตกที่เย็นเฉียบจนหันไปยิ้มให้กับพ่อเลี้ยง “เย็นมากเลยค่ะ” “ไม่กินอะไรก่อนหรือไง จะเล่นน้ำเลย?” “ค่ะ บัวอยากเล่นน้ำแล้ว” ตอบเขาที่ลุกขึ้นยืนก่อนจะถอดรองเท้าหนังออกและพับขากางเกงยีนส์ขึ้น ก่อนจะเดินลงมาในน้ำมายืนข้างฉัน ตรงนี้น้ำจะอยู่ในระดับแค่ครึ่งหน้าแข้งเท่านั้นสำหรับฉันนะ ส่วนพ่อเลี้ยงก็เลยข้อเท้ามานิดเดียวเอง “พ่อเลี้ยงเล่นน้ำเป็นเพื่อนบัวหน่อยสิคะ” “ไม่เอา ฉันพาเธอมาเล่น” “พ่อเลี้ยงมาที่สวยๆ ขนาดนี้จะไม่ลงเล่นน้ำจริงเหรอคะ?” ฉันทำหน้าบูดใส่เขาที่อมยิ้มก่อนจะวางมือลงบนศีรษะฉันและโยกไปมาจนจับมือเขาออกและพาจูงมาเรื่อยๆ จนตัวของเราสองคนเริ่มเปียกถึงช่วงขาอ่อนแล้ว “นะคะ” “เฮ้อ ก็ได้” คำตอบของพ่อเลี้ยงทำให้ฉันส่งยิ้มหวานให้กับเขาก่อนจะมองมือของเราสองคนที่จับไม่มีใครปล่อยมือใครเลย ถึงอยากจะปล่อยฉันก็ไม่ปล่อยหรอกนะ มือคู่นี้น่ะ *------------------------------------------*
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม