หลงรักพ่อเลี้ยง :: ตอนที่ 3
ฉันออกจากบ้านกับพ่อเลี้ยงโดยพกสมุดมาด้วย เผื่อจดเรื่องที่น่าสนใจจะได้เก็บไว้เป็นข้อมูลช่วยงานพ่อเลี้ยงในเบาบางลงได้ อย่างน้อยก็อยากทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด ฉันฟังพ่อเลี้ยงที่อธิบายเกี่ยวกับการปลูกองุ่นและการเลือกองุ่นสำหรับแปรรูปและทำผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงองุ่นที่สำหรับไว้ทำไวน์ด้วยเช่นกัน ขั้นตอนพวกนี้พอรู้มาบ้างแต่ได้ฟังจากปากของพ่อเลี้ยงดีกว่าเยอะเพราะได้ความรู้แน่นเวอร์ จดก็ไม่ค่อยจะทันแต่ก็พยายามจับใจความให้ได้มากที่สุด
ด้วยเพราะอากาศค่อนข้างดีไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป ทว่าแสงของแดดค่อนข้างแรงทำให้ฉันยกหลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผากตัวเอง เมื่อกี้ก็ลืมหยิบหมวกมาใส่รีบจนลืมไปหมดทุกสิ่ง
ปึก
“โอ๊ย!”
“เจ็บไหมเนี่ย มองทางหน่อยสิบัว” ฉันถึงกับเม้มริมฝีปากตัวเองเพราะเดินชนเข้ากับเสาตรงหน้าเต็มๆ แต่ที่ไม่เจ็บมากคงเป็นเพราะพ่อเลี้ยงเอามือมารองรับหน้าผากฉันไว้ไม่ให้ชนเสาเหล็ก ไม่งั้นหน้าผากคนปูดเป็นลูกมะกรูดแล้ว
“ขอโทษค่ะบัวจดที่พ่อเลี้ยงพูดเพลินไปหน่อย” ส่งยิ้มแห้งให้กับร่างสูงใหญ่ เขาส่ายหน้าไปมาก่อนจะดึงหมวกใบโปรดที่สวมบนศีรษะของตัวเองลงมาสวมให้ฉันซึ่งใหญ่จนมันหล่นลงมาปิดดวงตา พ่อเลี้ยงจึงดันหมวกขึ้นเล็กน้อยและเอาเชือกรูดขึ้นมาถึงปลายคางเพื่อให้พอดีกับศีรษะฉัน “พ่อเลี้ยงร้อนนะคะ”
“เธอมากกว่า แก้มแดงเชียว” ฝ่ามือหนาทาบทับบนพวงแก้มใสของฉัน สัมผัสจากปลายนิ้วโป้งที่อุ่นร้อนทำให้หน้าที่ร้อนเพราะแดด ร้อนมากขึ้นเพราะเขาอีกแล้วสิ “ไปกัน”
“ค่ะ” ยกมือทาบทับบนแก้มตัวเองความอุ่นร้อนจากมือพ่อเลี้ยงไม่จางหายไปเลย ฉันกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามร่างสูงไปยังโรงงานเล็กๆ สำหรับแปรรูปองุ่นซึ่งตอนนี้คนงานกำลังจัดเตรียมองุ่นที่ตัดสดๆ แพคไปส่งตามร้านค้าที่ระลึก รวมไปถึงที่รีสอร์ทเช่นเดียวกัน ฉันพอรู้ว่าองุ่นจากไร่ถูกนำไปแปรรูปเป็นขนมบ้าง พายองุ่นหรือแม้แต่น้ำองุ่น ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ฉันคิดว่ามันพอจะทำได้ก็คือ... “ทำไมพ่อเลี้ยงไม่ลองทำนมรสองุ่นดูล่ะคะ”
“นมองุ่น?”
“ค่ะ อย่างน้อยถ้าแปรรูปเป็นนมด้วยก็คงจะดี อยู่ได้นานและที่สำคัญส่งออกไปที่อื่นได้ด้วย เพราะพ่อเลี้ยงรู้จักคนไปทั่ว อีกอย่างของที่มาจากไร่พ่อเลี้ยงยังไงบัวเชื่อนะคะว่าต้องมีคนซื้อแน่”
“...”
“ลองทำให้ชิมฟรีก่อน จากนั้นก็ค่อยลองทำส่งขาย บัวคิดว่าน่าจะเป็นการแปรรูปที่ดีมากๆ เช่นกันนะคะ” เพราะว่านอกจากไร่พ่อเลี้ยงจะทำองุ่นก็มีฟาร์มวัวนมด้วย อย่างน้อยเอาสองสิ่งนี้มาผสมกันก็น่าจะเข้าท่านะ ฉันวางพายองุ่นลงพลางสบตากับพ่อเลี้ยงที่เท้าเอวมองฉันอยู่ “เอ่อ แค่ความคิดน่ะค่ะ แล้วแต่พ่อเลี้ยงเลยบัวแค่เสนอแนะเฉยๆ”
“น่าสนใจนะ ไว้ฉันจะลองคุยเรื่องนี้กับหัวหน้างานอีกที” ฉันฉีกยิ้มกว้างให้กับพ่อเลี้ยงเขาก็เดินนำฉันออกจากโรงงานแปรรูปองุ่นไปยังโรงบ่มไวน์ที่อยู่ท้ายไร่ โรงบ่มไวน์จะเป็นไม้ทั้งหมดพ่อเลี้ยงหยิบกุญแจและไขประตูเข้าไปในห้องนั้นที่กว้างขวาง มีถังไม้โอ๊กเยอะมากๆ เรียงรายซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ ที่สำคัญมีชั้นสำหรับเก็บไวน์ขวดนับร้อยๆ ขวดไว้ด้วย “ไวน์ยิ่งบ่มนานรสชาติก็จะยิ่งดี ถังนี่หมักมาเกือบสี่ปีแล้ว ปีหน้าก็น่าจะได้บรรจุใส่ขวดส่งออก ไวน์จะหมักทั้งแบบธรรมชาติและการหมักแบบยีสต์”
“ต่างกันยังไงเหรอคะ?” ฉันถามพ่อเลี้ยงขณะที่เขาวางมือลงบนถังบ่มไวน์ที่บอกว่าหมักไว้สี่ปีแล้ว ก่อนจะสบตากับเขาและเตรียมจดความรู้ใหม่ที่ได้
“ไวน์ที่หมักธรรมชาติจะมีราคาที่สูงกว่า ผลิตจำนวนได้น้อยกว่า รสชาติจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นไวน์ที่เปิดดื่มทันทีไม่มีการซื้อเก็บไว้ต้องดื่มให้หมดภายในหนึ่งขวด” พ่อเลี้ยงอธิบายอย่างช้าๆ ราวกับรอให้ฉันจดให้เสร็จจึงเริ่มอธิบายต่อ “หมักด้วยยีสต์ จะเป็นการผลิตแบบจำนวนมาก รสชาติเป็นกลางสามารถจับต้องได้การเลือกดื่มจะมองถึง Vintage (ฤดูเก็บผลองุ่น) ปีที่ผลิต ต้องกินได้ถึงปีไหน ตามฉันทันไหม?”
“คิดว่าทันนะคะ” ถึงจะงงศัพท์เฉพาะของการทำไวน์ก็เถอะนะ ฉันก็พอเข้าใจนิดหน่อยดังนั้นพ่อเลี้ยงอธิบายเสร็จเขาก็หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและเปิดหัวก๊อกเพื่อให้ไวน์สีแดงม่วงเข้มไหลลงแก้วแค่นิดเดียว
“ลองชิมแบบธรรมชาติดู ก่อนชิมก็ลองดมกลิ่นก่อนว่ามันต่างจากการหมักยีสต์ยังไง”
“บัวดื่มไม่เป็นนะคะ”
“ไม่เมาหรอก แอลกอฮอล์น้อยมาก” ฉันรับแก้วไวน์จากมือพ่อเลี้ยงมาดมกลิ่นของไวน์องุ่นที่หมักธรรมชาติ กลิ่นของมันค่อนข้างดีทีเดียว จากนั้นฉันก็จิบนิดหน่อยพอให้ลิ้นรับรสพอดื่มจนหมดแก้วรสชาติค่อนข้างดีเลยล่ะ แถมแอลกอฮอล์ก็น้อยอย่างที่พ่อเลี้ยงบอกและเขาก็เอาไวน์แบบหมักยีสต์มาให้ฉันดื่มซึ่งรสชาติก็แตกต่างจากหมักธรรมชาติจริงๆ ด้วย ตอนที่ดมได้สัมผัสถึงกลิ่นของต้นไม้และดิน ธรรมชาติพ่อเลี้ยงบอกว่าอาจจะเป็นเพราะหมักจากถังโอ๊กเป็นเวลานานกลิ่นจึงคล้ายกับพื้นดินนั่นเอง “ไว้จะให้มาดูขั้นตอนการหมักแบบชัดๆ เลย อยากมาดูไหม?”
“อยากสิคะ” ตอบพ่อเลี้ยงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพอเยี่ยมชมห้องไวน์อยู่นานจนเวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายแก่ เราสองคนก็ยังคงอยู่ในไร่กัน พ่อเลี้ยงพาฉันมานั่งเล่นที่ริมแม่น้ำที่ตัดผ่านมาจากบนเขา ฉันนั่งกอดเข่ามองตรงไปยังภูเขาตรงหน้าและรับลมเย็นๆ พัดผ่านใบหน้า ตอนนี้คืนหมวกให้กับพ่อเลี้ยงแล้ว ที่สำคัญตรงนี้ร่มรื่นมากยิ่งแดดค่อยๆ ลับตาลงเรื่อยๆ มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เหมือนที่เขาบอกธรรมาชาติช่วยบำบัดเราได้ดีคงจะจริง พ่อเลี้ยงถอดรองเท้าออกพลางใช้มือนวดไปที่เท้าซ้ายที่บวมเล็กน้อย “เดี๋ยวกลับบ้านก่อนนอนบวมประคบให้นะคะ”
“ไม่เป็นไร เธอดูแลฉันจนแทบไม่มีเวลาดูแลตัวเองแล้ว”
“การดูแลพ่อเลี้ยงก็เหมือนบัวได้ดูแลตัวเองนะคะ ให้บัวได้ทำอะไรเพื่อพ่อเลี้ยงบ้างเถอะค่ะ” อย่างน้อยก็ตอบแทนที่เขาไม่ทอดทิ้งฉันเหมือนแม่แท้ๆ ของตัวเองที่ไปโดยไม่บอกไม่กล่าวฉันแม้แต่คำเดียว ไม่สนด้วยซ้ำว่าฉันจะเป็นตายร้ายดียังไง ถ้าเกิดพ่อเลี้ยงไม่ได้เป็นคนดีแล้วเขาโกรธเกลียดแม่จนไล่ฉันออกจากไร่จริงๆ แม่จะคิดบ้างหรือเปล่าว่าฉันจะไปอยู่ที่ไหน เพื่อนที่มหาลัยฉันมีอยู่สองคนนะ แต่เพื่อนก็ไปพักผ่อนกับครอบครัวไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นและฉันเองก็ไม่คิดจะเล่าให้ฟังด้วย แต่เชื่อนะว่าเพื่อนต้องรู้จากข่าวโคมที่ปล่อยไปแน่นอน
“ฉันขัดอะไรเธอได้บ้าง?” พ่อเลี้ยงพูดพลางยิ้มขำ “บัว”
“คะ”
“เธอคิดถึงเบญหรือเปล่า” คำถามของพ่อเลี้ยงทำให้ฉันหุบยิ้ม หันกลับมามองสายน้ำที่ใสสะอาดจนอยากจะลงไปแหวกว่ายเล่นบ้าง
“ถ้าบัวบอกว่าไม่ บัวจะบาปไหมคะ?” ฉันตอบพ่อเลี้ยงพลางหันไปสบตากับเขาที่ลอบมองฉันอยู่เป็นระยะ “แม่ทิ้งบัวไปนะคะ ไม่สนด้วยซ้ำว่าบัวจะรู้สึกยังไง อย่างน้อยถ้าไม่คิดถึงใจบัวก็น่าจะนึกถึงพ่อเลี้ยงบ้าง”
“แต่ยังไงเบญก็เป็นแม่เธอนะบัว ถึงจะผิดแต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ อย่าเกลียดเธอเลย” พ่อเลี้ยงถอดถุงเท้าออกพลางถลกขากางเกงยีนส์ขึ้นและจับมือฉันให้ลุกขึ้นยืน ด้วยความมึนงงก็เลยถลกขากางเกงตามพ่อเลี้ยงบ้างถึงได้รู้ว่าเขาพาฉันลงมาในน้ำที่เย็นเฉียบ เหยียบก้อนหินในน้ำจนเกือบจะเซล้ม ถ้าไม่ได้พ่อเลี้ยงโอบเอวฉันไว้และจับมือไม่ปล่อยก็คงหงายท้องเรียบร้อย ฉันหลุบมองลำธารที่ไหลไปตามทางพลางโน้มตัวลงหวักน้ำมาเล่น จากนั้นก็รับรู้ถึงน้ำที่ถูกสาดเข้าใบหน้าจนหันไปสบตากับพ่อเลี้ยงที่หวักน้ำใส่ฉัน
“พ่อเลี้ยง มันเปียกนะคะ”
“อยู่ในน้ำจะมายืนเฉยๆ ได้ไง”
“พ่อเลี้ยงจะเอาแบบนี้ใช่ไหมคะ?”
“โกรธแล้วเหรอ” ปากก็พูดว่าฉันโกรธ ตัวเองก็หวักน้ำใส่ฉันจนต้องหวักน้ำสู้จนสุดท้ายเราสองคนก็ตัวเปียกไปหมด พร้อมเสียงหัวเราะที่บรรเลงไปพร้อมกับเสียงธรรมาชาติ สายลมและนกเขาคู่ที่กำลังเกาะบนกิ่งไม้มองดูเราสองคนที่เล่นอะไรกันเป็นเด็กๆ หากแต่ว่าฉันไม่ได้อยากจะเล่นน้ำเลยสักนิด พ่อเลี้ยงนั่นแหละเป็นคนเริ่มก่อนนะ
“เปียกหมดเลย” ฉันทำหน้างอง้ำมองเสื้อยืดสีขาวของตัวเองที่เปียกจนแนบเนื้อเห็นบราเซียสีดำที่ห่อหุ้มทรวงอกขนาดใหญ่เกินตัวไว้ ดึงชายเสื้อเพื่อไม่ให้เสื้อแนบเนื้อจนคนอื่นเห็นไปถึงไหนต่อไป ด้วยเพราะมันเย็นแล้วทำให้รู้สึกหนาวขึ้นมาจนต้องห่อตัวเล็กน้อย
“สวมเสื้อฉันไว้”
“พ่อเลี้ยงก็โป๊น่ะสิคะ”
“ดีกว่าเธอโป๊ก็แล้วกัน คนงานมีเป็นร้อยกว่าจะเดินกลับถึงบ้าน” พ่อเลี้ยงเอาเสื้อเชิ้ตของตัวเองคลุมให้ฉันอีกทีพลางเอื้อมมือมาเกี่ยวเส้นผมที่เปียกของฉันเหน็บข้างใบหู ดวงตาของฉันลอบมองใบหน้าหล่อเหลาและไล่มาถึงแผงอกแกร่งกำยำรวมไปถึงรอยสักที่พออยู่บนตัวเขาก็ยิ่งดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้าหล่อคมคายเห็นรูปหน้าชัดเจนเมื่อทรงผมถูกเสยขึ้นไปหยดน้ำเกาะบนเรือนร่างและใบหน้า จนฉันเอื้อมมือไปประคองแก้มสากและใช้ปลายนิ้วโป้งปาดตรงหัวคิ้วที่หยดน้ำหยดลงมาพอดี
ทำไมหัวใจเต้นแรงแบบนี้อีกแล้วนะบัว... เวลาอยู่ใกล้ชิดกับพ่อเลี้ยงทีไร ทุกครั้งหัวใจดวงน้อยที่ไม่เคยเต้นแรงขนาดนี้ให้กับใคร กลับเต้นแรงกับเขาอยู่เรื่อยเลย เป็นแบบนี้เสมอจนฉันเริ่มไม่แน่ใจตัวเองแล้วสิว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น ความรู้สึกที่มีต่อคนตรงหน้ามันจะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเมื่อไหร่กันทั้งที่ควรคงสถานะระยะห่างให้ได้มากที่สุด ทว่ายิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งใกล้กันจนอยากเป็นคนที่นั่งในใจของเขา
[50%]
*------------------------------------------*