ระหว่างทางที่มายังจุดหมาย เธอดิ้นขลุกขลักไปมาอยู่ตลอดเวลา ทำเอาการขับรถเป็นไปอย่างทุลักทุเล หวิดจะโดนตำรวจจราจรเรียกจับปรับอยู่หลายครั้งแล้ว ไหนจะต้องประคองสติตัวเองอีก ดีที่มาถึงยังที่หมายได้
แต่เรื่องน่าหงุดหงิดก็บังเกิดขึ้นอยู่ดี เมื่อร้านหนังสือมือสองที่เคยมีนั้น บัดนี้ไม่มีเศษซากใดๆ ทิ้งค้างไว้อยู่เช่นเคยดั่งที่เขาเคยเห็นก่อนกลับมาในครั้งแรก
ภูผาลงจากรถ ลงไปสงบสติอารมณ์ครู่ใหญ่ พร้อมกับมองหาทางเข้าเมืองลับแลที่เขาใช้เรียกร้านหนังสือนั่นไปด้วย
ไม่มี...มองไปตรงไหนก็ไม่มี ดูไม่มีทางสำหรับเข้าเมืองลับแลเลยสักนิด เขามันบ้าเองที่คิดอะไรอย่างนี้ นี่ชีวิตจริง ไม่ใช่นิทานปรัมปราสักหน่อย!
หัวสมองตื้อตันไปหมด ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว หรือบางที...อาจจะต้องไปถามกากีว่าออกมาได้อย่างไร เผื่อเธอจะรู้ว่ากลับไปได้อย่างไร
ความจริงไม่ได้ตั้งความหวังอะไรหรอก แค่อยากลอง
เผื่อว่าจะมีลูกฟลุค
ภูผาเดินตรงไปยังรถ เปิดประตูขณะที่หญิงสาวยังนั่ง
ตัวแข็งอยู่ในนั้น
“ถามอะไรหน่อยสิคุณ ตอนออกมาจากหนังสือนั่น
คุณออกมายังไง”
กากีขมวดคิ้วนิ่วหน้า “มาถามข้า แล้วข้าจะไปรู้รึ”
ถ้ารู้คงไม่ตื่นมาพร้อมกับสีหน้างุนงงไปสามบ้าน
แปดบ้านอย่างที่เขาเห็นหรอก เขาก็ไม่น่าถาม
“แล้วก่อนที่คุณจะรู้ตัวว่าหลุดออกมาจากหนังสือ คุณทำอะไรอยู่” ย้อนถามไปหน่อยแล้วกัน เผื่อได้ข้อมูลอะไร
“ข้าก็นอนอยู่ที่แท่นบรรทมของพญาเวนไตย ครานั้น
ครุฑนรกนั่นหาได้อยู่วังไม่ ตื่นมาอีกที ข้าก็มาอยู่บนแท่นของเจ้าแล้ว หาได้รู้ตัวไม่ว่าโดนลักพามาตั้งแต่เมื่อใดหรืออย่างไร”
บอกแล้วไงว่าไม่ได้ลักพาตัว!
ปากจะฉีกถึงรูหู แต่ภูผาขี้เกียจเถียงแล้ว เอางี้แล้วกัน เขาถอยกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน
“โอเค ไว้ค่อยว่ากันอีกที ผมจะ...เฮ้ย!”
เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มกะว่าจะบอกแผนการที่ตัวเองวางไว้ให้แล้วเสร็จ ค่อยปิดประตู พาเธอกลับบ้านไปพักผ่อน หาอะไรยาไส้ แล้วค่อยคิดหาทางพาตัวเธอส่งกลับไป หากแต่ไม่ทันได้ทำอะไรทั้งนั้น จู่ๆ ร่างบางพลันพุ่งพรวดออกจากรถ วิ่งตุปัดตุเป๋ไปไม่รู้ทิศทาง
“ช่วยด้วย! ผู้ใดก็ได้ช่วยข้าด้วย! ข้าโดนลักพาตัวมาโดยชายผู้นี้!” ร้องไปก็กวักมือเรียกคนที่ผ่านไปผ่านมาตรงหน้าไป
ถึงตรงนี้จะเป็นลานจอดรถ แต่มันก็ติดกับถนน ถ้าเธอวิ่งเข้าไปใกล้ริมถนนสักหน่อย คงมีคนเห็นแน่
ฉิบหายแล้ว!
หัวสมองของภูผาประมวลผลทันที เขารีบวิ่งไปคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ ฉุดไม่ให้เธอวิ่งไปไกลกว่านี้
“ทำอะไรของคุณน่ะ! บ้าไปแล้วเหรอ!”
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! ชายผู้นี้จะข่มเหงข้ากลางวันแสกๆ!”
บ้าไปแล้วจริงๆ ด้วย!
เธอบ้าคนเดียวไม่พอ เขาจะเป็นบ้าตามไปด้วย คราวนี้
ภูผาถึงกับต้องรวบตัวเธอเอาไว้ในอ้อมแขน
“หยุดนะคุณ! เป็นบ้าไปแล้วหรือไง!”
ชักเดือดแล้ว ขณะที่ร่างเล็กดิ้นกลุกกลักจนเครื่องประดับกระทบกันดังโคร้งเคร้งไปหมด
“ปล่อยข้า! ปล่อยนะ!”
“อยากให้ปล่อยก็ไปขึ้นรถ! เดี๋ยวนี้!”
ต่างคนต่างเสียงดังใส่กัน จากที่เปลี่ยวๆ ไม่ค่อยมีคน ถึงกับมีคนนอกมาชะโงกดูหลายคนเลยทีเดียว ภูผาเห็นท่าไม่ดีแล้ว เขาต้องรีบพาเธอไปที่นี่ก่อนที่ทุกอย่างจะปั่นป่วนไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มพยายามพาเธอไปขึ้นรถ กากีร้องลั่นไม่หยุด
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! เจ้าข้าเอ๊ย!”
กู่ก้องร้องตะโกนจนคนหันมามองกันทั้งตำบล ภูผารีบตะครุบริมฝีปากของหญิงสาวเอาไว้ด้วยเมื่อเห็นว่าคนที่มาเมียงๆ มองๆ เริ่มมีปฏิกิริยาไม่อยู่เฉยแล้ว ทุกคนล้วนเลิ่กลั่ก ส่งสายตามาประมาณว่าจะช่วยเหลือผู้หญิงคนนี้ให้พ้นจากมือชายชั่วช้าสามานย์อย่างเขา
“เงียบน่าคุณ คนอื่นเข้าใจผิดหมด!”
แหงสิ กากีตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นนี่ เธอไม่ยอมอยู่กับผู้ชายที่เอาแต่ใจ ลักพาตัวเธอไปมาโดยที่เธอไม่เต็มใจอีกแล้ว!
“ช่วยข้าด้วย! ช่วย...อ๊ะ!”
“บอกให้เงียบไงคุณ!”
“อื้อ!”
ตะครุบหมับอีกครั้งพร้อมส่งเสียงดัง คราวนี้ปิดปากไว้แน่นทีเดียว ต่อให้เธอส่งเสียงออกมาอย่างไร มันก็ดังเพียงแค่อู้อี้เท่านั้น
ภูผาคิดที่จะดึงเธอกลับขึ้นรถ แล้วมุ่งหน้ากลับบ้านก่อน หลังจากนั้นค่อยคิดหาทางอีกทีว่าจะเอาอย่างไรต่อ หากแต่เมื่อเขากึ่งลากกึ่งดึงร่างบางไปยัดใส่รถอีกครั้ง เสียงรถยนต์อีกคันก็ดังหึ่มๆ ขึ้นทางด้านหลัง พร้อมกับเสียงแหบห้าวของคนบนรถที่กระโจนลงมาอย่างรวดเร็ว
“ทำอะไร! ปล่อยผู้หญิงเดี๋ยวนี้นะ!”
ใบหน้าคร้ามหันไปมอง ก่อนจะกลายเป็นสีซีดเผือดเมื่อเห็นว่าเป็นตำรวจสายตรวจสองนายที่ลงมายืนจังก้าตรงหน้าเขาพร้อมอาวุธปืนเหน็บเอว
ซะ...ซวยแล้วไอ้ผา! ซวยแบบสวรรค์ไม่แล ซวยแบบซวยซ้ำซวยซ้อนที่สุดในปฐพีเลย!