เขาตอบตามความจริง ดีอยู่บ้างที่เขาไม่โกหกแก่
คุณมัสดาเพราะนางนั้นรู้
คือนางโทร.ไปเช็คกับเลขาเสมอมา
“นี่ไง ความขี้เกียจเป็นขน เมื่อไหร่จะพัฒนาตัวเองเสียใหม่บ้าง”
และคุณมัสดาประชดลูกชาย
“โธ่คุณแม่ ไม่ถึงกับต้องซีเรียสขนาดนั้นเลย ผมจะไปบ้าง หรือไม่ไปบ้าง อย่างไรมันก็ต้องตกเป็นของผมอยู่ดีล่ะครับ”
เขาเอ่ยตอบมารดา
“ใช่ ในเมื่อมันจะต้องตกมาเป็นของแกอยู่แล้ว แต่ แกก็ควรทำให้มันมีคุณค่าบ้างสิ กริญจ์ ใส่ใจลงไปบ้าง ที่ต่อไปแกจะต้องสืบทอดธุรกิจของตระกูลแล้วนะ แล้วนี่ จะไม่เป็นโล้เป็นพายเหมือนเดิม หรือคว้างเคว้งเชียวเหมือนพ่อพวงมาลัยร่อนเร่หารักนั่น ก็ขอให้ หยุดเสียทีเถอะนะ แม่เบื่อเต็มทีแล้ว จนอยากจะจับผู้หญิงสักคนให้แกแต่งงานด้วย ให้รู้แล้วรู้รอด เพราะจะได้เอาแกไว้ได้ไง เอาให้อยู่หมัด แล้วแกก็จะนึกถึงแต่หน้าเมียและลูกเท่านั้น ไม่มีเวลาไปพาลเกเรเรื่องอื่น ส่วนแม่ แม่ก็จะได้อุ้มหลานไง”
“เอ แหม ไอเดียข้อเสนอวันนี้ นี่แปลกจังเลยนะครับ ใครเป็นคนต้นคิดเอ่ย”
“ฉันนี่แหละย่ะ”
ฝ่ายคุณมัสดาก็กระแทกเสียงใส่บุตรชายอย่างหมั่นไส้
จนเขาสะดุ้งเล็กน้อย
เพราะคราวนี้ มารดาทำท่าจะเอาจริงเอาจังหรือจะบังคับให้เขาแต่งงานกันหนา
คิดหนักไม่ง่ายหรอก เพราะเขายังรักชีวิตโสดอยู่
เขาต้องการคนที่เหมาะสม คือหัวใจเขาเปิดรักเธอ
แล้วกับคนที่ไม่รักด้วยต่อให้รวยแค่ไหนเขาก็ไม่แยแส
นั่นเพราะ ความรักต้องอยู่ที่ความพอใจและพร้อมใจมากกว่าเพียบพร้อมเสียอีก
“เอ ใครกันครับที่คุณแม่ คิดจะจับมาประเคนให้ผม”
“อ๋อ มันก็ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกนะลูกก็ลูกสาวเพื่อนคุณหญิงเหมือนแม่ไงล่ะ หนูมัญจลี ลูกสาวคุณหญิงสายเบศกับท่านนฤพนธ์”
เขารู้ว่า มารดาของเขาเป็นคุณหญิง ที่จริงเขาไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้หรอก
“หา มัญจลี น่ะหรือครับก็ผมกับเธอไม่ได้รักกันนี่นา แบบนี้จะรักกันไม่ได้หรอกครับและจะมาบังคับกันก็ไม่ได้เช่นกัน”
“นี่แม่ว่า ของแบบนี้ อยู่ด้วยกันไป มันก็รักกันเองนั่นแหละ”
และคุณหญิงมัสดาว่าอย่างยิ้มๆในเรื่องนี้
“ก็ไม่ได้หรอกครับ”
หากเมื่อลูกชายนั้นขัดคำพูด
“ทำไมล่ะถึงไม่ได้ ไหนบอกแม่สิหรือว่า แกมีเมียอยู่แล้วล่ะกริญจ์”
“ใช่ ครับผม”
และเขาจำยอมปด เพื่อปิดบังมารดาในเรื่องแท้จริง
ก็จำเป็นนี่ ทำไมท่านนั้นจะต้องมาวุ่นวายเรื่องคลุมถุงชนชีวิตของเขาด้วยนะ
กับผู้หญิงที่เขา นั้นก็ไม่คิดจะรักเหมือนคู่รักชายหญิงได้
เนื่องจากเขารักมัญจลีเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น และไม่ใช่คนที่จะเป็นแม่ของลูกในอนาคต เพราะว่าผู้หญิงที่เขารักนั้น เขาตัดสินใจว่า ต้องหาเอาเอง ก็ตอนนี้เขาเริ่มจะเจอแล้ว
หากแต่ยังหาทางบอกมารดาและใครไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าแค่นี้ ท่านแทบจะเต้นผางๆอยู่แล้ว
แค่ขัดใจท่าน หากถ้าให้ท่านรู้เรื่องเข้า
เรื่องความรักของเขาทั้งหมดก็พังนะสิ
“หานี่ แกไปทำผู้หญิงท้องแล้วหรือตากริญจ์ แล้วฐานะล่ะสกุลรุนชาติ นั่น สูงส่งพอที่จะเทียบเคียงสะใภ้คุณหญิงมัสดาได้ไหมล่ะ ถ้าไม่ได้ แกก็จัดการเลิกกับหล่อนซะก็ให้เงินหล่อนไปก้อนหนึ่ง ”
ดูเหมือนมารดาของเขานั้นแสนจะพูดง่ายๆ
อีกทั้งเขาไม่นึกว่าท่านนั้นจะใจร้ายใจดำถึงเพียงนั้น
ถ้าเป็นความจริง แต่เพราะเรื่องนี้เองเขาต้องยอมเล่นละครต่อไป
“โธ่ คุณแม่ ครับ ไอ้การไปพรากผัวพรากเมียเขานี่ เขาว่ามันบาปหนักเลยนะครับ”
“เอ๊ะ ก็ฉันไม่สนนี่ เพราะ ถ้าเป็นแม่สะใภ้หยำฉ่า ข้างสะพานลอย ริมสลัมฉันไม่รับหรอก แกช่วยไปบอกเมียของแกได้เลยว่าอย่าสะเออะมาที่นี่ เข้ามาเป็นลูกสะใภ้ของฉัน ถ้าหากว่ารวยไม่จริง”
เฮ้อ เขาถอนหายใจ เจ้ายศเจ้าอย่างจริงมารดาของเขา แล้วดู แต่ละเงื่อนไขมารดานี่ สิ แสบนัก
รวย แค่รวยอย่างเดียว
ฮึ คิดว่ารวยไป มันมีความสุขมากมากไหม เงินทองก็มีมาก ก็เห็นมีแต่เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยตามมาเข้าๆออกๆโรงพยาบาล
เสียเงินเป็นหมื่นเป็นแสนหลายครั้ง แบบนี้มีใครพึงใจบ้าง
และฝ่ายปวีณานั้นได้เห็นเพื่อนสาวทำท่านั่งเหงาและครุ่นคิด คล้ายกังวลใจ จึงถาม
“อ้าวฝ้าย เป็นอะไรไปน่ะเห็นเงียบมาตั้งแต่เช้าเลย ไม่สบายหรือ”
“ใช่ รู้สึกเบื่อๆขึ้นมา แล้วก็เซ็งด้วยมอส”
“อ๋อ เรื่องที่เกิดขึ้นน่ะหรือ ที่เธอเล่าให้ฟัง อย่าไปเครียดเลย ไหนๆมันก็เกิดมาแล้ว เราต้องหาทางแก้ไข”
และปวีณารู้เรื่องที่ฝ้ายนิลทะเลาะกับพี่สาว
เพราะฝ้ายนิลนั้นเป็นคนบอกกับเพื่อนเอง เรื่องนี้จบแล้ว แต่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
และรู้สึก แปลกมากทำไมหนอ หล่อนถึงต้องมานั่งคิดถึงกริญจ์ นึกถึงใบหน้าของเขา
ก็คือ น้ำใจของเขา ที่มันติดตรึงประทับใจของหล่อนไม่นึกเลยว่า
เพลย์บอย คนแบบเขาในลึกๆก็มีแววที่จะเป็นคนที่ดีได้ เหมือนกัน
หล่อนอาจจะมองเขาผิด โดยคิดไปเอง
ก็ไม่รู้นี่ ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนหล่อนทำให้ไม่ไว้ใจเพศบุรุษ
แต่เขาทำให้หล่อนเริ่มรู้สึกไว้ใจเพศผู้ชายได้บ้าง นอกจากคนเลวและเสือผู้หญิง
หากแต่เขาก็พิสูจน์ให้หล่อนเห็นได้ ด้วยการที่ไม่แตะต้องตัวหล่อนและมุ่งเอาเปรียบหล่อนเหมือนผู้ชายทั่วไปที่มักคิดเสมอ
เมื่อเวลาอยู่กันตามลำพังสองต่อสองกับผู้หญิงที่มีเวลาและโอกาสอำนวยให้
ในเมื่อเขาไม่ใช่อย่างนั้นนี่เอง
ก็ทำให้หล่อนเลยมองเขาในแง่ดี แม้ยังสับสนในพฤติกรรมของเขา
เพราะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนดีหรือคนไม่ดี
ที่แน่ๆคือมีสองอย่างในตัวตนคนเดียวกัน
หรือ สองบุคลิกนี่หล่อนต้องเปิดโลกความคิดของตัวเองใหม่
และคงจะยอมรับเขามากขึ้น
ในเมื่อเขาไม่ใช่คนแบบที่หล่อนคิดมาตลอดนั่นเอง
แม้ว่า ในอดีต หล่อนอาจจะอคติกับผู้ชายมาแล้วหลายคน ก็ตาม
เพราะค่อนข้างเกลียด เมื่อเรื่องคนเจ้าชู้ มาเกิดขึ้นกับเพื่อนคนหนึ่ง และจบลงด้วยการถูกหลอกจากผู้ชายคนนั้น
จึงเกิดการฝังใจเกลียดผู้ชายพวกนี้ และทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับผู้ชายตลอดมา
แต่เวลานี้เขาก็เป็นคนที่ทำให้หล่อน กล้าที่จะเปลี่ยนความคิดใหม่ อีกมุมหนึ่ง
อย่างน้อยมีเขาคนหนึ่งล่ะ ที่หล่อนเริ่มพิจารณาคนหนึ่ง
ไม่รู้ล่ะ ว่าเขาดีหรือไม่ดี แต่หล่อนคิดว่า เขาเป็นคนที่คุ้มครองป้องกันหล่อนได้
ซึ่งปวีณาไม่มีทางรู้ว่าหล่อนคิดเรื่องนี้
เพราะฝ้ายนิลไม่ได้บอก หล่อนได้เก็บมันเอาไว้ในหัวใจของตนเอง
อย่างน้อยก็มีความซาบซึ้งประทับใจซ่อนเอาไว้
ทำให้คลายต่อเรื่องบาดหมางห่างเหินจากพี่สาวได้ เขาเป็นคนทำให้หล่อนลืมเรื่องนี้
ช่วยหล่อน อีกทั้งเขาบอกด้วยว่าจะช่วยหางานให้หล่อนทำ ถ้าหล่อนชอบ
เป็นงานช่วยเหลือคน คืองานการกุศลเป็นการทำงานเพื่อสังคม มูลนิธิพิทักษ์สิทธิ์ของเด็กและสตรีนั่นแหละ