ตอนที่ 5

1401 คำ
          รถตู้สีขาว คันใหญ่ ซึ่งยังอยู่ในสภาพใหม่เอี่ยม แล่นลอดประตูเข้ามาสู่เนื้อที่อันกว้างใหญ่ไพศาล ความร่มรื่นเขียวขจีแต่แรกเห็น ได้สร้างความประทับใจให้กับสองแม่ลูกที่นั่งมาในรถ ถึงกับเอ่ยปากชมด้วยความแปลกใจ           “เป็นไร่ส้มที่สวยมาก”           อัญชันรำพึงขณะทอดสายตาแลไปรอบๆ ไร่แห่งนี้ต่างกันลิบลับกับที่เธอวาดภาพเอาไว้ในใจ ว่ามันจะต้องร้อนและแห้งแล้งเหมือนไร่ทั่วๆไป เพราะทันทีที่ได้เห็น สีเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้ารวมทั้งดอกไม้มากมายที่เจ้าของไร่กำชับกำชาให้คนงานดูแลรดน้ำเป็นอย่างดี ก็ลบความรู้สึกของภาพไร่และฟาร์มเดิมๆในความทรงจำของอัญชันไปสิ้น           “สวยจริงๆค่ะแม่”           ดาหลาผู้เป็นลูกสาวเอ่ยสำทับขึ้นเบาๆ ออกอาการตื่นตาตื่นใจไม่แพ้ผู้เป็นมารดา ขณะทอดสายตามองผ่านกระจกรถออกไปชื่นชมความงดงามที่ด้านนอก           “ถึงแล้วครับ”           ลุงสไวซึ่งรับหน้าที่เป็นโชเฟอร์ เอ่ยบอกสองแม่ลูกเมื่อรถจอดสนิท           ใกล้ๆกับที่จอดรถแลเห็นป้าบัวซึ่งเป็นแม่บ้านใหญ่ประจำฟาร์ม ยืนรอรับอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส             “ไร่ล้อมตะวันยินดีต้อนรับค่ะ”           ป้าปัวกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ เมื่อร่างของอัญอันและลูกสาวก้าวลงมาจากรถ คนใช้ซึ่งเป็นผู้หญิงสาวอีกสองคนรีบกระวีกระวาดเข้ามาช่วยลุงสไวรับสัมภาระที่ท้ายรถอย่างรู้หน้าที่           “พ่อเลี้ยงสั่งเอาไว้ว่าจะกลับค่ำๆค่ะ…แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ป้าจะดูแลคุณเอง” ป้าบัวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม สุ้มเสียงเต็มไปด้วยมิตรไมตรี พลางชำเลืองไปที่ใบหน้าสะสวยของดาหลา นึกชื่นชมอยู่ในใจว่าเด็กสาวคนนี้ช่างงดงามสะดุดตา ถอดแบบของผู้เป็นแม่มาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน จะต่างก็ตรงวัยที่แรกแย้ม เหมือนกุหลาบที่เพิ่งผลิผ่านฤดูฝนเพื่อมาเจอกับหนาวแรก ผิวพรรณที่เห็นจึงดูเปล่งปลั่งน่ามอง สีผิวนวลเนียนสม่ำเสมอ อีกอย่างบนดวงหน้าของดาหลาที่แตกต่างไปจากแม่ คงเป็นดวงตาคู่นั้นซึ่งแม้จะหวาน หากก็ดูเข้มแข็งกว่า คล้ายดวงตาของผู้มีอำนาจ ทำให้ป้าบัวอดเดาเอาเองไม่ได้ว่าดาหลาคงได้ดวงตาคู่นั้นมาจากลักษณะของผู้เป็นบิดา ซึ่งนอกจากคำร่ำลือเมื่อในอดีตว่าอัญชันเป็นเมียลับๆของทหารระดับนายพลคนหนึ่ง แต่ความจริงจะเป็นเช่นไรนั้น? ก็ไม่มีใครล่วงรู้ นอกจากตัวของอัญชันเองที่รู้ดีที่สุด…ว่าใครคือพ่อของดาหลา? ป้าบัวมองอัญชันด้วยสายตาชื่นชม คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักดาราผู้โด่งดังในอดีตอย่างเธอ แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบ 20 ปี แต่กาลเวลาก็มิได้เปลี่ยนแปลงใบหน้าและทรวดทรงที่เคยสวยสะคราญ อัญชันยังคงไว้ซึ่งสง่าราศีอันน่ามอง ครั้งแรกที่ได้รู้ว่าอัญชันจะมาพักที่ฟาร์ม ป้าบัวเองก็ตกใจ เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอัญชันเป็นเพื่อนกับพ่อเลี้ยงชลัมภ์ แต่ก็ยังแอบดีใจว่าจะได้ใกล้ชิดนางเอกภาพยนตร์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยโด่งดังและเป็นที่ชื่นชอบของตน “ทำไมต้องเรียกน้าชรัมภ์ว่า ‘พ่อเลี้ยง’ ล่ะคะ…แล้วน้าชรัมภ์มีลูกเลี้ยงด้วยหรือคะ?” ดาหลาถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัย นึกในใจว่าชลัมภ์คงมีครอบครัวแล้ว และต้องมีลูกแล้วอย่างแน่นอน เพราะเห็นป้าบัวเรียกว่า ‘พ่อเลี้ยง’ คำถามนั้นทำเอาป้าบัวหัวเราะร่วนด้วยความชอบใจ ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงและแววตาเอ็นดูหญิงสาวที่มีเหตุให้ต้องไปเติบโตต่างบ้านต่างเมืองจนไม่คุ้ยเคยกับภาษาไทยบางคำ “เปล่าค่ะ พ่อเลี้ยงยังโสดค่ะ ที่ป้าเรียกเช่นนั้นเพราะคำว่า ‘พ่อเลี้ยง’ เป็นภาษาที่ใช้ทางเหนือค่ะ มักจะใช้เรียกผู้ชายที่มีฐานะ มีอันจะกิน พูดง่ายๆก็คือร่ำรวย รวมทั้งผู้มีอิทธิพลบารมีที่สามารถเลี้ยงดูคนจำนวนมากๆ” “แสดงว่าน้าชรัมภ์เป็นผู้มีอิทธิพลหรือคะ” ป้าบัวได้ฟังก็หัวเราะ  “แล้วน้าชรัมภ์เลี้ยงดูคนจำนวนมากด้วยหรือคะ” หญิงสาวช่างซัก ถามต่อทันทีด้วยความสงสัย ป้าบัวหัวเราะอีก ครั้นแล้วก็รีบอธิบายว่า “เอ่อ…ไม่เชิงว่าพ่อเลี้ยงจะเป็นผู้มีอิทธิพลหรอกนะคะ ป้าว่าน่าจะเรียกว่ามี ‘บารมี’ มากว่า พ่อเลี้ยงเป็นคนใจนักเลงก็จริง แต่ก็ใจคอกว้างขวาง และความมีน้ำใจของพ่อเลี้ยงนั่นเองที่ทำให้ผู้คนยำเกรง ไม่มีใครกล้ามากระตุกหนวดเสือ ส่วนเรื่องที่ว่าพ่อเลี้ยงมีคนเป็นจำนวนมากที่ต้องรับผิดชอบดูแลนั่นก็จริงค่ะ เพราะคนงานในสวนส้มที่เห็นอยู่นี้รวมๆแล้วก็เกือบร้อย” ป้าบัวอธิบาย “จำเป็นหรือเปล่าคะ…ว่าคนที่ถูกเรียกว่าพ่อเลี้ยงจะต้องมีอายุเยอะ” ดาหลายังไม่หายสงสัย “ไม่เกี่ยวกับอายุค่ะ หนุ่มๆก็เป็นพ่อเลี้ยงได้ ถ้ามีบารมี มีฐานะเป็นเจ้านาย ส่วนผู้หญิงก็จะเรียกว่า ‘แม่เลี้ยง’ ค่ะ” “นั่นกำลังจะมีงานกันใช่มั้ยคะ” อัญชันถาม ขณะทอดสายตาไปยังคนงานที่กำลังช่วยกันจัดโต๊ะ เก้าอี้ ประดับไฟดวงเล็กๆหลากสีสันพันรอบโคนต้นไม้ สูงขึ้นไปถึงกิ่งก้าน บ้างก็ช่วยกันสูบลูกโป่งเอามาประดับประดาไว้ตามซุ้มที่โค้งขึ้นจากเวทีเล็กๆ ยกสูงขึ้นมาจากพื้นราวๆครึ่งเมตรเห็นจะได้ ข้างๆเวทีประดับประดาด้วยก้อนฟาง สลับกับถังไม้โอ๊คขนาดใหญ่หลายใบที่ใช้ในการหมักบ่มไวน์ “ใช่ค่ะ…คนงานกำลังเตรียมสถานที่ สงสัยคุณอัญลืมไปกระมังคะ หรือว่าพ่อเลี้ยงยังไม่ได้บอกว่าคืนนี้เป็นวันสิ้นปีพอดี พ่อเลี้ยงเลยถือโอกาสเคาท์ดาวน์ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไปพร้อมๆกับจัดงานเลี้ยงต้อนรับการมาเยือนของคุณอัญชันกับลูกสาวด้วยค่ะ” “ถึงขนาดนั้นเชียวหรือคะป้าบัว?” อัญชันทำตาโต “แน่สิคะ…เมื่อสองวันก่อน พอรู้ว่าคุณกับลูกสาวจะมาแน่ๆ พ่อเลี้ยงก็รีบสั่งการให้คนเตรียมงานต้อนรับคุณยกใหญ่” “อันที่จริงไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ พลอยจะให้คนงานวุ่นวายกันเสียเปล่าๆ” “อุ๊ย...ดีซะอีกค่ะ พวกคนงานก็ชอบนะสิคะ นานๆจะมีงานเลี้ยงรื่นเริงกันสักครั้ง สนุกสนานกันสิไม่ว่า ต้องขอบคุณการมาเยือนของคุณและลูกสาวถึงจะถูก” “ดูนั่นสิคะแม่” ดาหลาร้องบอก เมื่อแลไปเห็นม้าตัวใหญ่หลายตัวที่แระเล็มหญ้า เฉียดเข้ามาในมุมสายตา ใกล้ๆกับเวที ยิ่งทำให้ภาพที่เห็นราวกับว่าพลัดหลงเข้ามาในเมืองคาวบอยยังไงยังงั้น “ยังกะหลุดเข้ามาในไวโอมิ่งแน่ะแม่” ดาหลารำพึงเบาๆ “แม่ว่าคล้ายมอนตาน่ามากกว่าจ้ะ” ที่สองแม่ลูกกล่าวถึงคือรัฐไวโอมิ่ง (Wyoming) และ มอนตาน่า (Montana) ซึ่งเป็นถิ่นคาวบอยในประวัติศาสตร์ อยู่ทางภาคตะวันตกของอเมริกา เรื่องราวของมันมักจะไปปรากฏอยู่ในหนังคาวบอยคลาสสิกหลายๆเรื่อง “ชรัมภ์…เอ่อ พ่อเลี้ยงจะกลับมาทันงานเลี้ยงมั้ยคะ” อัญชันถาม เรียกชื่อชรัมภ์ด้วยความสนิทสนม ก่อนจะฉุกคิดได้ว่าเธอควรจะเรียกชื่อของเขา เหมือนๆกับที่คนอื่นเรียก “แน่นอนค่ะ ลุงสไวกำลังออกไปรับแล้วค่ะ เสร็จธุระแล้วพ่อเลี้ยงจะนั่งเครื่องมาจากกรุงเทพฯ ไม่นานก็ถึงค่ะ ว่าแต่ตอนนี้ป้าจะพาไปดูที่พักก่อนนะคะ” กล่าวจบป้าบัวก็กวักมือเรียกคนงานที่เตรียมรถโฟล์คกอล์ฟเอาไว้รอท่า เพื่อจะพาสองแม่ลูกไปยังเรือนรับรองที่พ่อเลี้ยงสั่งให้เตรียมเอาไว้ และเมื่อมาถึงห้องพัก ทั้งอัญชันและดาหลาพอใจมากกับความใหญ่โตโออ่า แม้จะเป็นเรือนไม้ ทว่าทุกอย่างก็แลดูสะอาดสะอ้าน ด้วยสถานที่ตั้งของมันอยู่บนเนินสูง เมื่อทอดสายตาผ่านหน้าต่างออกไปจึงแลเห็นทิวเขา ทุ่งหญ้า และไร่ส้มทอดแนวยาวสุด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม