ตอนที่ 4

1281 คำ
สุดท้าย สุดแนวสาบเสื้อ พร้อมๆกับเบียดกายเข้าหาเขาอีกครั้ง “อัญน่ารังเกียจ น่าขยะแขยงนักหรือชรัมภ์” เธอถาม ท้าทายเขาด้วยน้ำเสียงและแววตา “เปล่า…”                เขารู้ว่าทุกอย่างตรงหน้า ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของเธออย่างสิ้นเชิง “คุณสวยมาก…แล้วคุณกำลังทรมานผม” “งั้นจะมัวทรมานอยู่ทำไมล่ะคะ” “ผมเป็นผู้ชาย อย่าทำอย่างนี้เลย…อัญ ได้โปรด ผมไม่อยากทำผิด คุณก็รู้ว่าผมไม่ใช่พระอิฐพระปูน” เขายกมือขึ้นห้าม เก้ๆกังๆจนไม่เป็นตัวของตัวเอง “เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็มีโอกาสทำผิดได้เท่าๆกัน” เธอว่า “จริงของคุณ…ผมไม่ควรยกเอาความเป็นผู้ชายมาเป็นข้ออ้าง…หากมันจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา” “หยุดเถอะค่ะ…อย่าพูดอะไรอีกเลย” เธอเอื้อมเอานิ้วไปแตะที่ริมฝีปากของเขาเป็นเชิงห้าม พร้อมๆกับตะแคงใบหน้าถาม “ชรัมภ์คะ…ระหว่างเรา จะมีสักครั้งไหม? ที่เราจะทำตามหัวใจของตัวเองบ้าง จะมีสักครั้งไหมที่เราจะทำอะไรโดยไม่ต้องนึกถึงคนอื่น” เธอถามขณะเบียดพุ่มทรวงเข้ากับแผงอกของเขา เธอทำให้เขาตบะแตกในที่สุด “อัญ…!!!” ชรัมภ์ยกมือขื้นรวบไหล่ทั้งสองข้างของเธอ บีบแรง คล้ายจะห้าม แต่กลับเปลื้องเสื้อของเธอไปทางด้านหลัง แล้วกระชากเต็มแรงจนมันลงมากองอยู่ที่ต้นแขนพร้อมๆกับสายเสื้อในที่ม้วนเกลียวลงมาอยู่ที่ข้อพับ พุ่มทรวงสล้างของอัญชันจึงถลันล้นออกมาต่อหน้า ยืนยันถึงฉายา ‘หน้าอกภูเขาไฟของเธอ’  เร็วเท่าความคิด ชรัมภ์ทาบฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนเต้าทรวง ดวงตาเบิกโต เคล้นคลึงอยู่ครู่สั้นๆจนหนั่นเนื้อปลิ้นไปในซอกนิ้วแกร่ง รู้สึกว่าลำคอกำลังแห้งผาก จากนั้นก็ครอบริมฝีปากร้อนผ่าวลงไปสัมผัสเม็ดบัวชูชันที่กำลังปูดเป่งเคร่งครัดขึ้นจากฐานป้านสีน้ำตาลจางๆ รูขุมขนน้อยๆเริ่มขยายกว้าง เปิดรับความรู้สึกตื่นตัวอยู่ในขณะนั้น “ชรัมภ์…” อัญชันพริ้มตา เรียกชื่อเขาราวจะสะกด หลุดเสียงครางๆออกมาพร้อมๆกับกดศีรษะของเขาเข้าหาเต้าทรวง เธอเชิดอกรับปลายลิ้นสากที่ลากสลับ แลบเลียลงมาทั้งซ้ายและขวา ชรัมภ์ลอบชำเลืองใบหน้าสวยส่ายสะบัด กัดริมฝีปากล่างของตัวเองไปมา ขณะที่ริมฝีปากรกไรหนวดของเขาขบเม้มลงบนเม็ดทับทิมแดงเด่น ซ่านไปด้วยสีของโลหิตที่แล่นรุมมาหล่อเลี้ยงอยู่รอบปลายยอด หลังจากถูกปลายลิ้นหยอกเย้ามาครู่ใหญ่ๆ อัญชันแอ่นอก ยกไหล่ มือเรียวเคล้นคลึงใต้ราวนมของตัวเอง แสดงอาการปลิ้นป้อนหนั่นเนื้อเชื้อเชิญริมฝีปากของเขาด้วยมือของเธอเอง เร่งเร้าให้ชรัมภ์อ้าปากกว้างแล้วครอบลึกลงราวจะขย้อนกลืนมันลงคอเสียให้ได้ ไม่คิดว่าเนินอกอวบยวบยาบ ขาวจนแลเห็นเส้นเลือดเขียวๆกระจายอยู่ใต้ผิวอวบอุ่น จะกระตุ้นเร้าความต้องการของเขาจนหักห้ามใจเอาไว้ไม่ได้ถึงเพียงนี้ มือเรียวทั้งสองข้างของอัญชันขยุ้มรั้งศีรษะของชรัมภ์ หนีบศีรษะและแก้มระคายเคราของเขาด้วยสองเต้าที่ยังเต่งตึงอย่างไม่กระดากอาย พร้อมๆกับลู่ไหล่ให้กับความรู้สึกซ่านสยิวเมื่อผิวทรวงสัมผัสกับเคราสากถากไถ ชรัมภ์ระดมจูบไซ้ พรมความระคายขึ้นไปตามซอกคอระหง แล้วไล่ลงมาที่ร่องอกอวบใหญ่อีกครั้ง บางจังหวะทำให้อัญชันถึงกับยกไหล่ ใบหน้าสวยบิดเบะรับตอเคราระคายของชรัมภ์ที่ทิ่มตำลงมาตามเนื้อตัว “อัญ!!!…หยุดเถอะ”  จู่ๆเขาก็ห้าม มือใหญ่ของชรัมภ์รวบลาดไหล่ของเธอแล้วเขย่าให้รู้สึกตัว อัญชัญรู้ในทันทีว่าเขาพยายามจะเอาชนะความปรารถนาของตัวเองที่มีต่อเธอ และในทันทีทันใดนั้น ก๊อกๆๆๆๆ… เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้ปลายเท้าของอัญชันที่กำลังจะรุกเข้าหาเขาอีกครั้ง หยุดกึก! ด้วยความตกใจ เธอรีบหันมาจัดการกับเสื้อผ้า จัดทรงผมให้เข้าที่เข้าทาง ชรัมภ์รีบคาดเข็มขัด ยัดชายเสื้อลงในกางเกง กลัดกระดุมเสื้อเสร็จก็รีบเสยผมเผ้าซึ่งยุงเหยิงอยู่ในขณะนั้น “แม่คะ…ดากลับมาแล้วค่ะ” เสียงหวานแว่วมาจากนอกห้อง ครู่สั้นๆเสียงลูกบิดประตูก็คลายออก “……” หญิงสาวตกใจ เมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ของชรัมภ์ที่ยืนตระหง่านอยู่ภายในห้อง “ใครคะ” เธอถามด้วยความตกใจ “เอ่อ…คุณชรัมภ์ที่แม่บอกเอาไว้ว่าจะให้หนูไปพักอยู่ที่ฟาร์มของเขา” เธอตอบกระท่อนกระแท่น น้ำเสียงซ่อนพิรุธ “สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ ชรัมภ์ตะลึงงันกับสาวน้อยที่เห็น ดวงตาดำขลับ แพขนตางอนระยับ ริมฝีปากราวกับกลีบกุหลาบกำมะหยี่คลี่แย้ม พวงแก้มซับสีชมพูจางๆ ทำให้เขานึกถึงประโยคที่ว่า ‘ใครว่านางฟ้ามีอยู่แต่บนฟ้า’ ขึ้นมาในทันที “สวัสดีครับ” ชรัมภ์ตอบพลางจ้องมองใบหน้าหวานด้วยดวงตาอันอบอุ่น วาบไหว ไม่อยากเชื่อว่ารอยยิ้มหวานและเรือนร่างบอบบางน่าทะนุถนอมตรงหน้า จะสามารถทลายกำแพงความความรู้สึกซึ่งแข็งแกร่งดุจหินผาของเขาลงได้โดยง่าย สาวน้อยคนนี้กำลังละลายหัวใจเขา นอกจากอัญชัน…ก็นานมากแล้วที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนจะปลุกความปรารถนาอันร้อนแรงที่ซุกซ่อนอยู่ในใจของเขาขึ้นมาได้ อย่างที่เขากำลังรู้สึกกับดาหลาอยู่ในตอนนี้ “เรียกคุณชรัมภ์ว่า ‘น้า’ ก็ได้” เธอบอกกับลูกสาว พลางชำเลืองไปทางชรัมภ์คล้ายขอความเห็นเรื่องสรรพนามของเขา “ยินดีครับ…ไม่มีปัญหา” ชรัมภ์ตอบ อันที่จริงก็ถูกที่ต้องเรียกน้า เพราะว่าเขาอ่อนกว่าอัญชัน ชรัมภ์ย่าง 38 ขณะที่อัญชันเฉียด 40 ฐานะของชรัมภ์ที่ถูกแนะนำ จึงมีนัยว่าเขาเป็นเพื่อนรุ่นน้องของแม่นั่นเอง “ค่ะ…ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณน้า ว่าแต่เมื่อสักครู่ หนูเข้ามารบกวนหรือเปล่าคะ?”   “เปล่าจ้ะ…เมื่อสักครู่แม่นั่งคุยกับน้าชรัมภ์อยู่ข้างล่าง บังเอิญว่าแม่ลืมกุญแจห้องเอาไว้ น้าตามเอามาให้ เลยถือโอกาศคุยกันถึงเรื่องที่จะเดินทางไปฟ” อัญชันอธิบาย ดาหลาสังเกตเห็นว่าแก้มทั้งสองข้างของแม่แดงระเรื่อ ชรัมภ์พลิกหลังมือขึ้นมองนาฬิกาแก้เขิน “ผมคงต้องขอตัว” “แล้วเจอกันค่ะ ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ” “เจอกันวันมะรืนครับ” เขาส่งยิ้มให้อัญชัน ยิ้มหวานเลยไปที่ลูกสาวซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ดาหลาจึงยกมือไหว้ไปตามมารยาท แม้ตัวของเขาจะก้าวพ้นเข้าไปในลิฟท์แล้ว แต่ใบหน้าของดาหลาก็ยังติดตา ตรึงใจ ตามมารบกวนอยู่ในความคิดคำนึงเกินกว่าจะสลัดออกไปได้ง่ายๆ เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าอัญชันจะมีลูกสาวที่งดงามจับจิตจับใจถึงเพียงนี้  อีกสองวันต่อมา           ตอนใกล้ค่ำ ที่บริเวณด้านหน้าประตูทางเข้าไร่ส้ม แลเห็นรั้วไม้สีขาวทอดขนานไปกับแนวถนนสุดลูกหูลูกตา ตรงหน้าทางเข้า ระหว่างเสาประตูต้นใหญ่ มีป้ายสีน้ำตาลขนาดใหญ่ แกะสลักเป็นตัวอักษรนูนขึ้นจากแผ่นไม้ ทาทับด้วยสีขาว อ่านได้ใจความว่า ‘ไล่ล้อมตะวัน’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม