ถึงวันนัด ที่ต้องไปดูสวนและโรงงานแปรรูปผลไม้ของบุรินทร์ สาริศาขอจอดรถรอตรงสถานีบริการน้ำมัน ที่ซึ่งเป็นทางผ่านไปยังจุดหมาย เรื่องนี้คุยกันไม่ลงรอยหลายรอบแล้ว เพราะบุรินทร์ไม่ยอมให้เธอขับรถไปเอง จนเมื่อวานนี้ที่ขวัญสุดาช่วยพูดให้ จึงได้เอารถไปเองได้
เขาอ้างความปลอดภัย ที่แท้น่าจะดูถูกเรื่องที่เธอขอขับรถไปเองมากกว่า
‘ไปต่างจังหวัดนะ ไม่ใช่ขับในกรุงเทพฯ’
‘ซินไปมาหลายจังหวัดแล้วค่ะ ไม่เคยมีปัญหาสักที’
‘ลูกสาวอาสิช เก่งนะคุณอุ๋ม’
นึกถึงคำพูดของบุรินทร์แล้วร้องเชอะออกมาเบา ๆ คนเดียว ดูออกละว่าประชด แต่เพื่อความสะดวก เธอยืนกรานจะเอารถไปเอง มารอแบบนี้ก็ไม่ต้องขับรถอ้อมโลกไปหาเขาที่บริษัท ไม่ต้องนั่งรถไปด้วยกันกับสองคนนั้น ทั้งยังแอบวาดแผนเอาไว้ในใจอีกด้วย ว่าจะทำทีไปดูโรงงาน ดูสวนอะไรนั่นแล้วก็จะอ้างธุระ ขอกลับก่อน ไม่อยู่สามวันสี่วันอย่างพวกเขาแน่นอน
เผื่ออยากสวีตหวาน จะได้ไม่มีเธอคอยเป็นก้างอย่างไรเล่า
สาริศาคิดอย่างอารมณ์ดี เพิ่งเข้าเกียร์จอดรอได้ไม่ถึงสามนาที ก็เห็นว่ารถของบุรินทร์ขับเข้ามาในปั๊มน้ำมันแล้วเช่นกัน
เปิดกระจกโบกมือให้เขาล่วงหน้าไปเลย เพราะศึกษามาแล้วว่าจุดหมายคือที่ใด ยื่นมือเปิดจีพีเอสขับไปเอง ไม่ได้ตามหลังรถของบุรินทร์ หญิงสาวพารถเลี้ยวเข้าซอยซอกแซกไปมาเป็นนาน กว่าจะถึงสวนผลไม้ที่ว่านั้น นึกครึ้มใจที่มาถึงก่อนหน้าเขา
สวนแบบผสมผสานบนพื้นที่ราวร้อยไร่ที่อำเภอหนึ่งในสมุทรสาคร ไม่ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้สาริศาเท่าไรนัก เธอลงไปยืนรอเจ้าของโรงงานอยู่เป็นนาน กว่าที่เขาจะพารถยุโรปคันเก่าเข้ามาจอดตรงโรงจอดได้
บุรินทร์เปิดประตูลงมาแล้วก็คุยติดพันกับเลขาคนสวยของเขา ก่อนจะหันมาที่เธอ เห็นเขานิ่งไปครู่ มองเธออึดใจเดียวแล้วถามว่าอยากพักก่อนหรือไม่
สาริศาไม่ต้องการพักใด ๆ ทั้งสิ้น เธออยากเดินดูทุกอย่างให้จบวันนี้เลย แล้วก็จะกลับ เสื้อผ้าไม่ได้เตรียมมาสักชุด
ก็บอกแล้วไงว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะมาอยู่สามสี่วันอย่างพวกเขา
“สวัสดีครับคุณหมอก” เสียงทักทายจากชายร่างสูงใหญ่พอฟัดพอเหวี่ยงกับบุรินทร์ดังมาจากทางเข้าสวน สาริศาหันไปมองตามก็เห็นเขาทักไปทางขวัญสุดาด้วย
“คุณเลขาคนสวยก็มาหรือครับ แหม... ดีใจจัง”
กล่าวจบชายคนนั้นมองขวัญสุดาด้วยสายตาหวานหยด แอบเห็นว่าเลขาคนงามของบุรินทร์ดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ชายคนนั้นหันมามองที่เธอเช่นกัน คราวนี้แววตาของเขาดูสนใจอยู่ไม่น้อย อ้าปากคล้ายจะพูดคุยอะไรด้วย แต่ถูกบุรินทร์เอ่ยถามขึ้นเสียก่อนด้วยเสียงเนิบ ๆ “เรียบร้อยดีใช่ไหมหยวน”
เจ้าของชื่อ ‘หยวน’ หันไปสบตาบุรินทร์ด้วยท่าทีที่มองกันออก ล่วงรู้ความคิดของกันและกัน กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เข้าไปคุยในห้องดีกว่าครับคุณหมอก”
ชายคนนั้นเดินขนาบข้างบุรินทร์ พาเข้าห้องเพื่อรายงานอะไรสักอย่างที่ดูจะเป็นการส่วนตัว ภายในอาคารชั้นเดียวตรงหน้าเธอ
“คุณจงกล” ขวัญสุดาเอ่ยขึ้น ราวกับจะบอกให้รู้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร “เดิมที เขาเป็นเจ้าของไร่ทั้งหมดที่นี่ แต่แล้วก็ขายให้บอส เห็นว่าสองคนนี้เขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมาก่อน สนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนนู่นแล้วละ”
สาริศาฟังแล้วก็เห็นว่าชายสองคนบุคลิกต่างกันมาก อดออกความเห็นไม่ได้ “เขาดู... ไม่น่าจะคบหากันได้เลยนะคะพี่อุ๋ม”
อีกฝ่ายนิ่งไปครู่ พึมพำเบา ๆ
“บอสก็คงไม่อยากคบกับคนแบบนั้นหรอก กลิ้งกลอกจะตาย”
ไม่รู้ละว่าใครเป็นคนแบบไหน หลังคุยเรื่องราวของจงกลได้หน่อยหนึ่ง
ขวัญสุดาก็เอ่ยถึงโรงงานผลไม้แปรรูปให้เธอฟังคร่าว ๆ คล้ายรอเวลาให้บุรินทร์คุยธุระของเขาให้จบ
นานพอสมควรที่บุรินทร์และจงกลพากันเดินออกมา เขาคุยเรื่องเครื่องอบผลไม้ตัวใหม่ที่คนของบุรินทร์คิดค้นทำขึ้นเองให้ฟังว่าเครื่องอบประสิทธิผลเหมือนกันกับที่สั่งซื้อเข้ามา แต่เมื่อทำเองราคาจึงถูกกว่าเครื่องนำเข้ามาก ประหยัดต้นทุนไปได้เยอะทีเดียว จึงพากันเดินไปดูเครื่องที่ว่านั้น
เธอขอรั้งท้ายพวกเขา ส่วนขวัญสุดาเดินตามไปสมทบกับเจ้านายหนุ่มของเจ้าหล่อนแล้ว สาริศาเลยได้โอกาสสำรวจทั้งสองคนในตอนนั้น
วันนี้บุรินทร์ไม่ได้ใส่เสื้อเชิ้ตทับด้วยสูทอย่างที่เห็นทุกวัน เขาแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีกรมท่าและกางเกงยีน แม้อยู่ในชุดลำลองก็ยังแฝงด้วยแววของความเคร่งขรึม ไม่ผ่อนคลายเลยสักนิด
กวาดสายตาไปที่ขวัญสุดาบ้าง เพิ่งเห็นว่าแต่งตัวได้น่ารักดี ชุดกระโปรงสีขาวลายดอกอะไรสักอย่าง ที่ทำให้ดูสูงเพรียว ขาเรียวยาว งามระหง ดูน่าทะนุถนอมไม่น้อย
ก่อนจะมองกลับมาที่ตัวเอง วันนี้เธอใส่เสื้อยืดกางเกงยีนเหมือนกับบุรินทร์เลยนี่นา อ้อ แบบนี้เอง เขาถึงได้มองเธอนิ่งอยู่เป็นนาทีตอนที่ลงจากรถ เพราะบังเอิญไปแต่งตัวคล้ายคลึงเขานี่เอง
เธอสวมเสื้อยืดสีกรมท่าเฉดสีอ่อนกว่าบุรินทร์เล็กน้อยและสวมกางเกงยีนผ้ายืดเข้ารูป อวดท่อนขาเรียวยาว แต่ก็ยังยาวไม่เท่ากับขาของคุณเลขาคนสวยเลยสักนิด
จะต้องไปยาวขนาดนั้นทำไม
สาริศาคิดแล้วปัดความอิจฉานั้นทิ้งไปเสีย
ต่อหน้าเธอ พวกเขาไม่ได้คุยอะไรที่เป็นความลับของบริษัทมากมายนัก เห็นเอาแต่อวดว่าโรงงานมีอะไรบ้างก็เท่านั้น ในหัวเลยคิดไปว่า ถ้าแบบนี้ฟังเดี๋ยวเดียวก็จบ ไม่ต้องอยู่ถึงสี่วันหรอก
หากเธอกลับก็จะแวบไปนอนที่ห้องชุดของโยษิตา ตั้งแต่มาดูงานที่บุรินทร์กรุ๊ป เธอแวบออกบ่อย แล้วก็ไม่เห็นว่าใครจะโทร.รายงานบิดาเลย นี่คงเป็นเรื่องดีเรื่องเดียวที่ได้รับกับการมาดูงานที่นี่กระมัง ตอนนั้นเองที่มีเสียงถามดังมาจากบุรินทร์
“กระเป๋าอยู่ในรถหรือ”
สาริศาเงียบไปครู่ ถามเขากลับว่า “กระเป๋าอะไรคะ”
“เสื้อผ้า” เขาตอบคำถามเธอสั้น ๆ แต่สายตาที่มองมาคล้ายรู้เท่าทัน
ทำเอาสาริศาไม่กล้าตอบ ถามเฉไฉไปเรื่อยว่า “นี่ยังเหลืออะไรที่เรายังไม่ได้ดูอีกไหมคะ”
“อีกเยอะ” เสียงตอบทั้งขรึมทั้งเข้มงวด แต่สาริศาก็ยังยิ้มสู้ เสนอความเห็น
“เราดูให้จบวันนี้เลยดีไหมคะ”
บุรินทร์ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก เขาจ้องเธอนิ่งแล้วทำเพียงส่ายหน้าเท่านั้น ไม่รู้ว่ากำลังตอบคำถามของเธออยู่หรือใช้ท่าทางบอกว่าระอาใจกันแน่
“ว้า…” แกล้งทำเป็นร้องออกมาคำหนึ่ง
ขวัญสุดามองดูเหตุการณ์ก็รู้ทันทีว่าสาริศาคิดชิ่งหนีกลับก่อน เท่าที่เห็นมาตลอด พบว่าบุตรสาวของสรสิชไม่เอาอ่าวเท่าไรนัก ช่วงมาดูงานที่บริษัท ขอกลับก่อนอยู่เรื่อย แน่นอนว่าไม่มีใครเอาเรื่องนี้ไปบอกสรสิชแน่ เพราะสารพัดข้ออ้างของสาริศาล้วนแล้วแต่สำคัญไปหมด
ยิ้มเยาะอยู่ในใจว่าสรสิชกำลังส่งลูกสาวมาใกล้ชิดบุรินทร์ แต่เจ้าตัวกลับถอยห่าง แบบนี้แล้วแผนการสรสิชไม่มีทางเป็นผลอย่างแน่นอน ไม่นานสรสิชจะต้องเลิกราไปเอง
ถึงตอนนี้แล้วสาริศาก็ไม่ใช่ศัตรูคู่ปรับของตนอีกต่อไป
ระอาใจกับสาริศาอยู่บ้าง แต่ก็ปั้นหน้าคุยแบบพี่สาวใจดี
“น้องซินมีธุระด่วนหรือคะ”
ถามแทรกราวกับจะช่วย สาริศาตอบรับเสียงอ่อยว่า “ค่ะ” พยายามไม่สนใจสายตารู้ทันของบุรินทร์ ยิ้มประจบใส่ขวัญสุดา “เสียดายจัง ไม่ได้อยู่ตามที่แพลนไว้ ยังไงถ้าซินจะขอกลับก่อน…” ยังไม่จบประโยคเลย เสียงขรึมเข้มของเขาดังขัดว่า
“พี่บอกล่วงหน้าแล้วว่าต้องดูงานที่นี่สี่วัน ไม่ได้บอกฉุกละหุก” บุรินทร์กล่าวจบ อ้างไปถึงบิดาของเธอราวกับจะยกมาขู่ “ธุระที่ว่านี่ อาสิชพอทราบไหม ว่าเป็นธุระอะไร”
จากที่คิดเถลไถลหนีกลับก่อนอย่างที่เคยทำ คราวนี้สาริศานิ่งไป มองตอบบุรินทร์ด้วยแววตาเจ็บใจนิด ๆ ขวัญสุดาต้องทำทีเข้ามาเบี่ยงเบนว่า “ถ้าไม่ใช่ธุระด่วน น้องซินยกเลิกทางนั้นก่อนได้ไหมคะ แล้วเอาเสื้อผ้าสำรองของพี่ไปใส่ก่อน พรุ่งนี้ก็น่าจะเรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่น่าถึงสี่วันหรอก กลับตอนนี้จะไปยังไงคนเดียว”
สาริศาหน้าม่อย แต่ยังพอยิ้มได้ พูดเซ็ง ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ ในรถน่าจะมีติดมาบ้างสักชุด เดี๋ยวเอาตัวนั้นมาเปลี่ยนก็ได้”
บุรินทร์ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขาเลิกสนใจเธอ แล้วเดินตามจงกลไปดูที่ด้านในโรงงานอีกเป็นครู่ ค่อยกลับเข้าสำนักงานอีกครั้งในตอนที่เฉียดหนึ่งทุ่มเข้าไปแล้ว พนักงานเตรียมอาหารไว้รอที่ห้องรับประทานอาหารใกล้ ๆ
“ตามแผนเดิมของบอส พรุ่งนี้กับมะรืนมีประชุม บอสเรียกคุยพร้อมกันเลยก็ได้นี่คะ เพราะหัวข้อคล้ายกันค่อนข้างเยอะ เรียบร้อยแล้วยังไงน้องซินก็จะได้ไปทำธุระพรุ่งนี้เลย”
สาริศาไม่พูดอะไรแล้วตอนนั้น รอฟังคำบัญชาของบุรินทร์อย่างเดียว แต่รอแล้วรอเล่าเขาก็ไม่ยอมพูดว่าอะไร เลยเหลือบตาขึ้น เห็นมองเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกเลยสักนิดว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จึงนั่งเงียบ ไม่ปริปากพูดอะไรอีก
กินมื้อเย็นในตอนพลบค่ำจนอิ่ม สาริศาแยกตัวออกมาพร้อมขวัญสุดา เลขาคนงามพาเธอไปยังห้องพักราวกับรีสอร์ตที่ด้านหลัง
“น้องซินอาบน้ำแล้วก็พักผ่อนได้เลยนะคะ เดี๋ยวพี่ออกไปดูเอกสารให้บอสอีกหน่อยก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน”
“มีอะไรให้ซินช่วยไหมคะ”
ขวัญสุดาหัวเราะเบา ๆ ที่ฟังอย่างไรก็ฟังออกมาว่าเป็นเสียงหัวเราะเยาะมากกว่าจะเอ็นดูเธอ เจ้าตัวปกปิดอาการดูถูกแทบไม่มิด ทำนองว่าอย่างเธอจะมาช่วยอะไรได้ บอกปัดด้วยการรักษามารยาทจอมปลอมว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ น้องซินพักเถอะ พรุ่งนี้พบกันนะคะ”
ขวัญสุดาจากไปแล้ว และเธอก็ไม่คิดจะพักผ่อนแบบที่อีกฝ่ายบอกด้วย
ต้องอยู่ที่นี่อีกคืนอย่างนั้นหรือ มันไม่ใช่แผนที่คิดไว้เลยนะ หยิบโทรศัพท์จะโทร.ไปบ่นกับพี่เทกคนสนิท แต่แล้วกลับติดต่อปลายสายไม่ได้ เลยโทร.หาโยษิตาก็ติดต่อไม่ได้อีก จึงตัดสินใจพาตัวเองออกมาจากห้องพัก เดินเล่นลัดเลาะไปตามทางที่ตามไฟเอาไว้สว่างโร่ จนสะดุดเข้ากับเสียงคุยของกลุ่มคนตรงนั้นเข้า สาริศาหยุดก้าวเท้าแล้วค่อย ๆ พาตัวเองไปหลบที่หัวมุมของอาคาร
“พร้อมเมื่อไรก็เล่นได้เลย เอาให้เจ๊ง เอาให้มันฉิบหายให้ได้”
“มึงรับหน้าที่ปลุกระดมคน ส่วนมึงเข้าไปรื้อเอกสารในห้องทำงานของมัน”
มีเสียงหนึ่งแย้งขึ้นว่า “เสร็จงานจ่ายแน่นะ”
“เออ กูจ่ายแน่ ไปได้แล้ว เดี๋ยวมีคนมาเห็น”
สาริศาขมวดคิ้วหน่อยหนึ่ง แล้วขยับตัวให้หลบไปอยู่อีกมุม เมื่อกลุ่มคนพวกนั้นทำท่าจะเดินมาทางนี้ ใจเต้นระรัว นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะเข้ามาอยู่ในฉากพวกนี้ได้ คนกลุ่มนั้นจากไปแล้ว ก็ค่อยชะเง้อมอง หาทางกลับเข้าห้องพัก เขาปลุกระดมอะไรกัน แล้วยักไหล่ไม่เอามาคิดต่อ ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตัวเอง
วันต่อมา สาริศาค่อยยิ้มออกเมื่อขวัญสุดาเดินมาบอกว่า หากจะกลับวันนี้ก็กลับได้เลย เพราะเช้าถึงเที่ยงบุรินทร์สั่งให้หัวหน้าฝ่ายเข้าประชุมทุกแผนกจนจบสิ้นเรียบร้อยแล้ว
“กลับได้เลยหรือคะ” ถามย้ำอย่างดีใจ
“ได้เลยค่ะน้องซิน”
“งั้นซินไปเลยนะคะ” ลาขวัญสุดาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วหมุนหน้ามองหาบุรินทร์ “บอสของพี่อุ๋มไปไหนแล้วคะ”
“คุยกับคนงานอยู่ในสวนนู่นแน่ะค่ะ”
“โอเค งั้นซินฝากลาด้วยก็แล้วกัน ไปนะคะ” บอกลาแล้วก็รีบเดินไปที่รถ ราวกับกลัวว่าจะไม่ได้กลับ ขึ้นนั่งได้ ค่อยสตาร์ต เตรียมจะไป ได้ยินแต่เสียงแชะ ๆ สองสามทีแล้วก็นิ่ง ลองใหม่คราวนี้ไม่มีเสียงอะไรอีกเลย
“เคยเกเรด้วยหรือไงเราน่ะ”
บ่นรถแล้วก็ค่อยเปิดประตูลงไปยืนมองด้วยอาการหัวเสียเล็กน้อย นาทีต่อมาโทสะของหญิงสาวก็พุ่งปรี๊ดขึ้นราวกับเอาปรอทจุ่มลงในน้ำต้มเดือด เมื่อเห็นว่าล้อรถของตนเองแบนราบทั้งล้อหน้าและล้อหลัง อ้อมไปดูอีกฟาก ล้อรถข้างนั้นก็เป็นแบบเดียวกัน งึมงำกับตัวเองว่ามันอะไรกันนักหนาเนี่ย
เดินกลับไปยังสำนักงานดังเดิม พยายามคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ ไม่วีนเหวี่ยงใส่ใครเข้าเสียก่อน
“อ้าวน้องซิน” ขวัญสุดาทักเธอด้วยสีหน้าแปลกใจว่าทำไมยังอยู่ตรงนี้ “พี่นึกว่าถึงกรุงเทพฯ แล้วเสียอีก” จะไม่โกรธเลย หากว่าขวัญสุดาไม่ถามปนขำ และบุรินทร์ไม่อยู่ตรงนั้นด้วย
“รถสตาร์ตไม่ติดค่ะ ยางก็รั่ว...” สาริศานิ่งไปเดี๋ยวเดียว คุมสติของตัวเองก่อนบอกสำทับไปว่า “สี่ล้อเลยค่ะ”
“หืม... สี่ล้อเลยหรือคะ” เลขาของบุรินทร์ถามด้วยสีหน้าแปลกใจ สาริศานิ่งไปครู่ ถามเสียงอ่อนลงเล็กน้อย
“พอจะตามช่างให้ซินได้ไหมคะพี่อุ๋ม”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่ตามให้”
ขวัญสุดารับคำเธอแล้วก็ลุกพรวดพราดขึ้นเมื่อบุรินทร์เดินหายเข้าไปในห้องทำงานของเขา ที่แท้ก็ตามนายไป ไม่ได้เป็นธุระตามช่างให้เธอสักหน่อย สองคนนั้นปล่อยเธอไว้ที่ตรงนั้นราวชั่วโมงครึ่งแล้วค่อยพากันเดินออกมา
ขวัญสุดาตรงมาหาเธอ บอกพร้อมเก็บเอกสารเข้าแฟ้ม “พี่ตามให้แล้วค่ะน้องซิน รอเดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวคงมา”
ได้ยินว่าอีกฝ่ายตามช่างให้แล้ว อารมณ์ผ่อนคลายลงหน่อยหนึ่ง แล้วก็ชักนั่งไม่ติดเมื่อเห็นว่าฟ้าครึ้ม เมฆลอยผ่านมาก้อนเบ้อเริ่ม พักเดียวลมก็ค่อยพัดแรงขึ้น แล้วถึงได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก
“ช่างจะมาให้ไหมคะเนี่ย ป่านนี้แล้ว ฝนก็ตกด้วย”
“เอ... พี่ก็ชักไม่แน่ใจแล้วละค่ะ” ขวัญสุดาบอกไปตามที่คิด “เอาอย่างนี้ไหมคะ น้องซินทิ้งรถไว้ที่นี่แล้วกลับพร้อมกันดีกว่า”
สาริศาตอบแบบไม่ต้องคิดเลยสักนิดว่า “ไม่ละค่ะ”
จนฝนหยุด สาริศานั่งรอ ชะเง้อคอมองอยู่เป็นนาน พอเห็นว่ามีรถแปลกตาเลี้ยวเข้ามาในบริเวณโรงงานของบุรินทร์ ก็ผุดตัวลุกขึ้นยืน แต่แล้วกลับไม่ใช่รถของช่างซ่อม อีกพักใหญ่มีรถเข้ามาอีกคันและอีกคันจากนั้น แต่ก็ไม่ใช่รถของช่างเลยสักคัน
ผ่านไปอีกชั่วโมงก็ยังไม่เห็นว่าจะมีช่างคนไหนมาดูรถให้เธอเสียที ดีที่มี
ขวัญสุดานั่งรอเป็นเพื่อน ส่วนบุรินทร์ เธอเห็นเขาเดินออกไปด้านนอกตั้งแต่ฝนเริ่มหยุดตกแล้ว ยืนคุยอยู่ข้างรถของเขากับผู้จัดการสวนด้วยท่าทีสนิทสนม
พอไม่เห็นว่าขวัญสุดาจะตามออกมาที่รถ จงกลเลยเดินเข้ามาหาเสียเอง เอ่ยว่า “คุณอุ๋มครับ บอสให้มาเร่ง เอ่อ ให้มาเรียนว่าจะกลับแล้วนะครับ”
ขวัญสุดามีท่าทีลังเล เมื่อเห็นว่าช่างที่ให้คนตามยังไม่มาดูรถให้สาริศาเลย แล้วหันมาหาเธอ ชวนด้วยเสียงอ่อนอกอ่อนใจว่า “กลับด้วยกันเถอะค่ะน้องซิน...” แล้วก็นึกได้ว่าบุรินทร์ต้องแวะที่อื่นก่อน ก็พอดีเขาเดินเข้ามาตามด้วยตัวเขาเอง คล้ายกับจะเร่งกลาย ๆ
“ไปหรือยังคุณอุ๋ม”
“รถน้องซิน ช่างยังไม่มาดูให้เลยค่ะบอส”
“จะรออยู่นี่หรือกลับด้วยกัน” คำถามจากใบหน้าเรียบเฉยทำเอาสาริศายิ่งทวีโทสะมากขึ้น เธอถามเขากลับอย่างที่ให้รู้ว่าไม่พอใจ
“ให้ซินอยู่รอคนเดียวหรือคะ”
“คนเยอะแยะ รอคนเดียวที่ไหน”
ชักยัวะ พูดแบบนี้ได้อย่างไร เอาเธอมาด้วย แล้วก็จะทิ้งง่าย ๆ แบบนี้เลยหรือ สาริศาลุกขึ้นตั้งท่าจะโวยใส่ แต่แล้วขวัญสุดาก็เข้ามาช่วยกล่อมเสียก่อน “คือบอสมีธุระต้องไปต่อน่ะค่ะน้องซิน พี่ว่าน้องซินทิ้งรถไว้ที่นี่แล้วกลับพร้อมกันดีไหมคะ”
“รอที่รถนะคุณอุ๋ม” บุรินทร์บอกขัด พร้อมกับเดินกลับไปที่รถของเขา
สาริศาคิดอ่านอะไรไม่ออก เพราะกำลังโกรธที่กำลังจะโดนทิ้งไว้ที่นี่คนเดียว ถึงบ้านเมื่อไรนะ เธอจะฟ้องบิดาว่าเขามันไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย
ขวัญสุดามองทางนายที ก็ค่อยมองที่เธอที ชวนอย่างร้อนใจว่า “ไปเอาของที่รถเถอะค่ะ แล้วกลับพร้อมกัน รถน้องซิน พี่แจ้งทางช่างว่าซ่อมแล้วส่งไปที่บริษัทได้เลย ไม่ต้องกังวลนะคะ”
ในที่สุดก็ต้องกลับไปเอากระเป๋ากับข้าวของที่ในรถ เมื่อถูกขวัญสุดาหว่านล้อมจนเริ่มคล้อยตาม แล้วเดินคอตกไปที่รถของบุรินทร์แทน
เมื่อพร้อมเดินทาง เขาพารถออกถนนได้ครู่หนึ่ง ขวัญสุดาหันมาบอกเธอ “แวะที่บ้านคุณยายสักเดี๋ยวก่อนนะคะน้องซิน”
สาริศาพยักหน้าอย่างเบา ๆ ตอบเสียงเอื่อยออกไปว่า “ตามสบายเลยค่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วนี่คะ”
บุรินทร์เหลือบตามองกระจกหลังแวบหนึ่งพร้อมรอยยิ้มมุมปาก จงกลนี่ทำเกินกว่าเหตุจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้เกินไปกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้แต่แรก แค่ได้ยินที่
ขวัญสุดาเอามารายงานเรื่องสาริศาจะขอกลับก่อน ตัวเขาเองยังไม่ทันได้เอ่ยปากอะไรเลย จงกลได้ยินแค่นั้นก็รีบเข้ามากระซิบบอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ นี่เล่นจนรถคันเก่งของสาริศาหมดสภาพไปเลยหรือ
ถ้าเจ้าตัวรู้ ต้องโวยว่าเป็นคำสั่งของเขาแน่ ๆ
ดีเหมือนกัน ดื้อแบบนี้ต้องถูกดัดหลังเสียบ้าง
สาริศาคงคิดว่าตนมาเหนือเมฆแล้วสินะ ทำทีเป็นเอารถมาเอง เขาดูออกแต่แรกแล้วว่าต้องมีเหตุผลแบบนี้
ได้เห็นแววตาดื้อรั้นเต้นระริก มองตอบอย่างมีโมโห มุมปากของบุรินทร์ก็ค่อยขยับยกขึ้นอีกหน่อย หมุนพวงมาลัยพารถข้ามฟากไปยังบ้านสวนที่อยู่อีกอำเภอภายในจังหวัดเดียวกัน
สาริศาถอนหายใจแล้วปิดตาลงอย่างต้องการพักสมอง แต่แล้วกลับถูกเสียงของคนสองคนที่เบาะหน้าทำลายห้วงเวลาของการสงบสติอารมณ์ของตัวเอง แม้จะคุยกันเบา ๆ แต่คนกำลังหงุดหงิด เสียงหายใจของพวกเขา เธอยังคิดว่ามันดังเกินไปด้วยซ้ำ
จวบจนรู้สึกได้ว่ารถกำลังเลี้ยวเข้าเส้นทางที่ไม่ค่อยเรียบเท่าไรนัก ขับต่ออีกครู่ค่อยหยุดเคลื่อนตัว จึงเปิดตามอง เห็นเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ตั้งอยู่ที่ตรงหน้า
“อาสิชเล่าว่าเคยพาเรามาที่นี่เมื่อตอนเด็ก ๆ”
ก็คลับคล้ายคลับคลาอยู่บ้าง สาริศาพึมพำเบา ๆ เปิดประตูลงไป ใช้สายตาสำรวจรอบ ๆ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเสียงตะโกน
“คุณหมอกมา! คุณยายครับ คุณหมอกมา”
เสียงนั้นดังลั่นบริเวณ สาริศามองที่ต้นตอของเสียง พบว่าเป็นชายอายุอานามน่าจะเป็นน้องเธอ ทำท่ายกมือไหว้มาแต่ไกล ก่อนแว่วอีกเสียงดังมาจากด้านในของบ้าน
“ไอ้ปอนะ ถ้าหลอกคุณยายอีก ได้หัวแตกแน่รอบนี้”
เสียงมาจากระเบียงชานด้านบน
สาริศาเอี้ยวคอมองตามพร้อมกับอมยิ้มนิด ๆ เมื่อเห็นหญิงดูมีอายุยื่นหน้าออกมามอง ทางนั้นเสียงดังกว่าเด็กหนุ่มเมื่อครู่นี้เสียอีก
“คุณท่านขา คุณหมอกมาจริง ๆ ด้วยค่ะ”
บุรินทร์ยิ้มเมื่อได้ยินเสียงคนนั้นคนนี้ตะโกนบอกต่อกันเป็นทอด ชวนสั้น ๆ ว่าให้ขึ้นไปบนบ้านด้วยกันก่อน สาริศาเดินรั้งท้าย ให้ขวัญสุดาตามหลังบุรินทร์ขึ้นบันไดบ้านไป อดลูบมือตามรอยฉลุของไม้ไม่ได้ สวยทีเดียว ดูออกว่าเป็นไม้เนื้อดีมีราคา ไม่เสียแรงที่แวะมาด้วย หันไปมองรอบ ๆ อีกทีขณะก้าวขาขึ้นบันไดไป
สวย ร่มรื่น บรรยากาศก็ดี
แล้วสาวเท้าขึ้นไปจนถึงด้านบนของบ้าน
ราวกับหนังย้อนยุค เมื่อบันไดสุดอยู่แค่นั้น ทั้งหมดตรงหน้าเธอเป็นไม้ทั้งสิ้น เครื่องเรือนเอย ข้าวของเครื่องใช้ไม้สอยเอย นี่ถ้าคนบนนี้นุ่งกระโจมอกกับผ้าถุง เธอต้องคิดว่าตัวเองอยู่ในฉากละครพีเรียดแน่ ๆ
ก่อนจะได้คิดอะไรต่อจากนั้น เสียงเด็กหนุ่มคนเดิมขัดการสำรวจของเธอด้วยการเอ่ยแซวบุรินทร์ “นี่ตั้งใจมาเลยใช่ไหมฮะ ไม่ได้เป็นทางผ่านไปไหนใช่ไหม”
“เดี๋ยวเถอะไอ้ปอ ปากเอ็งเนี่ยนะ ลามเป็นสังคังเลย คุณหมอกเป็นใคร เที่ยวพูดจาล้อเล่นด้วยแบบนี้ ประเดี๋ยวเถอะ”
หญิงสูงวัยคนเดิมเอ็ดเข้าให้ แต่บุรินทร์ยิ้มไม่ถือสาหาความ “อย่าไปว่าเจ้าปอเลยครับ” บอกทางนั้นจบ เธอเห็นบุรินทร์หันไปยิ้มกับทางหญิงชราที่ดูมีสง่าราศีทีเดียว แม้จะสวมเพียงเสื้อคอกระเช้ากับผ้านุ่งแบบง่าย ๆ ก็ตามที “แวะมาดูสวนกับที่โรงงาน แล้วก็ว่าจะมานอนเล่นที่บ้านสักสองคืนครับ”
ได้ยินหลานชายคุณยายผกามาศบอกว่าจะค้างสองคืน ทุกคนดีใจกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะคนเป็นยาย คงมีเพียงสาริศาที่ฟังอยู่เงียบ ๆ แล้วค่อยขมวดคิ้วหน่อยหนึ่ง
เดี๋ยวนะ!
เมื่อครู่เธอได้ยินไม่ผิดใช่ไหม เขาจะพักที่นี่สองคืนอย่างนั้นหรือ แล้วเธอล่ะ
ตอนนั้นเองที่บุรินทร์ทำเหมือนเพิ่งนึกได้ว่ามีหญิงสาวตามมาด้วยอีกคน แนะนำง่าย ๆ ให้เธอได้รู้จักกับผู้ใหญ่
“คุณยายผกามาศ ยายของพี่”
สาริศายกมือไหว้หญิงสูงวัยที่บุรินทร์แนะนำว่าเป็นคุณยายของเขา ท่านเองก็มองเธออย่างสนใจเช่นกัน ตอนที่บุรินทร์แนะนำต่อว่า “ลูกสาวอาสิชครับ”
“ลูกสาวสรสิช อย่างนั้นหรือ”
ท่านทวนพร้อมขมวดคิ้ว มองสบตากับหลานชายตนเอง แล้วค่อยหันมองเธออีกครั้ง คราวนี้สาริศารับรู้ได้ถึงแววตาแปลกใจระคนเอ็นดูจากยายของบุรินทร์ที่ส่งมาที่ตนเอง