“เป็นยังไงบ้างไปดูงานที่บุรินทร์กรุ๊ป”
สาริศาขยับตัวนั่งให้ตรงขึ้น หลังกลับมาถึงหญิงสาวพิงโซฟาอย่างหมดสภาพอยู่ตรงนี้ กำลังนอนรอพเยา เมื่อทางนั้นบอกว่าทำบัวลอยไข่หวานของโปรดไว้คอยท่า ยังไม่เห็นออกมาสักที
ตั้งแต่ไปดูงานที่บริษัทของบุรินทร์ สัปดาห์กว่าแล้วถึงได้พบหน้าพ่อนานพอที่จะได้พูดคุยกัน สองพ่อลูกเข้าออกบ้านคลาดกันอยู่เรื่อย เช้าเจอหน้าอยู่บ้าง แต่ไม่ทันได้คุยอะไร ต่างคนต่างขึ้นรถของใครของมันไปเสียก่อน เย็นไม่ต้องพูดถึง พ่อกลับบ้านบ้างหรือเปล่า เธออยู่ไม่ทันได้เจอท่านหรอก แต่วันนี้กลับมาไว เลยได้เจอหน้ากัน
พอได้เจอกันนาน พอจะพูดจา ท่านก็ถามถึงเรื่องที่เธอไปดูงานทันที อยากตอบไปว่า ‘งั้น ๆ’ แต่เห็นสายตาของพ่อแล้วก็ไม่กล้าพอ เลยตอบไปว่า “ก็ดีค่ะ”
คนเป็นพ่อได้ยินคำตอบของบุตรสาวแล้วก็ยิ้มด้วยอาการโล่งใจ ตรงเข้ามาโอบศีรษะลูกไว้ ลูบไปมาเบา ๆ บอกด้วยน้ำเสียงเอาใจ ดูเป็นการเป็นงานว่า “ตั้งใจนะคนเก่งของพ่อ สามเดือนแป๊บเดียวเท่านั้นเอง อยากเก่ง ซินต้องเอาตัวเองไปอยู่ในสังคมของคนเก่ง ๆ พ่อไม่ได้คาดหวังให้ซินไปเรียนรู้ระบบงานของเขาจนหมดหรอก พ่ออยากให้ซินได้เรียนรู้กระบวนความคิดของเขาต่างหาก”
เวลาท่านพูดดีด้วย สาริศาก็อดดีใจไม่ได้
พยักหน้าตอบท่านเบา ๆ หญิงสาวอยากได้ความรัก ความอบอุ่นแบบที่ไม่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน ซึ่งบิดาไม่เคยมีให้เธอเลย เธอต้องการอะไร แบบไหน มักไม่เคยได้อย่างที่ใจต้องการ ชีวิตนี้มีแต่คำบงการของบิดา ที่พอเธอรั้นก็จะถูกท่านเล่นแง่ด้วยหลากหลายสารพัดวิธี นึกแล้วก็ให้น้อยเนื้อต่ำใจนัก น้ำตารื้นออกมาเต็มหน่วย ยกมือปาดออกไว ๆ บอกเสียงปั้นแต่งให้ดูสดใสว่า
“สัปดาห์นู้น... ซินต้องไปดูงานที่สวนผลไม้ด้วยค่ะ”
สรสิชพยักหน้าน้อย ๆ ถามกลับอย่างอารมณ์ดี “ไปกันยังไง”
ไม่รู้ว่าความหมายของท่านคือแบบไหน สาริศาเลยตอบอย่างที่ตนเข้าใจว่า “ก็ไปกับเขานั่นแหละค่ะ มีพี่อุ๋ม คนที่เป็นเลขาไปด้วยค่ะ”
“ดี ๆ”
เห็นว่าบิดาดูอารมณ์ค่อนไปในทางที่ดีแล้ว เลยลองถามหยั่งเชิงท่านว่า “เรื่องผ่าตัดของป้าเยา คุณพ่อไม่ได้ยกเลิกคุณหมอใช่ไหมคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ตกลงกันไว้แบบไหนก็ตามนั้นนั่นแหละ”
ค่อยโล่งใจ “ขอบคุณนะคะ”
สรสิชหัวเราะออกมาเบา ๆ “นี่ลูกสาวของพ่อรักพี่เลี้ยงมากกว่าพ่อแล้วละมั้ง”
ไม่ได้ตอบอะไรท่าน ยิ้มแห้ง ๆ หลุบตาลงมองที่พื้นแทน เธอเป็นลูก ไม่รักพ่อมันถูกต้องแล้วหรือ แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากนักว่ารักใครมากกว่ากัน เอาเป็นว่าเธอสบายใจที่มีพเยาคอยอยู่เคียงข้างก็เท่านั้น เลยอยากให้ท่านมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่อยากให้อยู่แบบคนอมโรค อะไรที่ทำให้ได้เธออยากทำให้ อยากช่วยเหลือ พเยารักเธอ เธอเองก็รักท่าน ความรู้สึกแบบนี้มันสัมผัส สื่อถึงได้โดยไม่ต้องสาธยายเป็นคำพูดออกมา
“พ่อเคยบอกซินแล้วใช่ไหมว่าอย่าดื้อกับพ่อ พ่อบอกให้ทำแบบไหนซินก็ต้องทำแบบนั้น”
ได้ยินท่านย้ำก็แอบถอนหายใจเบา ๆ ตอบรับเสียงอ่อยว่า “ค่ะ”
สรสิชเลยไม่พูดอะไรอีก เดินเลยไปรินเหล้าที่บาร์เครื่องดื่ม สาริศามองตามหลังไปก็ให้ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายอดใจไม่ไหว ถามอีกเรื่อง ถึงอย่างนั้นก็ยังอ้อมแอ้ม พูดได้ไม่เต็มที่นัก “ที่คุณพ่ออยากให้ซินไปดูงานที่นั่น ไม่ใช่ว่า...” เธอหยุด แล้วหาคำพูดใหม่ แทนคำว่า ‘จับใส่พาน’ เลือกใช้คำนี้แทน “อยากจับคู่ให้ซินกับเขาหรอกใช่ไหมคะ”
สรสิชหัวเราะลั่นบ้านทันทีที่ได้ยินบุตรสาวถาม “ทำไมล่ะ พี่หมอกเขาก็หน้าตาหล่อเหลาดี สาวคนไหนเห็นเป็นละลายแทบทุกคน รู้หรือเปล่าว่าใคร ๆ ก็อยากให้พี่เขาสนใจแทบทั้งนั้น แต่ไม่มีโอกาส จำได้ไหมพ่อบอกว่าไง ‘โอกาสเป็นของคนที่ไวกว่าเสมอ’ ก็แล้วถ้าเขาอยู่ใกล้ลูกสาวของพ่อ แล้วเกิดสนใจลูกสาวของพ่อขึ้นมา ใครหน้าไหนมันจะไปห้ามเขาได้ ถูกไหม”
ท่านนอกเรื่อง พูดวกวนไปมา ไม่ยอมรับว่าจับเธอใส่พานให้บุรินทร์จริง สาริศาเองก็ไม่อยากเซ้าซี้ถามอะไรอีกแล้ว เพราะหากพูดแบบนี้ก็เหมือนยืนยันกลาย ๆ แล้วว่าคิดอ่านเช่นที่เธอสงสัยจริง
ธรรมชาติของสาริศาไม่ใช่คนหัวอ่อน ออกจะเป็นเด็กรั้น ๆ ด้วยซ้ำไป พอรู้จักหลบหลีกเป็นอยู่บ้าง แม้ต้องทำตามที่บิดาสั่งอยู่เสมอ แต่หากหลบหรือเลี่ยงไปทางไหนได้ เธอมักจะทำ
ทางแก้ปัญหาสำหรับเรื่องนี้ หากว่าเธอทำให้บิดาเห็นว่าบุรินทร์ไม่ได้สนใจเธอ อาจทำให้ตัวเธอเองร่วงหลุดออกจากพานที่ท่านกำลังประเคนให้บุรินทร์อยู่ก็เป็นได้
คิดได้อย่างนั้นก็ทำทีเป็นถอนใจเบา ๆ บอกไปว่า
“ผู้ชายแบบนั้น ไม่สนใจเด็กอย่างซินหรอกค่ะคุณพ่อ”
“ทำไมพูดแบบนั้นเล่า” สรสิชวางแก้วลงแล้วเข้ามาโอบไหล่เธอเบา ๆ บอกเสริมความมั่นใจ “ลูกพ่อเด็กที่ไหนกัน โตเป็นสาว แล้วก็สวยออกขนาดนี้ ใครมันไม่สนใจก็โง่เต็มทน”
สาริศายิ้มแหยหน่อยหนึ่ง ย้ำว่า “ซินพูดจริง ๆ นะคะ เขาน่ะไม่มีทางสนใจเด็กแบบซินหรอกค่ะ” เธอหยุดขบคิดวิธีในหัวแล้วใส่สีตีไข่เรื่องของบุรินทร์กับขวัญสุดาทันทีที่สบโอกาส “ก็เขากับเลขาที่ชื่อพี่อุ๋มน่ะสิคะ ซินว่าซินมองไม่ผิดหรอกว่าสองคนนี้กำลังคบหากัน ซินเห็นพวกเขามองตากันหวานหยดออกค่ะ แล้วก็พูดจาไม่เหมือนเจ้านายกับลูกน้องเลยนะคะ เหมือนแฟนกันมากกว่า... อุ๊ย!” ทันใดนั้นสาริศาก็ร้องขึ้นมาคำหนึ่งด้วยความตกใจ เมื่อถูกมือบิดาบีบหนัก ๆ ตรงหัวไหล่จนรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ
สรสิชรู้สึกตัวก็รีบคลายมือตนเองออกทันที ผละไปดื่ม ถามขณะยืนหันหลังให้บุตรสาวของตัวเอง “สองคนนั่น เหมือนแฟนกันอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่แค่เหมือนหรอกค่ะ แต่คงเป็นแฟนกันแล้วแน่ ๆ”
สรสิชได้ยินอย่างนั้นก็บดกรามแน่น สาดเหล้าเข้าคอด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว คิดอยู่แล้วเชียวว่าเจ้านายหนุ่มกับลูกน้องสาวไม่มีทางหลบพ้นจากความรู้สึกทำนองนี้ ทำงานใกล้ชิดกันทุกวัน มีหรือจะไม่ซึมซับความรู้สึกอะไรต่อกันเลย
ชายผู้เห็นแก่ตัว ฉวยโอกาสกระทำต่อหญิงสาวที่ครองสติได้น้อยนิด คิดอย่างคนเอาแต่ได้
คำรามชื่อขวัญสุดาในลำคอเบา ๆ แล้วกระแทกแก้วลงกับโต๊ะหินอ่อนอย่างแรงจนเกือบแตก ใจร้อนรุ่มไปหมด ควานหากุญแจรถในกระเป๋าไม่เจอก็ยิ่งหงุดหงิดไปใหญ่ กวาดสายตามองหาใหม่ จนพบว่าวางทิ้งไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ นั่นเอง
บอกพร้อมกับเดินไปนอกบ้าน “เข้าห้อง อาบน้ำ นอนได้แล้ว”
สาริศารับรู้ถึงอารมณ์ของบิดา อ้าปากถามว่าท่านจะออกไปไหน เพราะนี่ก็สี่ทุ่มกว่าใกล้ห้าทุ่มอยู่อีกไม่กี่นาทีดี แต่ร้องถามไม่ทัน เมื่ออีกฝ่ายเดินดุ่ม ๆ ไปยังโรงจอดรถ ไม่นานได้ยินเสียงเครื่องยนต์ขับออกไป
“คุณพ่อไปไหนหรือคะ”
พเยาที่เดินมาพร้อมถาดใส่ถ้วยขนม ชะเง้อมองตาม
“ไม่รู้ค่ะ” สาริศาเลิกสนใจบิดาเมื่อเห็นขนมโปรดวางอยู่ตรงหน้าตนเอง หยิบออกจากถาด ตักกินพร้อมชมเปาะว่าอร่อยเหลือเกิน สมกับที่ให้รอเสียนาน พเยายิ้มไม่ได้ว่าอะไร
เธออิ่มแล้วก็ยังโอ้เอ้ นอนอืดอยู่อย่างนั้น กว่าจะขึ้นห้องอาบน้ำได้ ถูกพเยาทั้งดึงทั้งลากออกจากโซฟา แต่ก็แกล้งทำตัวไร้น้ำหนักเพื่อหยอกล้อกันเล่น เป็นนานถึงได้กอดเอวพากันเข้าห้อง อ้อนให้นอนด้วยกันแบบทุกคืน
สรสิชหัวเสียอยู่ที่หลังพวงมาลัยรถยนต์ เมื่อต่อสายหาขวัญสุดาแต่เจ้าหล่อนไม่ตอบรับเขา จอดรถได้ หนุ่มใหญ่เดินขึ้นไปที่ห้องของหญิงงาม แต่ปรากฏว่าครั้งนี้เขาไม่สามารถใช้คีย์การ์ดเปิดเข้าไปได้อีกแล้ว
“อุ๋ม!” เรียกพร้อมทุบประตูอยู่เป็นนาน แต่ไม่มีการตอบรับแต่ประการใดจากคนในนั้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นกดต่อสายหา แต่ติดต่อไม่ได้ จนมีพนักงานเดินออกจากลิฟต์ตรงมาหา ถามว่าเขาพักที่ห้องนี้หรือ และมีอะไรให้ช่วย สรสิชถึงได้จากไปด้วยอาการหัวเสียขั้นสุด
“ขอบคุณมากเลยค่ะ”
“คุณอุ๋มแจ้งความไว้ไม่ดีกว่าหรือคะ”
“ค่ะ เดี๋ยวอุ๋มคงต้องแจ้งความเอาไว้แล้ว คนสมัยนี้นี่น่ากลัวจริง ๆ เลย”
ขวัญสุดาขอบคุณพนักงานของอาคารชุด ที่เรียกให้ขึ้นมาดูหน้าห้อง ไม่รู้ว่าใครเคาะเรียกเธออยู่เป็นนาน ดีที่ทางนั้นเพิ่งเข้ามาใหม่ เลยไม่คุ้นหน้าสรสิช พอไล่ไปได้ก็รีบกลับเข้าห้อง พร้อมกับที่มีสายเรียกเข้ามา ตกใจในทีแรก แต่พอนึกได้ว่าตนบล็อกการติดต่อสรสิชไป ค่อยโล่งอก เห็นว่าใครที่ติดต่อหาก็กดรับสายด้วยสีหน้าเอือม ๆ “ว่าไงอิ๊ง”
“โอนเงินให้อิ๊งหน่อย”
“อาทิตย์ก่อนพี่เพิ่งโอนให้เราเองนะ”
“โหพี่อุ๋ม เงินแค่นั้น อิ๊งเดินออกไปปากซอยก็หมดแล้ว”
“เมื่อไรจะจบเนี่ย พี่ส่งเราไม่ไหวแล้วนะ”
“ปีนี้รับรองได้ว่าอิ๊งจบแน่นอน หางานไว้รอน้องด้วยล่ะ”
“อือ โทร.มาแค่เรื่องเงินนี่ใช่ไหม เดี๋ยวโอนให้”
“อิ๊งมีเรื่องจะเล่าให้ฟังด้วยนะ...” ปลายสายเอ่ยด้วยเสียงร่าเริง กำลังจะชวนคุยต่อ แต่พี่สาวกดตัดสายทิ้งด้วยความรำคาญ แล้วเดินไปทิ้งตัวแผ่หลาบนเตียง
เมื่อไรเธอจะสุขสบาย ได้ชอปปิงเป็นคุณนายเสียทีก็ไม่รู้ คิดแล้วพานหงุดหงิดใจที่อะไร ๆ ไม่เป็นอย่างที่ใจต้องการ
แล้วใจก็ลอยไปถึงบุรินทร์
ย้ำกับตัวเองว่าบุรินทร์ต้องชอบเธออย่างแน่นอน
นึกถึงสายตาของเขาที่ใช้มองก็นึกอยากจะรุกใส่ อยากบอกเขาไปว่าชอบ แต่สองจิตสองใจไม่กล้าพูด เพราะบุรินทร์จริงจังกับงานมากเหลือเกิน แล้วหากตนมองพลาดไป เขาไม่ได้ชอบอย่างที่ตนชอบเขา ก็จะกระอักกระอ่วนใจหรือเปล่า
แต่ถ้าเธอไม่บอกความในใจให้เขารู้ เกิดเขาไปเจอใครที่ชอบพอจริงจัง ก็ชวดน่ะสิ ตอนนี้เองที่ภาพของสาริศาโผล่เข้ามาในหัว
ยิ้มเหยียดพร้อมกับนึกขัน สรสิชอยากให้เธอช่วยวางแผนให้ลูกสาวของตัวเองได้พบเจอกับบุรินทร์บ่อย ๆ สร้างสถานการณ์ให้ได้พบปะ พูดคุย ทำความรู้จักกันมากขึ้น เพื่อที่บางทีบุรินทร์อาจจะสนใจสาริศาบ้าง
ก็เห็นว่าคงจะยากหน่อย
คนอย่างบุรินทร์ไม่มีทางชอบเด็กกะโปโลอย่างนั้นหรอก สวยแต่รูป จูบไม่หอม งานการก็ไม่เป็นเลยสักอย่าง ไม่มีทางผูกใจบุรินทร์ได้อย่างแน่นอน คิดแล้วสะใจ ลุกไปหยิบชุดเครื่องประดับที่บุรินทร์ซื้อให้มาลูบไล้เบา ๆ ด้วยอาการทะนุถนอม หลับตาลงพร้อมกับภาพของบุรินทร์ ยิ้มฝันหวานอยู่อย่างนั้น
เช้าวันใหม่ ขวัญสุดาเช็กความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกเงา ก่อนจะยกมือขึ้นแตะแก้ม วันนี้เธอแต่งหน้าบางไปหรือเปล่านะ ช่างเถอะ แต่งบาง ๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน คิดได้อย่างนั้นแล้วก็ค่อยคว้ากระเป๋า เปิดประตู เตรียมไปทำงาน
แต่แล้วก็ร้องตกใจเสียงหลง เมื่อถูกคนที่ขวางอยู่หน้าประตูดันกลับเข้าห้องแบบเดิม พอตั้งสติได้ก็พบว่าเป็นสรสิช หนุ่มใหญ่ตาแดงก่ำทีเดียว เสื้อผ้ายับย่น เนื้อตัวคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่ ไม่รู้ผ่านด่านข้างล่างขึ้นมาได้อย่างไร บ้าจริง ๆ เลย
สรสิชถามด้วยเสียงฉุนเฉียว “นี่คุณทำอะไรของคุณ”
“ทำอะไรคะ”
“เที่ยวเรียกคนขึ้นมาไล่ผมแบบเมื่อคืนนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่” สรสิชถามขยายความต่อด้วยท่าทีคุกคามหาเรื่อง ขวัญสุดาเห็นแล้วก็ปั้นหน้าเหลอหลา ถามกลับอย่างงุนงง
“นี่คุณเองหรือคะที่ทุบห้องเมื่อคืน แล้วทำไมไม่เข้ามาเล่า ทุกทีคุณก็ใช้
คีย์การ์ดเปิดเข้ามาเองนี่คะ โธ่เอ๊ย ฉันก็นึกว่าพวกโรคจิต”
“คีย์การ์ดผมใช้ไม่ได้” สรสิชบอกเสียงอ่อนลง “แล้วพวกโรคจิตอะไรของคุณ”
ขวัญสุดายกมือขึ้นลูบหน้าอกตัวเองด้วยท่าทางปลอบขวัญ นึกดีใจที่วันนี้แต่งหน้าอ่อนกว่าทุกวัน แสร้งปั้นกิริยาให้ดูหวาดกลัว
“มีคนตามฉันมาจากที่ทำงานน่ะสิคะ ตามได้สัก...” เลขาของบุรินทร์ทำท่านึกคำนวณอยู่ในใจ “สองอาทิตย์แล้วค่ะ ทั้งส่งข้อความหา ทั้งโทร.มาหาตอนดึก ๆ ไม่รู้ว่าเอาเบอร์มาจากไหน ทีแรกก็คิดว่าเป็นคุณ เอ๊ะ! หรือว่าคุณกันแน่คะที่โทร.มากวนทุกคืน รับสายก็ไม่ยอมพูด”
“ผมจะทำแบบนั้นทำไม”
“ไม่รู้สิ ฉันนึกว่าคุณอยากลองอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ อย่างเช่นแกล้งให้กลัวอะไรแบบนั้น ไม่ใช่คุณแน่นะ” ขวัญสุดาแสร้งถามย้ำอีกครั้ง ให้ดูเหมือนว่าตนถูกคุกคามอยู่จริง
สรสิชมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ลังเลสองใจอยู่เหมือนกัน เสียงอ่อนลงอีกเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังฟังดูแข็ง ๆ อยู่บ้าง “ไม่ใช่ผม”
“ฉันกลัวนะเนี่ย”
สรสิชมองใบหน้าของหญิงงามที่ดูซีดเซียวกว่าทุกวันก็ใจอ่อนลง ถามด้วยเสียงเกือบเป็นปกติ “ผมโทร.หาคุณ แต่ก็โทร.ไม่ติด”
“ฉันกลัวค่ะ ก็เลยปิดเครื่อง นี่ว่าจะไปแจ้งความด้วยนะคะ หลอนไปหมดแล้วเนี่ย”
“เดี๋ยวผมช่วยดูให้ว่าใครกันมันทำกับคุณแบบนั้น”
แสร้งยิ้มอย่างคนใกล้ประสาทแล้วจริง ๆ ส่งให้สรสิช “ไม่ต้องหรอกค่ะ”
สรสิชค่อยโล่งใจ เดินเข้าไปหาขวัญสุดา ถามเสียงเว้าวอนว่า “ผมนึกว่าคุณจะหักหลังผมเสียอีก”
“หักหลังอะไรกันคะ” ขวัญสุดาแกล้งทำหน้างุนงงได้อย่างแนบเนียนนัก ทั้งที่หัวใจกระหน่ำเต้นระรัวอีกครั้ง กลัวจะหลุดผิดสังเกตให้อีกฝ่ายจับได้ ยิ้มอ่อนบอกอย่างภักดีไปว่า “ฉันไม่มีทางทำแบบนั้นหรอกค่ะ สบายใจได้เลย”
ใจอ่อนยวบลงอีกที่ได้ยินเสียงหวานเอ่ยอย่างออดอ้อนกลับมา กระนั้นพิษแห่งความหึงหวงก็ยังไม่คลายลงง่าย ๆ ถามประชดถึงบุรินทร์ “ผมเห็นคุณหวานกันดีกับหมอกนี่ เลยคิดว่าคงต้องการคว้าเอาไว้เอง แล้วหักหลังผม”
“เปล่านะคะ” บอกปัดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันกับบอสเป็นแค่เจ้านายลูกน้องเท่านั้นค่ะ หวานเหวินอะไรกัน ไม่มีทั้งนั้นแหละ”
“ผมว่าไอ้ที่เคยบอกว่ากลัวหมอกจะจับได้ คงไม่ใช่แล้วละมั้ง” สรสิชเอ่ยทวนถึงครั้งนั้นที่ขวัญสุดาเอ่ยปากจะถอนตัวไม่ช่วยเขาอีกต่อไป แล้วมองกราดทั่วร่างงามระหงอย่างต้องการ “คุณกลัวว่าถ้าดันยายซินให้หมอก แล้วตัวเองจะชวดเหยื่อที่จ้องมาตั้งนานแล้วต่างหาก”
ได้ยินคำวิเคราะห์ที่ตรงเผงเช่นนั้น ขวัญสุดาคอแข็งขึ้นทันที เถียงไม่ออก ใบหน้าที่ปั้นแต่งเมื่อครู่ฉายแววไม่พอใจเมื่อถูกจี้ใจดำ
“ให้จบธุระที่ผมต้องการก่อน คุณจะไปเอามันต่อจากนั้นผมไม่ว่า แต่ถ้าเกิดตุกติก ผิดคำพูด ไม่ช่วยผมอย่างที่เราตกลงกันไว้ ระวังจะได้เป็นดาราดาวเด่นบนพอร์นฮับ ถึงตอนนั้นอย่าหาว่าผมใจร้ายกับคุณก็แล้วกัน”
สรสิชบอกจบ ตรงเข้าหา พร้อมกับถลกกระโปรงอีกฝ่ายขึ้นจนพ้นสะโพก ตรึงร่างงามกับผนัง รั้งขาเปิดทางแล้วตักตวงอย่างเอาแต่ใจ
“ครั้งหน้าอย่าให้ผมอารมณ์เสียเพราะเข้าห้องคุณไม่ได้อีก” ว่าจบ เดินไปรื้อค้นคีย์การ์ดในกระเป๋า ก่อนจากไปในเวลาต่อมา
ขวัญสุดากัดริมฝีปากตัวเองแน่นอย่างแค้นเคือง ทำไมเรื่องระยำพวกนี้ถึงต้องมาเกิดขึ้นกับเธอด้วย เข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกายอย่างหนักมือด้วยอารมณ์รุนแรง ค่อยแต่งกายชุดใหม่ ออกจากห้องของตนได้ในตอนที่เวลาจวนเจียนเฉียดคำว่าสายเต็มที
“คุณอุ๋ม”
ขวัญสุดาได้ยินแล้ว แต่ก็ทำแกล้งว่ายังเหม่อลอยอยู่ จนเสียงเรียกดังขึ้นอีกระดับ “คุณอุ๋มครับ”
ก็ค่อยทำท่าสะดุ้งเล็กน้อย หันไปยิ้มบาง ๆ ให้เขา “คะ บอส”
มองสำรวจเลขาสาวแล้วค่อยเอ่ยถามด้วยความใส่ใจว่า “ไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ” ยิ้ม แล้วแสดงท่าทีให้ดูกระฉับกระเฉงมากขึ้น หยิบแฟ้มตรงหน้าพร้อมลุกยืน ยื่นส่งให้บุรินทร์ “รายงานอยู่นี่ค่ะ อุ๋มกำลังจะเอาเข้าไปให้บอสอยู่พอดีเลย”
“ไม่สบายก็ลาเลยนะ ผมบอกคุณหลายครั้งแล้วนี่”
“ไม่เป็นไรสักหน่อย เอะอะก็จะให้อุ๋มลาเรื่อยเลย”
“เกิดล้มป่วยหนักขึ้นมาจะทำยังไง”
“ดีออกค่ะ จะได้ไม่มีใครตามเร่งงานบอสไงคะ”
บุรินทร์หัวเราะเบา ๆ ตอบกลับไปว่า “แบบนั้นดีที่ไหน”
สาริศามองชายหญิงคู่นั้นแล้วอดเบ้ปากไม่ได้ วันนี้เธอมาทำงานก่อนขวัญสุดาเสียอีก แล้วก็อยู่รอว่าจะให้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมจากเมื่อวานบ้าง แต่ไม่มีอะไรเลย ให้มานั่งมองฉากหยอกล้อของเจ้านายลูกน้องอยู่นั่น เอียนจะแย่อยู่แล้ว
“เที่ยงนี้กินข้าวด้วยกันนะคะ” วงเดือนลากเก้าอี้เข้ามาทำเสียงค่อย มุบ ๆ มิบ ๆ คุยกับเธอ สาริศาเลิกคิ้วถาม เพราะทุกทีเธอจะลงไปกินข้าวคนเดียว บุรินทร์ชวนไปด้วยทุกที แต่ก็อึดอัดจนต้องร้องปฏิเสธทุกครั้ง
“มีอะไรพิเศษหรือคะ”
สาริศาถามเพราะที่บริษัทของเธอไม่มีประเพณีแบบนี้ เลี้ยงก็แบบเป็นทางการไปเลย อย่างเช่นงานเลี้ยงประจำปี แต่ที่นี่ดูเหมือนจะเลี้ยงพนักงานแทบทุกวัน
วงเดือนยิ้ม แล้วว่า “บอสเลี้ยงแบบนี้อยู่เรื่อยแหละค่ะน้องซิน รอบนี้เป็นคิวของพี่โทร.สั่งอาหาร พี่เลยจัดหนัก สั่งลาบ น้ำตก ส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่างชุดใหญ่เอาไว้ น้องซินกินเผ็ดได้ไหมคะ”
แค่ได้ยินก็อยากกินแล้ว สาริศาร้องว่า “ซำบายมากค่ะพี่เดือน”
วงเดือนยิ้มอีกครั้ง มองอย่างเอ็นดู “กินปลาร้าไหมคะ”
“โอ๊ย ถามไผนี่” แกล้งย้อนด้วยสำเนียงที่มั่นใจว่าเหมือนสุด ๆ เคยได้ยินมาจากโยษิตาเวลาคุยหยอกล้อกับลูกน้องในร้าน วงเดือนเห็นแล้วก็นึกชอบใจใหญ่
“งั้นรอชิมค่ะ อย่าหนีไปกินข้าวคนเดียวอีกล่ะ”
น้ำลายสอทันที อ้าปากจะคุยต่อ แต่ถูกขวัญสุดาที่แยกจากเจ้านาย ถามขัดเสียก่อน “ได้สั่งเผื่อพี่กับบอสหรือเปล่าเดือน”
“สั่งแล้วค่ะ ของพี่อุ๋ม เดือนสั่งส้มตำไทยไม่ใส่ปู ไม่หวานมาก ไม่ใส่ถั่วคั่วค้างคืน ไม่ใส่ผงชูรสให้แล้วค่ะ ของบอสเดือนสั่งข้าวผัดไข่มาให้แล้วนะคะ”
ได้คำตอบจากผู้ช่วยแล้ว ขวัญสุดาพยักหน้าไม่คุยอะไรอีก ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป
คงมีแต่เธอที่มองว่าเมื่อไรจะถึงเวลาพัก อยากดูสิว่าอาหารที่วงเดือนคุยโวเอาไว้จะอร่อยขนาดไหน ก่อนเวลาพักสิบนาที แม่บ้านช่วยกันหิ้วถุงอาหารขึ้นมาไว้ในห้องพักด้านใน แกะออกใส่จานชามรอจนเรียบร้อย
สาริศาเลยเข้าไปทำทีเตร่ยืนมองอยู่ เห็นว่าวงเดือนพร้อมพักรับประทานมื้อเที่ยงแล้วเช่นกัน เลยพยักหน้างึก ๆ ชวนให้นั่งลงที่โต๊ะ
“พี่เดือนเปิดสิคะ ซินจะได้ตาม”
“รอบอสก่อนค่ะน้องซิน” วงเดือนว่ายิ้ม ๆ บุรินทร์ที่เพิ่งกลับมาจากชั้นล่าง เดินเลยมาดู เห็นว่าคนมาดูงานเอาแต่จ้องอาหารนิ่งก็ว่า
“กินกันเลย ไม่ต้องรอผม”
สาริศาพร้อมจะรอทุกคน ยกเว้นบุรินทร์ ตอบรับทันที “งั้นซินกินเลยนะคะ”
เธอตักส้มตำปูปลาร้ากินก่อนคำแรก เคี้ยวไปจนเกือบหมดปาก ก็ค่อยร้องซี้ดออกมา “แซ่บหลาย ร้านไหนคะพี่เดือน”
“ร้านตรงหัวมุมซอยข้างตึกเรานี่เองค่ะน้องซิน”
วงเดือนบอกจบ เดินไปหยิบจานมาวางให้นายและขวัญสุดา พอเห็นสายตาของบุรินทร์ทำนองว่าให้กินเถอะ ก็ค่อยนั่ง แล้วตักกินด้วยท่าทีกระมิดกระเมี้ยน
สาริศาเห็นว่าบุรินทร์อยู่ในนั้นด้วยก็เอ่ยชวนอย่างไม่มีเคอะเขินว่า “ตำปูปลาร้าของเขารสชาติจัดจ้านจริง ๆ เลยค่ะ ต้องลองนะคะ” แล้วทำท่าจะตักใส่จานให้บุรินทร์
วงเดือนร้องห้ามเสียงหลงทันที “ว้าย ๆ ไม่ต้องค่ะ บอสไม่กินของหมักของดอง ของไม่สุกทุกชนิดค่ะน้องซิน”
มองเขาแล้วก็อมยิ้มเล็กน้อย พึมพำว่า “พลาดของดีแล้วนะเนี่ย”
บุรินทร์นั่งลงที่ตำแหน่งของเขา พอดีกับที่ขวัญสุดาตามเข้ามาทีหลัง วงเดือนรีบลุกขึ้นแล้วกล่าวชวน “พี่อุ๋มกินข้าวค่ะ”
ขวัญสุดาตามเข้ามานั่งข้าง ๆ บุรินทร์ พร้อมกับเลื่อนจานอาหารให้เจ้านายหนุ่มกินก่อน ค่อยมองหาอาหารที่เป็นส่วนของตนเอง เลือกตักเฉพาะส้มตำไทยจานนั้น โดยไม่แตะอย่างอื่นเลย
“มีขนมต้มด้วยนะคะน้องซิน” วงเดือนเอื้อมหยิบมาวางข้าง ๆ เธอ “ป้าแกคงแถมให้ กินได้ไหมคะ”
สาริศาอิ่มจากของคาว กำลังนึกอยากของหวานอยู่พอดี รีบตอบรับ “ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ”
กำลังจะเอาเข้าปาก เห็นว่าขวัญสุดามองมาที่ตนเอง ก็ชะงักหน่อยหนึ่ง เลื่อนจานขนมให้ทางนั้น
“พี่อุ๋มเอาไหมคะ”
“พี่ไม่กินแป้งกับน้ำตาลพร่ำเพรื่อค่ะน้องซิน”
สาริศาพยักหน้าเบา ๆ จิ้มขนมต้มเข้าปาก เคี้ยวแล้วค่อยเบี่ยงหน้าไปมองทางนอกตึกอย่างเอือม ๆ เจ้านายหนุ่ม ลูกน้องสาวสวยคู่นี้กินอาหารได้เหมือนกันดีแท้ ช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน
บุรินทร์รวบช้อนเมื่อกินอิ่ม แล้วลุกขึ้นแยกตัวออกไปก่อน ขวัญสุดาเลยพลอยอิ่มตามไปด้วย ขยับลุกตามหลังเจ้านายไปติด ๆ จนในห้องเหลือกันแค่สองคน เธอกับวงเดือน
“ขยันจริง ๆ เลย น่ายกหุ้นครึ่งหนึ่งให้คุณเลขานะคะ”
วงเดือนหยุดกิน หันหน้ามาถามอย่างแปลกใจ “ได้ด้วยหรือคะน้องซิน”
สาริศายิ้ม ไม่ตอบรับอะไร วกกลับไปตักส้มตำปูปลาร้าเข้าปากเคี้ยว พร้อมกับอมยิ้มน้อย ๆ ความหมายของเธอที่บอกให้ยกหุ้นให้คุณเลขาคนสวย ก็คือให้บุรินทร์ขอขวัญสุดาแต่งงานไปเสียเลย เธอคิดว่าตนเองมองไม่พลาดหรอก ท่าทางพวกเขาดูเหมือนกับกำลังตกหลุมรักกันอยู่นี่นา
หากสองคนนั้นลงเอยกัน ประโยชน์ก็จะได้ตกกับทุกคน โดยเฉพาะกับตัวของเธอเอง