“กิ้ม” คุณยายผกามาศร้องเรียกคนของท่าน กระนั้นสายตาก็ยังคงจับที่เธอนิ่งอยู่
“ขาคุณยาย”
“ไปทำกับข้าวเพิ่มอีกสัก... สี่ห้าอย่างสิไป”
“ค่ะคุณยาย”
สั่งคนแล้ว คุณยายผกามาศค่อยละสายตาจากเธอไปบอกหลานชายของตนเอง “พากันไปนั่งรับลมตรงริมน้ำก่อนสิลูก เดี๋ยวให้หนูนายกผลไม้ไปให้กินรองท้องกันก่อน”
“ครับ” บุรินทร์รับคำแล้วชวนให้ตามลงไปด้านล่างอีกรอบ
สาริศาพอรู้มารยาทอยู่บ้าง ตามลงไปโดยยังไม่พูด ไม่โวยวาย ตั้งใจว่าคล้อยหลังคุณยายของบุรินทร์แล้วก็จะถามเขา แต่แล้วกลับถูกคำชวนของเขาขัดขึ้นเสียก่อน
“ผลไม้ เก็บกินได้เลยนะ คุณยายท่านไม่ว่าหรอก”
ขวัญสุดากล่าวเสริมอีกคน “ไม่ได้ฉีดยาด้วยนะคะ ผลไม้ของที่นี่”
สาริศามองไปยังผลไม้ตรงหน้า แล้วยื่นมือออกไปเด็ด ยกขึ้นสำรวจจนรอบผล ค่อยกัดคำหนึ่ง ร้องถามเมื่อกลืนคำแรกลงคอแล้ว “กลับตอนไหนหรือคะ นี่ก็เย็นมากแล้วด้วย”
ขวัญสุดายิ้มแล้วหันไปมองทางเจ้านายของตนเอง “คงกลับวันมะรืนนี้แล้วละค่ะ”
“อ้าว” สาริศาเลิกสนใจผลไม้ที่กำลังกิน ตั้งท่าโวยวายเต็มขั้น “ก็ไหนบอกว่าแวะเดี๋ยวเดียว คนที่นี่เขาเดี๋ยวกันยังไงคะ เดี๋ยวกันข้ามวันข้ามคืนเลยหรือไง”
บุรินทร์มองใบหน้าน่ารักที่ปากอ้าเถียงไฟแลบออกมา ไม่ตอบว่าอะไร พร้อมกับที่มีสายเรียกเข้าดังขึ้น จึงแยกตัวไปอีกทางเพื่อรับสายสนทนาสายนั้น
“พี่ลืมไปเลยว่าบอสต้องแวะมาหาคุณยาย แล้วก็คงพักที่บ้านของคุณยายก่อนถึงกลับ เถอะค่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว น้องซินอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้นี่คะ ถือซะว่ามาพักร้อน”
เธอไม่อยากพักร้อนที่นี่ สาริศาค้านอยู่ในใจ กระนั้นสีหน้าแววตาก็บ่งชัดว่ากำลังคิดต่อต้านอยู่
ขวัญสุดาเลิกสนใจเธอแล้วหันไปมองบนบ้าน “พี่ว่าจะขึ้นไปช่วยคุณยายที่ในครัวสักหน่อย น้องซินไปด้วยกันไหมคะ”
“ไปเถอะค่ะ ซินขอเดินเล่นแถวนี้ดีกว่า ไม่ถนัดงานบ้านงานเรือนเท่าไร”
เลขาคนสวยของบุรินทร์ยิ้มส่งให้อย่างนั้นเอง ดูแล้วไร้ความหมายสิ้นดี สาริศาจึงเดินสำรวจศาลาริมน้ำก่อนรอบหนึ่ง ค่อยเดินดูผลไม้รอบ ๆ นั้น มีทั้งกล้วยเล็บมือนางที่สุกคาเครือไปกว่าครึ่ง บางลูกมีรอยแทะและก็เน่าแล้วด้วย ไม่ไกลจากนั้นมีต้นมะกรูดและต้นมะม่วงที่ลูกใหญ่มาก มากเสียจนกิ่งของมันโน้มต่ำเกือบถึงพื้น น่ากลัวจะหักอยู่รอมร่อ
มองไปรอบสวนของคุณยายด้วยความสนใจมากยิ่งขึ้น ที่นี่ปลูกผลไม้ไว้หลากหลายพันธุ์เลยทีเดียว ไม่เหมือนสวนผลไม้ในโรงงานที่บุรินทร์พาไปก่อนหน้า ที่นั่นดูเป็นระเบียบจนไม่มีอะไรดึงดูดใจเธอ ไม่เหมือนสวนนี้เลยสักนิด
แค่ต้นมะม่วงตรงหน้านี่ก็ดึงความสนใจของเธอจนขาดกระจุยไปแล้ว ลูกดกเต็มต้นเชียว เห็นแล้วอดไม่ได้ ต้องเดินเข้าไปมองใกล้ ๆ ยื่นมือจับผลของมันที่ใหญ่กว่าปกติเกือบเท่าตัว พันธุ์อะไร ทำไมลูกใหญ่นัก
“น้ำดอกไม้มัน เดี๋ยวขากลับเก็บไปกินด้วยสิ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ กินแค่ที่นี่ก็พอ” บอกปัดอย่างเฉยเมยแล้วค่อยปล่อยมือจากผลไม้เหล่านั้น มองไปรอบ ๆ จนมาหยุดที่เขา เห็นว่ากำลังมองหาใครอยู่ เลยนึกได้ว่าขวัญสุดาขึ้นบ้านไปช่วยงานในครัว ต้องรีบบอก เขาจะได้ตามคุณเลขาไป “พี่อุ๋มขึ้นไปช่วยคุณยายทำอาหารแล้วนะคะ”
บุรินทร์หันมาสบตาเธอ “แล้วทำไม”
“อ้าว ซินก็นึกว่ามองหาพี่อุ๋ม”
เห็นเขายิ้มมุมปากแล้วถามเธอกลับมาว่า “ไม่ขึ้นไปช่วยคุณยายบ้างหรือไงเราน่ะ”
“ไม่ละค่ะ ซินไม่ถนัด” เอาเข้าจริง ๆ เธอชอบทำงานบ้านออกจะตายไป เวลาหยุดอยู่บ้านเธอช่วยงานพเยาเสมอ จนบิดาบ่นทำนองเหน็บทุกทีที่เห็น ว่าจะไล่คนงานออกให้หมดแล้วให้เธอทำแทน
แต่ตอนนี้สาริศาไม่มีอารมณ์อยากทำอะไรทั้งสิ้น กำลังหงุดหงิดที่ไม่ได้กลับบ้านอย่างที่ตั้งใจ ต้องมาติดแหงกที่นี่อีกตั้งสองวัน แถมยังลืมสายชาร์จโทรศัพท์ไว้ในรถอีกต่างหาก
แว่วเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากเขา สาริศาทำเมินไม่อยากสนใจ ทำท่าจะเดินเลยไปทางศาลา ไม่อยากคุยอะไรด้วยอีกแล้ว
“ตรงนี้เป็นคลองเก่า น้ำลึกหน่อย จะลงก็ระวังด้วย”
เสียงเตือนดังมาจากบุรินทร์อีกรอบ แต่เธอทำเป็นหูทวนลม พึมพำไปว่า “ว่ายน้ำเป็นอยู่หรอก”
“พี่ว่ายไม่เป็น”
ได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยตามหลังมาแบบนั้น สาริศาหันขวับไปมองเขาคล้ายไม่เชื่อ ไม่ทันพูดอะไร บุรินทร์เอ่ยขึ้นอีกประโยค เธอว่าตัวเองมองทันนะว่าเขาอมยิ้มตอนที่พูดน่ะ
“นี่ถ้าอยู่รอช่าง คงได้กลับบ้านไปแล้ว”
จะพูดขึ้นมาทำไมอีก อุตส่าห์ทำใจลืม ๆ ไปแล้วเชียว
“แถวนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านด้วย ไปไหนมาไหนทีก็ลำบาก”
ไม่ต้องดักกันขนาดนี้หรอก เธอไม่ใช่เด็กอมมือ และก่อนที่เขาจะพูดอะไรข่มขวัญเธอมากไปกว่าที่ทำอยู่ หูพลันได้ยินเสียงคนเดินมาทางนี้พอดี เป็นเด็กหนุ่มคนที่ตะโกนโหวกเหวกดีใจตอนบุรินทร์มาถึงนั่นเอง
“ว่าไงปอ” บุรินทร์ถามไปทางเด็กหนุ่มคนนั้น
“คุณยายให้มาตามคุณหมอกกับคุณคนสวยขึ้นบ้านครับ ท่านว่าตะวันจะตกดินแล้ว แมงเอย มดเอย ยุงเอยจะกัดคุณคนสวยเสียก่อนน่ะครับ”
บุรินทร์ยิ้มมองหลานป้ากิ้มอย่างนึกขัน นี่ถ่ายทอดทุกคำของคุณยายมาเลยนะนี่
“ฝนก็ทำท่าจะตกใหญ่แล้วด้วยครับ”
บุรินทร์แหงนมองกลุ่มเมฆสีเทาค่อนไปทางดำที่เคลื่อนคลุมอาณาบริเวณนี้มาแล้ว ผายมือให้เดินนำหน้าไปก่อน สาริศากลับไปยังทางเดิมด้วยอาการหงุดหงิดเล็ก ๆ รู้แล้วว่าตนเองต้องค้างคืนอยู่ที่นี่ กลับพร้อมพวกเขาจนได้
ขึ้นบ้านมาแล้ว เห็นคนพากันทยอยยกอาหารตั้งโต๊ะ มีเด็กหญิงสาวเรียกอยู่ที่ด้านหลัง “พี่คนสวยขา”
“ว่าไงคะ” สาริศาร้องตอบพร้อมกับหมุนตัวไปมอง
“คุณยายให้เอาน้ำมะม่วงมาให้ดื่มรอก่อนค่ะ”
รับมาจิบก็ร้องอย่างถูกใจ “ขอบคุณนะ อร่อยจัง”
“ชอบไหมลูก” เสียงถามของคุณยายดังตามหลังมา
หันไปยิ้มให้ท่าน ถามกลับสั้น ๆ แค่ว่า “คะ?”
“บ้านสวนของยายสวยหรือเปล่า หนูชอบบรรยากาศที่นี่ไหม”
“ร่มรื่นมากเลยค่ะ ซินชอบ”
“ถ้าว่างก็แวะมาได้เลยนะ ยายยินดีต้อนรับเสมอ”
“ธุระเขาเยอะออกครับ สาวเก่งแห่งปี นักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง”
ปกติเวลาเพื่อนของเธอพูดแหย่แบบนี้ สาริศาก็ไม่ค่อยจะชอบอยู่แล้ว ยิ่งเป็นบุรินทร์ที่ไม่ได้รู้จักแบบสนิทกันเลย เอามาพูดเลยยิ่งฉุนหนักกว่าเก่า
แต่พยายามสงบปากสงบคำเอาไว้ ไม่โต้ตอบอะไร รู้สึกว่าบุรินทร์จะพูดมากกว่าปกติ ตั้งแต่เหยียบเข้ามาที่บ้านสวนแห่งนี้ ท่าทางเขาดูผ่อนคลายลงมาก ไม่เหมือนบุรินทร์คนที่เคยรู้จักเลยสักนิด
บางทีอาจเพราะอยู่ในถิ่นของตนเองเลยทำให้สบายใจ ไม่ต้องฝืนทำท่าเก๊กขรึม อาจเป็นแบบนั้นก็ได้
“เรียบร้อยก็ทยอยยกมาเลยกิ้ม”
คุณยายหันไปสั่งคนของท่าน พอดีกับที่ขวัญสุดายกถาดอาหารออกมา หน้าตามันเยิ้ม เหงื่อหยดย้อยเลยทีเดียว บุรินทร์เห็นก็ส่งยิ้มเลยไปให้ทางเลขาคนงามของเขา
คนเป็นยายมองหลานชายตนเองแล้วค่อยหันมาชวนเธอ “มาลูกมา นั่งเลย”
สาริศาเข้าไปขยับเก้าอี้ แล้วเข้าไปประคองคุณยายลงนั่งก่อน ส่วนตนเองเลือกตำแหน่งใกล้กับท่าน นั่งตามภายหลัง ไม่ทันได้เห็นแววตาพึงพอใจของคุณยายผกามาศ เพราะมัวแต่ช่วยหยิบจับ จัดตำแหน่งจานอาหารบนโต๊ะอยู่ แว่วเสียงถามจากท่านว่า
“กินเผ็ดได้ไหมลูก”
เธอหันไปยิ้มให้ท่าน บอกว่า “สบายมากค่ะ”
โต๊ะไม้ทรงกลมตัวใหญ่หกที่นั่ง แต่มีเพียงสี่คนเท่านั้นนั่งล้อมวง ทุกคนนั่งลงพร้อมหน้าแล้วก็เริ่มรับประทานอาหารกัน สาริศาตักอาหารตรงหน้ากินได้คำเดียวก็สูดปาก วางช้อนลงแล้วยกมือปิดปาก ค่อย ๆ เคี้ยวจนหมดแล้วกลืนลงคอไป
“ยายบอกแล้วว่าเผ็ด” คุณยายผกามาศมองอย่างเอ็นดู เอื้อมมือตักหมูตรงหน้าใส่จานให้ “เอานี่ลูก หมูทอดสูตรของคุณยายบ้านสวน กินแก้เผ็ดหน่อย”
สาริศาพึมพำว่า ‘ขอบคุณค่ะ’ ตักเข้าปาก เคี้ยวไปยิ้มไป ก่อนจะตาโต บอกตอนกลืนลงคอไปแล้วว่า “อร่อยมากเลยค่ะ”
ได้ยินว่าอร่อย คุณยายผกามาศตักใส่จานให้เธออีก
“กินของที่บ้านทำ ซินก็ว่าอร่อยมากแล้วนะคะ แต่ของคุณยายเนี่ย...” สาริศาเงียบไป ตักเข้าปากเคี้ยวอีกคำจนหมด ยิ้มแก้มปริจนแทบมองไม่เห็นตาดำ บอกเสียงใสว่า “…อร่อยกว่าอีกค่ะ”
บุรินทร์เอื้อมมือตักผัดผักใส่จานให้ยายของเขาบ้าง ค่อยตักให้ตัวเอง วางช้อนลงในจานแล้วก็ว่า “ลูกสาวอาสิช อยู่เป็นไหมล่ะครับ”
ขวัญสุดาที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ หลุดหัวเราะพรืดออกมา แล้วกระแอมกลบเกลื่อนอาการของตนเอง ตักอาหารกินต่อ แต่คุณยายผกามาศไม่ได้มองอย่างหลาน ท่านยังคงใช้สายตาเอ็นดูมองมาที่เธอ ชอบใจเสียอีกที่เห็นเธอตักกับข้าวของท่านใส่จานจนหนาพูนสูงขนาดนั้น
อยู่เป็นอย่างนั้นหรือ
สาริศาเคี้ยวข้าวจนหมดแล้ววางช้อนลง บอกอย่างเคือง ๆ ว่า “ซินไม่ได้พูดประจบคุณยายนะคะ”
“ยังไม่มีใครบอกว่าประจบเลย ร้อนตัวอะไร” เสียงขรึมของบุรินทร์แย้งกลับแทบทันที และเธอจะไม่หงุดหงิดเลยหากว่าเขาไม่ยิ้มมุมปากตอนที่พูด
มันเหมือนกับ... เหมือนกับว่าเขาเยาะเธออยู่
“แต่ซินไม่ได้...” อ้าปากจะเถียง ก็ถูกสกัดเสียก่อน
“ไม่ได้อะไร ใครฟังเขาก็คิดแบบพี่ทั้งนั้นแหละ ใช่ไหมคุณอุ๋ม”
เห็นหันไปสบตากับเลขาคู่ใจ ขวัญสุดาไม่ได้เอ่ยอะไรตอบกลับมา เจ้าหล่อนหลุบตาลงมองที่กับข้าวตรงหน้าพร้อมความคิดหนึ่งแวบผ่านเข้ามาในหัว
“พอได้แล้วตาหมอก”
คุณยายผกามาศกล่าวห้ามด้วยรอยยิ้มเอ็นดูกว่าเดิม เอ็ดหลานชายคนเดียวของท่าน ที่วันนี้ดูจะคุยเยอะเป็นพิเศษ
สาริศามองคนที่ค่อนตนเมื่อครู่ด้วยสายตาเจ็บใจ ไม่พอใจ
และคนที่หลบซ่อนสายตาไม่พอใจเอาไว้อย่างมิดชิดอีกคนก็เห็นจะเป็น
ขวัญสุดา
เลขาสาวไม่เคยเห็นเจ้านายของตัวเองเป็นแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง ปกติบุรินทร์จะสุภาพมาก เขาไม่ใช่คนประเภทที่ชอบพูดจาแหย่ ยั่ว หรือหยอกเย้าใครต่อใครไปทั่ว แต่นี่เขากำลังกล่าวล้อเล่นอยู่กับสาริศา ที่สำคัญไปกว่านั้น สายตาที่บุรินทร์ใช้มองบุตรสาวของสรสิชก็ดูวาววับจนน่าตกใจ และมันทำให้ขวัญสุดาตาร้อนผ่าว อกจะระเบิดให้ได้ด้วยความริษยา
กินข้าวจนเรียบร้อย พากันย้ายเข้าด้านใน เมื่อฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง หนักบ้าง สลับเบาเป็นบางช่วง
“มะม่วงแช่อิ่มอร่อยมากเลยค่ะ ซินอยากกินอีก แต่ท้องจะแตกอยู่แล้ว”
สาริศาบอกอ้อน ๆ ตอนที่นั่งอยู่กับคุณยายผกามาศ ท่านเลื่อนจานผลไม้ที่ปอกพร้อมรับประทานอีกจานเข้ามาใกล้ ๆ เธอ บอกอย่างใจดีว่า
“วันกลับ ก็เอาไปด้วยสิลูก”
“ขอบคุณนะคะ” สาริศาตอบรับอย่างที่รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ “คุณยายใจดีจังเลยค่ะ”
ขณะนั่งคุยกันอยู่นั้นเอง ไฟในบ้านก็ดับพรึ่บลง ได้ยินเสียงคุณยายเรียกให้เด็ก ๆ จุดตะเกียง หาเทียนมาไว้รอจุดตามมุมต่าง ๆ ภายในบ้าน เรียบร้อยแล้วก็ค่อยหันมาแตะหลังมือเธอเบา ๆ “กลัวไหมลูก บ้านในสวนในป่า ไฟดับแบบนี้ทุกทีเวลาฝนตกหนัก ๆ”
“คนอยู่เยอะ ซินไม่กลัวหรอกค่ะ”
“แสดงว่ากลัว” เสียงกล่าวลอยมากับความมืดและเสียงฝนตก ไม่เห็นสีหน้าเขา แต่พอจะเดาออกว่าเยาะเธออีกแล้ว ไม่โต้ตอบหรอก ต่อหน้าคุณยายผกามาศ เธออยากเป็นเด็กตัวน้อยที่ไร้ซึ่งพิษสง
แล้วถึงได้ยินท่านสั่งไปทางหนูนา “พาพี่เขาเข้าห้องเถอะไป”
“ค่ะ” เด็กสาวรับคำเสียงใส คว้าตะเกียงได้ก็ยกขึ้นส่องหน้าตัวเอง “ไปกันเถอะค่ะ”
สาริศาหัวเราะเบา ๆ กลบอาการตกใจ แล้วหันหลังกลับเข้าห้องที่คุณยายให้คนของท่านจัดเตรียมไว้ให้ เข้านอนพร้อมเสียงฝนที่ตกลงมาทั้งคืนจนหลับไปในเวลาต่อมา
เช้าตรู่ที่หญิงสาวลืมตาตื่นเพราะเสียงไก่ขัน ปกติสาริศาไม่ตื่นเช้าขนาดนี้ แต่เมื่อคืนเธอหลับลึกมากก็เลยตื่นก่อนจะได้เห็นแสงอาทิตย์โผล่พ้นจากขอบฟ้าเสียอีก ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ป่านนี้คนอื่น ๆ คงจะยังไม่ตื่นกัน เข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันแล้วจึงเดินออกมาด้านนอก พบว่ามีคนขวักไขว่ไปมาที่บนบ้านแล้ว พวกเขาตื่นก่อนเธออีกหรือ สาริศากลายเป็นคนที่ตื่นสายสุดในบ้านไปโดยปริยาย
“ตักบาตรไหมลูก” เสียงถามด้วยความเอ็นดูแบบเดิมดังมาจากกลางบ้าน
สาริศายิ้มก่อนตอบรับไปว่า “ค่ะ”
เช้านี้เธอไม่เห็นบุรินทร์ แล้วก็ไม่อยากถามถึงเขาด้วย
ส่วนขวัญสุดาเห็นอยู่เตรียมของใส่บาตรที่ในครัว
พร้อมแล้วค่อยพากันลงบ้านไปที่ศาลาท่าน้ำ สาริศาเดินเข้าไปนั่งข้างคุณยายผกามาศ รอตักบาตรพร้อมกัน ไม่นานเรือของพระภิกษุก็พายเข้ามาเทียบที่ท่า
วิถีชีวิตของบ้านสวนทำให้สาริศาผ่อนคลายลงมาก หลังตักบาตร หญิงสาวนั่งกินข้าวเช้าด้วยกันกับคนอื่น ๆ ส่วนบุรินทร์เขาหายไปไหนกับเลขาไม่รู้ เธอไม่ได้สนใจ แล้วเลยออกไปนั่งเล่นกับคุณยายที่ศาลาท่าน้ำหลังอิ่มจากมื้อเช้าแล้ว
“คลองนี้มีประวัตินะรู้ไหม” เสียงคุณยายชวนคุย สาริศาก็ถามไปว่าประวัติเป็นมาอย่างไร ท่านเลยเล่าเนิบ ๆ ให้ฟัง
นอนฟัง นอนเล่นไปมา ผสานกับสายลมโชยมาเรื่อย ๆ ก็ทำให้สาริศาตาปรือจนหลับไปแบบไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นอีกครั้งไม่เห็นใครเลยสักคนที่ตรงนั้น เลยพาตัวเองลุกขึ้นนั่ง มองไปที่ท่าน้ำก็ค่อยขยับไปหย่อนขาเล่นตรงบันไดของศาลา พอขาเปียกได้ครึ่ง ให้ความรู้สึกว่าสดชื่นเย็นสบายดี เลยขยับตัวลงไปอีกจนเปียกถึงโคนขา สุดท้ายก็ค่อย ๆ หย่อนตัวลงน้ำจนเปียกไปทั้งตัว
น้ำในคลองไม่ใสมากแบบน้ำฝน แต่สะอาดทีเดียว มีพืชน้ำลอยมาเป็นระยะ ที่สำคัญเย็นฉ่ำ สาริศาพาตัวเองว่ายไปมา นอนหงายเป็นท่าปลาดาว แล้วก็ค่อยเปลี่ยนท่าเมื่อเห็นแวบ ๆ ว่ามีคนอยู่ในบริเวณนี้ด้วย
“ไม่ต้องรีบไปธุระแล้วหรือ” นึกว่าใคร ที่แท้ก็หลานชายของคุณยายนี่เอง ไม่ตอบ ทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วว่ายออกไปให้ห่างจากเขา “สงสัยเป็นข้ออ้าง” เสียงคุยเรียบเรื่อยดังมาอีก เลยว่ายไปขึ้นตรงอื่นที่ไม่มีเขายืนขวางอยู่ ทำท่าจะขึ้นแต่ก็ขึ้นไม่ได้ เห็นเขาเดินมาหยุดตรงที่เธอจะขึ้น ก็ค่อยนึกอะไรได้ ยื่นมือชูพร้อมกับบอกด้วยเสียงให้ดูน่าสงสารเล็กน้อย
“ช่วยดึงซินหน่อยค่ะ ตรงนี้ลื่นมากเลย ซินขึ้นไม่ไหว”
บุรินทร์พาตัวเองย้ายไปนั่งยองตรงบันได ยื่นมือออกไปจับ จังหวะที่สัมผัสมือกันแล้วนั่นเอง สาริศาออกแรงดึงสุดชีวิต จนอีกฝ่ายถลาไถลตกลงน้ำในที่สุด
สาริศาหัวเราะลั่นคุ้ง ยกมือปาดน้ำบนหน้าออก บอกปนขำว่า “ไม่เชื่อหรอกว่าว่ายน้ำไม่เป็น” แล้วพาตัวเองกลับไปที่บันได ขึ้นมาได้ก็มองหาเขา แต่ไม่มีบุรินทร์ลอยคออยู่เลยที่ในคลอง ใจคอชักไม่ดี หรือเขาว่ายน้ำไม่เป็นจริง ๆ
“ไม่เล่นแบบนี้นะ พี่หมอก!” สาริศาตะโกนเรียก พาตัวลงมานั่งตรงบันได พร้อมกับมองหาเขาไปพลาง “ไอ้พี่หมอกบ้า ว่ายน้ำไม่เป็นจริง ๆ หรือเนี่ย” สาริศาตะโกนลั่นศาลาริมน้ำทันที “ช่วยด้วยค่ะ!” แล้วกระโดดลงน้ำไป ตะโกนสุดเสียงว่า “พี่หมอก ไม่เล่นแบบนี้นะ” แล้วดำลงไปหา แต่ไม่พบ เธอดำผุดดำว่าย ผลุบโผล่อยู่แบบนั้นด้วยหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกลัวว่ามันจะวายแล้วหยุดเต้นไปเสียก่อน ก่อนที่ลมหายใจจะสะดุดไป เมื่อรู้สึกถึงไออุ่นจากด้านหลัง
“รู้จักพี่แค่ไหน ถึงคิดจะมาล้อเล่นด้วยแบบนี้”
เสียงกระซิบที่ข้างแก้มทำเอาเธอขนลุกเกรียว ไม่รู้ว่าตกใจกลัวหรือเพราะความใกล้ชิดที่มากเกินไปกันแน่