ตอนที่ 3
“ไม่แล้วละค่ะ หนูคิดว่าจะมาหางานทำอยู่ที่นี่” แม้ต้องเหนื่อยใจบ้างในบางเรื่อง แต่อย่างน้อยก็ได้อยู่กับครอบครัว…ใกล้คนที่รัก...แม้ว่าเขาจะไม่เคยรักก็ตาม
หญิงสาวยกมือขึ้นเสยผมยุ่งๆ ที่บางส่วนตกลงมาปรกหน้า ดวงตาฉายแววเศร้าหมองเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย เคยถามตัวเองเหมือนกัน ทนอยู่กับความรู้สึกเกลียดชังอย่างนี้มาตั้งแต่เป็นเด็กได้ยังไง มีโอกาสไปแล้ว ทำไมถึงไม่ไปให้พ้นๆ จากความเจ็บปวดนี้เสียที
น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้า...จะปวดร้าวเพียงใด แต่ยังไงก็ครอบครัวเดียวกัน ทิ้งกันไม่ได้ ถึงจะร้ายใส่กันยังไง...แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นเหยียบให้จมอยู่ใต้โคลนตม แต่คนนอก...ปากบอกว่าหวังดีแต่กลับคอยถือมีดทิ่มแทงตลอดเวลา เพลี่ยงพล้ำเมื่อไหร่ ก็หมายถึงต้องตกอยู่ในหุบเหวลึก ทนรับความทุกข์ตลอดไป ทนๆ อยู่ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่เท่านั้น
“ให้มันจริงเถอะ แต่...ถ้าเป็นอย่างนั้น เงินที่แกให้ฉันใช้แต่ละเดือนก็ไม่ได้น่ะสิ”
“ยังได้เหมือนเดิมค่ะ แต่ลดน้อยไปนิดหน่อย เพราะหนูจะเป็นคนรับผิดชอบหาซื้อของจำเป็นอื่นๆ เข้าบ้านเอง” หญิงสาวดักคอไปก่อน ด้วยทุกครั้งที่ต้องไปจับจ่ายข้าวของ ไม่ว่าจะเป็นอาหารประจำวันหรือแม้กระทั่งของใช้ส่วนตัวมารดาจะโทรมาบ่นแล้วบ่นอีก เรื่องเงินที่ได้รับไม่พอใช้จ่ายในแต่ละเดือน เพื่อจะขอเพิ่ม
“แม่มีอะไรอีกหรือเปล่าคะ ถ้าเกี่ยวกับเรื่องนั้น เอาไว้ให้หนูถึงบ้านก่อนแล้วค่อยคุยกัน” ให้แม่พูดมาในตอนนี้...หญิงสาวกลอกตาไปมา ไม่ใช่แค่เธอที่จะไม่ได้นอน แต่จะรวมไปถึงผู้โดยสารที่นั่งชิด ซึ่งแสดงออกถึงความรำคาญที่มีเสียงคล้ายแมลงหวี่ดังใกล้หูแล้ว
“ฉันรู้หรอกย่ะ แค่จะเตือนแกเท่านั้นเอง เดินทางคนเดียวระมัดระวังตัวไว้บ้าง”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะแม่” จะไม่ให้เธอเอ่ยถามอย่างนี้ได้อย่างไรกัน ในเมื่อน้ำเสียงของมารดาบ่งบอกถึงความวิตกกังวลอย่างชัดเจน
“ไปสร้างเรื่องอะไรไว้อีกแล้วใช่ไหมคะ” ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้แล้วว่าหมายถึงใคร หญิงสาวถึงกับส่ายไปมาอย่างระอาใจ ถึงขนาดเร่งรุดให้เธอรีบกลับบ้านโดยเร็วไว เรื่องที่เกิดคงมิใช่เรื่องเล็กๆ แล้วละ หวังว่าจะไม่ร้ายจนเกินรับมือแก้ไขได้หรอกนะ
“ไม่มีอะไรสักหน่อย แกก็คิดมากไปได้ ฉันแค่เป็นห่วงแกนั่นแหละ เป็นผู้หญิงยิงเรือ เดินทางกลับบ้านคนเดียวดึกๆ ดื่นๆ มันอันตราย แค่...อยากให้ดูแลตัวเองดีๆ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ถึงรู้จักกันก็อาจจะย้อนกลับมาทำร้ายได้”
แม้กระแสเสียงที่เอ่ยมาจะแข็งกระด้างไปหน่อย แต่ก็เจือความห่วงใย ทำให้คนได้ฟังถึงกับอุ่นวาบไปทั้งใจ จนมีรอยยิ้มแต้มบนใบหน้า พร้อมปวารณาตัวว่าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เต็มความสามารถเพื่อให้มีอนาคตอันใส
วันนี้...อดีตที่ผ่านมา เขาไม่รัก ก็ใช่ว่าจะไม่รักตลอดไป ต้องมีวันหนึ่งที่ก้อนน้ำแข็งหลอมละลาย กลายเป็นความอบอุ่นเติมใจที่ขาดพร่องให้เต็ม แต่...ยังมีบางอย่างให้ฉุกใจ
น้ำคำที่แทรกมาบ่งบอกถึงความหนักใจ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในหัวถึงได้ฉุกคิดถึงเรื่องร้าย หรือจะเป็นเพราะทุกครั้งที่เกิดเรื่องราวภายในบ้าน มารดามักจะพูดกับเธอเช่นนี้เสมอละมั้ง กลีบปากอิ่มมีรอยยิ้มเล็กๆ คล้ายหยามหยันตัวเอง
“คราวนี้ไปก่อเรื่องอะไรมาอีกล่ะคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างระอา
เมื่อไหร่ที่เอ่ยถามถึงลูกรัก มารดาจะคุยอย่างที่เรียกว่าน้ำลายแตกฟอง ลืมภารกิจที่จะต้องทำเป็นประจำเสมอ หากคราวนี้กลับเป็นอะไรที่แปลก แม่เงียบ ไม่หลุดเสียงใดๆ ออกมาเลย
คิ้วโก่งได้รูปขมวดมุ่นเข้าหากัน ดูท่าเรื่องในครั้งนี้คงจะร้ายแรงมิใช่น้อย คนช่างพูดถึงได้ไม่หลุดอะไรออกมา
“แม่คะ มีอะไร ทำไมถึงไม่บอกกันล่ะคะ”
“เปล่า ไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ แกจะซักให้มันได้อะไรขึ้นมายะ จะได้หาคำพูดไว้บ่นว่าน้องมันหรือไง”
“เปล่าค่ะ แค่คิดว่าถ้าหากเรื่องมันร้ายแรงอย่างที่แม่หวั่นวิตก การที่หนูได้รู้ล่วงหน้า อย่างน้อยจะได้คิดหาทางรับมือเอาไว้ก่อน ดีกว่าไม่ใช่หรือคะ”
“เออ...แล้วไป ฉันก็นึกว่าแกจะเตรียมคำพูดไว้ด่าน้องมัน แค่นี้มันก็ขวัญหนีดีฝ่อจะตายอยู่แล้ว ขืนโดนแกด่าอีก ได้ประสาทกลับกันละ”
“ว่าแต่เรื่องอะไรคะแม่”
“จะมีอะไรได้ล่ะ ก็ไอ้พวกเด็กเหลือขอ ศัตรูเก่าน้องแกนั่นแหละ ตามมาหาเรื่อง ข่มขู่ราวีเอาๆ อะไรนักหนาของมันก็ไม่รู้ ไอ้เด็กเวรพวกนี้”
คงไม่ใช่แค่ที่แม่พูดมาอย่างเดียวละมั้ง น่าจะมีเหตุอื่นร่วมผสมโรงด้วย จนเธออยากจะซัดไอ้ตัวขยันก่อเรื่องให้รู้จักมีความคิดขึ้นมาบ้าง ทำให้ตัวเองเดือดร้อนถูกตามล่าคนเดียวไม่พอ คนอื่นๆ ในครอบครัวก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย อยากรู้จริงๆ คราวนี้ไปสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้อีก แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยสิ่งใด มารดาก็ชิงวางสายไปเสียก่อน คนจะถามเลยได้แต่ผ่อนลมหายใจออกจากปอดอย่างเหนื่อยหน่ายและเซ็งจับจิต
หญิงสาวยื่นมือไปคว้าผ้าห่มที่ร่วงหล่นไปกองอยู่ปลายเท้าขึ้นมาห่ม พร้อมเอนกายนอนราบไปกับเก้าอี้โดยสารที่เอนปรับให้นอนสบายๆ ขณะทอดมองสายฝนที่โปรยปรายลงมา เห็นหยดน้ำเกาะกระจก อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นไปลากเป็นรูปหนึ่งซึ่งคะนึงหาอยู่มิคลาย
มีหญิงร่างป้อมมือหนึ่งจับจูงเด็กหญิงร่างผอมโย่ง อีกมือจับจูงเด็กชายใบหน้าละม้ายคล้ายกันเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ จนถึงบ้านอันแสนจะอบอุ่น
หวังว่าวันหนึ่งภาพนี้จะเป็นจริง แต่...คงเป็นได้แค่ความคิดเพ้อฝัน เธอทำได้เพียงแค่ยืนมอง หญิงร่างผอมโย่งจูงมือเด็กน้อยก้าวเดินไปข้างหน้า…สองคน
ถ้าตั้งจิตมั่น ไม่นานสิ่งที่คิดเอาไว้จะเป็นจริง เธอจึงเพียงสร้างภาพแห่งฝันให้แจ่มชัดในความรู้สึกเสมอ ที่จะต้องเป็นจริงภายในไม่นาน
แม้จะอ่อนเพลีย แต่ก่อนหลับตาลง เธอก็ยิ้มอย่างเป็นสุข ก่อนจะต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้ง อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ชวนระทึกขวัญสั่นประสาท!
อือ...อือ...
เสียงครางดังจากร่างเล็กที่นอนขดตัวงอและกระสับกระส่ายอยู่บนฟูกไม้ไผ่ ข้อเท้าข้างหนึ่งบวมเป่งและเริ่มมีสีม่วงคล้ำไม่ต่างจากร่างกายส่วนอื่นๆ อีกหลายแห่ง ในขณะที่เท้าอีกข้างก็ถูกจองจำด้วยโซ่ตรวนเหล็กหนักๆ สำทับด้วยสายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่ยอมหยุดสาดกระเซ็นมาถูกร่าง ทำให้ยิ่งหนาวเหน็บจนฟันกระทบกันกึกๆ สองแขนโอบรัดรอบกายก็ยังไม่คลายความหนาวที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูผิว
“หาให้เจอ...คงอยู่ไม่ไกลจากนี้ อย่าให้หนีรอดไปได้นะ!”
แม้จะยังไร้สติอยู่ หากในโสตประสาทกลับมีเสียงกระด้างดุดังก้องอยู่ บวกกับกระแสลมแรงที่พัดมาเป็นระลอก ทำให้คนตัวเล็กหนาวจนสะดุ้งเฮือกเป็นระยะ ถึงอยากฝืนถ่างตาเอาไว้ แต่เมื่อต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดจนเหนื่อยล้า บวกกับการโหมงานอย่างหนักจนไม่ได้พักผ่อน ร่างกายจึงประท้วงจนไม่อาจฝืนความนิทราที่มาเยือนพร้อมกับฝันร้ายได้
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย!” คิดว่าร้องสุดเสียงแล้ว แต่เสียงที่ออกจากปากกลับเบาหวิว
ถึงสองข้างทางจะมีหนามแหลมขวางกั้น จะโดนกิ่งไม้ขีดข่วน แข้งขาล้าจนแทบจะยกไม่ขึ้น ก็ยังต้องวิ่งไปอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหนีให้พ้น แต่หันไปข้างหลังคราวใดก็ยังได้เห็น...
เสือลายพาดกลอนตัวใหญ่กระโจนมา ดักซ้ายตะปบขวา...บ้างก็ดักหน้าพร้อมเสียงขู่ จนต้องเหลียวหลังกลับ แต่ไอ้เจ้าตัวร้ายก็ไวทายาด มายืนจังก้าดักอยู่ข้างหน้า แยกเขี้ยวโง้งข่มขู่...คุกคาม ทำเอาคนที่กลัวจนตัวสั่นอยู่แล้วรู้สึกว่าแข้งขามันสั่นและแข็งเสียจนรู้สึกเหมือนถูกพื้นดินเปียกแฉะดูดให้จมลงไปอย่างช้าๆ