ตอนที่ 2

1506 คำ
ตอนที่ 2 “ความจริงพี่ชอบข้อเสนอนี้นะ ไม่ต้องฟังนกแก้วนกขุนทองบ่นงึมงำทั้งวัน สบายใจดีอยู่นะ ว่าไหมภัทร” ผู้เป็นนายหันไปพยักพเยิดกับหนุ่มลูกน้องที่ดูจะเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “อีกอย่าง ไอ้เจ้านั่นมีดีอะไรให้พี่ต้องสนใจด้วยล่ะ” นิสากรผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ยังไม่ไว้ใจพี่ชายกับอติภัทรอยู่ดี “ถ้าไม่ใช่ พี่ช้างกับพี่ภัทรจะไปไหน ไปทำอะไรล่ะคะ” หญิงสาวเอ่ยถามพร้อมจับพิรุธผู้เป็นพี่ชายที่มีสีหน้าออกจะเย็นชา แต่นัยน์ตากลับโชนแสง ลักษณะอย่างนี้ที่เคยประสบพบมาก็คือ มีคนทำให้โกรธจนทนอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ เธอเห็นแล้วยังฉุกใจเลย แล้วมาบอกว่าไม่มีอะไร เชื่อได้เหรอ “ถ้าพี่ช้างไม่ยอมให้นิไปเจอกับนัย ก็อย่าหวังว่าพี่สองคนจะได้ออกจากบ้านหลังนี้” สิงขรมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ พลางผ่อนลมหายใจออกจากปอด “แทนที่จะมาดักห้ามพี่อย่างนี้ พี่ว่าเราควรไปจัดการกับไอ้ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงราวกับไม้กวาด เนื้อตัวที่แดงเป็นตุ่มๆ ให้เรียบร้อยก่อนดีกว่าไหม ปล่อยไว้นานอาจเป็นแผลผุพอง หนองเยิ้ม หมดสวยไปเลยได้นะ” สิงขรขู่เสียงเข้มพร้อมทำท่าทางขยะแขยงให้น้องสาวต้องรีบคิด “ถ้าอยากออกจากบ้าน ก็ไม่เห็นจะยากเลยนะนิ บอกความจริงเรื่องเงินในบัญชีเราที่หายไปนั่นมา ทีนี้เราจะไปไหนก็ได้ พี่จะไม่ห้ามและไม่คิดเอาขาไปมัดกับตัวยุ่งอย่างเราไว้ให้ปวดหัวด้วย” นิสากรหน้าหงิกงอง้ำ “บอกความจริงไปแล้วนี่คะ นิลงหุ้นลงทุนค้าขายกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่มีทุน นิเลยลงไปให้ก่อน เดี๋ยวเขาได้กำไรแล้วจะเอามาคืน” หญิงสาวบอกเสียงอ่อยๆ เสก้มลงมองเท้าตัวเอง เพื่อหลบสายตาเข้มที่มองมาราวกับจะทะลุไปถึงรอยหยักและความคิดที่อยู่ในสมอง ด้วยอาการร้อนๆ หนาวๆ กลัวถูกพี่ชายจับได้ว่าพูดโกหก “เพื่อนที่ไหน ชื่ออะไร พี่รู้จักหรือเปล่า มีหลักฐานการการร่วมหุ้นไหม เราลงทุนเงินไปเท่าไหร่ เขาลงทุนไปเท่าไหร่ แล้วค้าขายอะไร” เจอพี่ชายถามอย่างนี้นิสากรก็เริ่มไปไม่ถูก ยิ่งเจอกับสายตาเข้มที่มองราวกับได้ยินความคิดที่ดังเหมือนเข็มนาฬิกาบอกไปว่า...ไม่จริง! เธอให้กับคนหนึ่งไป ก็ยิ่งหวาดหวั่นแกมกังวลใจ กลีบปากอิ่มขบเม้มเข้าหากัน ถ้าอยู่ในบ้านยังพอหาตัวช่วยได้ แต่อยู่ตรงนี้...อติภัทรก็เป็นพวกพี่ชายที่จะสั่งให้ไปทางไหนก็ได้ทั้งนั้น เธอเลยเหมือนถูกรุม “เพื่อนชื่อ...ชื่อสาว ถึงบอกไปพี่ช้างก็ไม่รู้จักหรอก หลักฐานนั่นก็ไม่มีด้วย คนกำลังเดือดร้อน ถูกเขาตามทวงหนี้อยู่ นิไม่ใช่คนใจดำอย่างพี่ช้างนี่ ที่เห็นคนจะตายต่อหน้าก็ไม่คิดช่วย” นิสากรรีบพูดจนลิ้นพันกัน ด้วยเหตุผลข้างๆ คูๆ “พี่ไม่คิดสั้นเหมือนเราหรอกนะ เห็นเขาน่าสงสารก็ช่วยเหลือ โดยไม่คิดถึงหลักความจริง เอ็นดูเขาเอ็นเราขาด และที่พูดมาพี่ไม่เชื่อเลย ต่อให้เราใจดีแค่ไหน แต่ไอ้การไปลงทุนกับเพื่อน ให้เงินเขาไปทีละครึ่งแสนง่ายๆ โดยไม่มีสัญญาเป็นหลักฐานอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่พี่รู้จัก เราก็ต้อง...โกหก! ดึงเอายายหมูยายแมวที่ไหนไม่รู้มาอ้าง พี่พยายามใจเย็นกับเราที่สุดแล้วนะนิ ถ้าไม่อยากถูกพี่ตีจนก้นบวมนั่งไม่ได้ รีบกลับเข้าห้องไปจัดการกับตัวเองซะ ก่อนพี่จะทนเราไม่ไหว” “พี่ภัทร!” นิสากรแผดเสียงดังราวกับนกหวีดอยู่ในคอ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจ พี่ชายมาทำหน้าบึ้งดุใส่ด้วยสาเหตุอะไร แต่ตอนนี้คิดว่าเดาได้ไม่ผิด เพราะพ่อจอมปากโป้งช่างฟ้องมาอยู่ใกล้ตัวสิงขรนี่เอง หญิงสาวกัดเขี้ยวดังกรอดๆ ดวงตาวาววับเจิดจ้า “เอาเรื่องไม่จริงอะไรของนิไปฟ้องพี่ช้างอีกแล้วใช่ไหม!” “หยุดนะนิ ถ้าเราไม่ได้ทำผิด ก็ไม่ต้องกลัวจะมีใครเอาเรื่องไม่ดีมาบอกพี่หรอกนะ ถ้ายังทำฤทธิ์ สร้างเรื่องให้ปวดหัวให้อีก พี่จะส่งเราไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายกับคนงานในไร่” เจอพี่ชายทำเสียงดุและเด็ดขาดใส่ นิสากรก็หน้าม่อย เม้มกลีบปากสีชมพูสดเข้าหากัน ตวัดค้อนด้วยสายตาเกรี้ยวกราดใส่อติภัทร ก่อนหันมาทำหน้าน้อยใจและน้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าใส่สิงขร “พี่ช้างน่ะ...ทีกับคนนอกละอะไรก็ได้ แต่กับน้องกับนุ่งละใจดำที่สุดเลย คอยดูนะ นิจะฟ้องพ่อกับแม่ว่าพี่ช้างรังแก” พูดจบเธอก็สะบัดคอเชิด ทำเสียงขลุกขลักกลั้วคอและเดินกระแทกเท้าปึงปังกลับไปยังห้องส่วนตัวด้วยใบหน้าบูดบึ้งงอง้ำ “คิดยังไงกับเรื่องนี้บ้างภัทร” เห็นนิสากรหายลับไปจากสายตาสิงขรก็เอ่ยถามลูกน้องคู่ใจในทันที “เรื่องราวจะคลี่คลายก็เมื่อเราได้ตัวไอ้เจ้าหนุ่ม” “นั่นสินะ” ตอนแรกเขาคิดว่าจะไปพบแบบปกติ พูดคุยกันดีๆ ให้ถอยห่างไปจากนิสากร แต่ถ้าเป็นอย่างนี้เห็นทีต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเสียแล้ว นัยน์ตาสีนิลวาววามคล้ายมีสีแดงแต่งแต้ม ที่คนคุ้นเคยอย่างอติภัทรได้แต่หวั่นใจและกลัวแทนชายหนุ่มที่ชื่อ... ธีรนัยน์ ชาวีชงโค! ที่ไม่รู้จะต้องเจอกับอะไรบ้างเสียแล้ว โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นถี่ๆ ปลุกร่างแน่งน้อยที่นอนตะแคงข้าง หลบแสงไฟข้างถนนที่สาดส่องมาเป็นระยะด้วยการแนบใบหน้าไปกับกระเป๋าสะพายใบย่อม ซึ่งขดตัวซุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางบนเบาะที่นั่งบนรถโดยสารประจำทางให้ทอดยาวไปด้านหลัง เพื่อจะได้เอนตัวนอนอย่างสบายที่สุดลืมตาตื่นด้วยความงุนงงระคนอ่อนเพลีย เพราะร่างกายไม่ได้พักผ่อน หัวไม่ถึงหมอนมาเป็นเวลาอาทิตย์หนึ่งแล้ว โทรศัพท์เครื่องเล็กสั่นอีกระลอก ทำให้คนถูกปลุกต้องรีบป่ายปัดมือควานหาว่าซ่อนอยู่ส่วนไหนของกระเป๋ากางเกงด้านซ้าย ที่เพียงเจอก็กดรับโดยที่หนังตายังหรี่ เพื่อหลบแสงไฟสีส้มสดที่ส่องมาจนตาพร่า “แกอยู่ไหนแล้วลูกตาล” เสียงแหลมเล็กที่ดังมาทำให้คนที่กดรับโทรศัพท์โดยไม่ได้มองต้องรีบขยับตัวนั่งให้เรียบร้อยโดยไว “แม่!” “เออ...ใช่ ฉันเอง ฉันบอกให้แกมาตั้งแต่เช้าแล้วไม่ใช่หรือยายลูกตาล มัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหนฮ้า...ทำไมป่านนี้ถึงยังไม่ถึงบ้านฮึ! ยายตัวดี” ปลายสายตวาดใส่มาจนคนรับต้องรีบยกหูโทรศัพท์ออกห่าง พร้อมหรี่หนังตาจากเสียงอันทรงพลังชวนแก้วในหูลั่นเปรี๊ยะๆ ซึ่งช่วยขับไล่อาการง่วงงุนที่เป็นอยู่ให้มลายหายไปจนเกือบจะหมดสิ้น “ใจเย็นๆ ค่ะแม่ หนูยังอยู่บนรถ” หญิงสาวโต้กลับด้วยเสียงเบา ส่วนหนึ่งเพราะเกรงใจผู้โดยสารตัวใหญ่ใกล้ๆ กับอีกส่วนเพราะโหมทำงานหนัก จนร่างกายอ่อนเพลียและน่าจะมีอาการไข้ร่วมด้วย ถึงได้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว “จะให้ฉันใจเย็นได้ยังไง จนป่านนี้น้องแกยังไม่กลับบ้านเลยนะ ส่วนแกก็มัวแต่ตะแล็ดแต๊ดแต๋ป่านนี้ยังมาไม่ถึงบ้าน ไม่รู้หรือไงฉันกลุ้มจะตายอยู่แล้ว” คนถูกโวยวายใส่ได้แต่แอบผ่อนลมหายใจออกจากปอด ด้วยรู้ดีถ้าหากหลุดเสียงพูดออกไปแม้เพียงนิดเดียวเท่านั้น จะหูชาจากเสียงก่นด่าและกระทบกระเทียบแดกดันที่รัวเร็วจนแทบไม่หายใจด้วยซ้ำ “หนูรีบที่สุดแล้วนะแม่” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบเสียงไป อาจเป็นเพราะกำลังหายใจเข้าออกแรงๆ เรียกกำลังวังชาไว้ด่าว่าเธอต่อละมั้ง “ย่ะ เร็วที่สุดของแกน่ะ ฉันรอเกือบจะเป็นชาติหนึ่งแล้ว หวังว่ามาคราวนี้จะอยู่ได้หลายๆ วัน ไม่ใช่จัดการเรื่องทางนี้ไม่ทันเสร็จก็รีบเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าหนีฉันเข้ากรุงเทพฯ เหมือนครั้งก่อนๆ บอกไว้ก่อนเลย คราวนี้ฉันจะตามไปเฉ่งแกถึงที่ทำงาน เอาให้อายทั้งเพื่อนและเจ้านายขี้งกของแกนั่นแหละ” คนที่ถูกเรียกว่าแม่เอ่ยอย่างกระแทกแดกดันเสียงเข้ม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม