ตอนที่ 7
“ไม่แน่นะนาย พวกเราไล่ตามมาติดๆ เกือบได้ตัวแล้วก็หลายหน แต่อยู่ดีๆ ก็หายตัวไปอย่างกับบินได้ อาจจะบินขึ้นไปเกาะบนปลายยอดไม้ก็ได้”
“ไม่ก็...ขุดหลุมฝังตัวเองอยู่ใต้ดินเหมือนกับหนู” หนึ่งในคนไล่ล่าสาดแสงไฟไปทั่วบริเวณเพื่อมองดูว่า พอจะมีที่แห่งใดที่จะสามารถหลบซ่อนกายได้บ้าง
“นั่นสินาย หาดูสักหน่อยก็ไม่เห็นจะเสียเวลาอะไรเลย” ยังมีคนรั้งให้ลองหาดูอีกรอบ
“ถ้าซ่อนบนดิน ถูกเจอตัวก็ยังพอจะหาทางหนีได้ แต่ไอ้ที่คิดว่าหนีขึ้นต้นไม้แล้วจะพ้นนี่...ติดกับดักของตัวเอง กลายเป็นนกให้เขาจับหักปีกชัดๆ ใช่ไหมนาย” อติภัทรถามผู้เป็นนาย
หัวใจคนที่หลบซ่อนตัวอยู่หล่นตุ๊บไปกองปลายเท้า รีบกระชับสองขาเพรียวยาวแนบชิดลำตัวและกระเถิบร่างให้แนบไปกับต้นไม้มากที่สุด ชนิดที่ว่าหากแทรกตัวเข้าไปฝังกึ่งกลางลำต้นได้ก็คงจะทำแล้ว
“ใช่ไหมธีรนัยน์!”
คนที่ถูกเรียกชื่อถึงกับสะดุ้งเฮือก เผลอขยับกายอย่างลนลานแทบพลัดตกจากต้นไม้ในบัดดล จนต้องรีบโอบแขนรัดรอบไว้อย่างเร็วไว คิดว่าใบหน้าที่เย็นเฉียบและขาวซีดอยู่แล้วคงเป็นเหมือนซากศพ เมื่อก้มลงไปแล้วเห็นชายร่างใหญ่ราวกับยักษ์ยืนจังก้า แหงนใบหน้าดุกระด้างและนัยน์ตาแวววาวคล้ายจะเยาะเย้ยมองมา
“ไม่น่าจะต้องวิ่งหนีให้เหนื่อยเลย ฉันไม่ได้คิดทำอะไรแกสักหน่อย แค่ระหว่างเรามีเรื่องบางอย่างต้องเคลียร์กัน...ก็เท่านั้น!” เขาพูดน้ำเสียงราบเรียบเฉื่อยชา หากคนได้ยินกลับรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่เสียดแทรกเข้ามากึ่งกลางใจ
“คุยบ้าอะไรล่ะ ใครจะกล้าคุยด้วย เล่นเอาขอนไม้ดักขวางรถ สั่งจับเอาตัวโดยไม่พูดไม่จาบอกกล่าวกันแบบนี้” ธีรนัยน์ข่มกลั้นความกลัวโต้กลับไปเสียงเบาหวิว พานให้หงุดหงิด เมื่อความเย็นและเหนื่อยอ่อนพาเอาเสียงหายไปจนเกือบหมด
“ฮื่อ” คนตัวใหญ่เบื้องล่างพยักหน้ารับเหมือนจะเข้าใจ ก่อนมุมปากหนาจะกระตุกเล็กน้อยคล้ายมีรอยยิ้ม ที่คนได้เห็นมองเป็นแสยะเสียมากกว่า
“ฉันคงไม่ทำอย่างนี้ ถ้าแกจะเข้ามาคุยดีๆ แต่นี่อะไร ไปทำเรื่องเลวๆ เอาไว้ไม่พอ ยังทำเหมือนหนูตัวเหม็นที่เอะอะก็วิ่งมุดลงรู แต่แอบโผล่หน้ามาลอยยั่วบาทาคนอื่นอยู่ได้” คนที่ยืนอยู่เบื้องล่างโต้กลับด้วยหงุดหงิด เขาคิดว่าตัวเองอารมณ์เย็นมากแล้วนะ หากเมื่อเจอกับไอ้ตัวก่อเหตุจริงๆ ในใจร้อนราวกับมีไฟสุมอยู่
ธีรนัยน์งุนงง อีกฝ่ายพูดเรื่องอะไรอยู่ “ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย อย่ามากล่าวหากันโดยไม่มีหลักฐานนะ” ตะโกนตอบไปเสียงสั่น
“ถ้าแน่ใจในสิ่งที่พูดมา...กล้าลงมาคุยกับฉันเป็นกิจจะลักษณะข้างล่างนี้ไหมล่ะ แกเล่นเอาเปรียบขึ้นไปนั่งสบายบนต้นไม้ ปล่อยให้ฉันกับพรรคพวกต้องแหงนคอคุย มันเมื่อย” ชายหนุ่มชวนสนทนาเสียงราบเรียบ แต่มือกลับส่งสัญญาณให้ลูกน้องหาหนทางพาไอ้ตัวแสบลงมาจากต้นไม้โดยไม่คอหักตายเสียก่อน เขายังไม่ได้กระหน่ำฟาดก้านคอจนยับเลยนี่น่า
“ไม่! เราไม่รู้จักกัน อยู่ดีๆ คุณก็พาคนมาตามไล่ล่าอย่างกับ...ไปทำอะไรผิดร้ายแรง ให้อภัยกันไม่ได้ ลงไปคุยก็ได้เข้าทางคุณน่ะสิ!” หน้าตาเหี้ยมดุ ท่าทางก็ขึงขังขนาดนั้น ลงไปก็มีหวังถูกจับหักคอเอาน่ะสิ!
ชายหนุ่มยกมือขึ้นสอดไขว้ระหว่างอก คิ้วหนาเป็นปื้นเลิกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาคมจ้องคนบนต้นไม้ที่หนาวสั่นยิ่งกว่าลูกนกพลัดตกลงไปในธารน้ำแข็ง
“แล้วคิดว่าหลบอยู่บนนั้นจะพ้นหรือไง” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างระอาใจ เมื่อเห็นความดื้อด้านของไอ้ตัวยุ่งที่เกาะต้นไม้อย่างกับชะนีเกาะแม่ที่ยังจะทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ใส่เขาอีก เห็นแล้วมันอดที่จะโมโหไม่ได้
“จะลงมาดีๆ หรือจะให้ฉันส่งคนขึ้นไปถีบแกลงมา”
“ไม่!” คนบนต้นไม้ปฏิเสธเสียงดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ “คุณเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้คนอื่นทำโน่นทำนี่” ไม่ใช่ไม่อยากลง หากว่าสั่นและหมดแรง จนไม่กล้าทำอะไรแม้แต่ขยับกายต่างหากล่ะ
“ไอ้ห่า!” ชายหนุ่มสบถ ก็รู้หรอกว่าไอ้ตัวแสบนี่หาเรื่องลองดี คิดว่าเขาไม่เอาจริง ถึงได้กล้าทำเรื่องเลวระยำหน้าไม่อาย แถมยังจะเล่นเจ้าล่อเจ้าเถิดให้ตามไล่ล่าจับตัว เพราะเคยลองดีมาหลายครั้งแล้วแต่ก็หนีพ้นตลอด ถึงตอนนี้เมื่อหนีไม่พ้นก็ควรยุติและลงมาเผชิญหน้า เพื่อเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นได้แล้ว แต่ยังจะเสือกหนีขึ้นต้นไม้ให้เขาต้องรำคาญช่วยเหลืออีก จับตัวได้จะเอาหน้าถูกับดินให้เข็ด
“อย่ามาด่านะ ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยสักหน่อย จำคนผิดแล้วยังมาทำนิสัยไม่ดีใส่เขาอีก” คนบนต้นไม้โต้กลับปากสั่น ฟันกระทบกันดังกึกๆ ที่ตอนนี้แสงสว่างมีมากพอให้เห็นเงาทะมึนของคนพูด ความกลัวก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
“ทีทำไม่คิด มาถึงตอนนี้เสือกทำความจำปลาทอง โกหกหน้าซื่อตาใส แกนี่มัน...น่ากระทืบให้จมดินเสียจริง ไอ้เวรตะไล!” คนถูกลูบคมสบถ
“ก็แล้วมันเรื่องบ้าอะไรล่ะ” ธีรนัยน์เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจคำพูดของคนที่เพิ่งเคยจะพบหน้ากันครั้งแรกหากยัดเยียดข้อหาอุกฉกรรจ์ให้ พร้อมกันนั้นก็พยายามคิดหาทางหนีออกไปจากสถานการณ์เลวร้ายให้ได้โดยเร็ว ก่อนจะถูกสายฝนและกระแสลมแรงรวมถึงความกลัวทำให้หนาวจนหมดสติไปเสียก่อน
“ยังจะมีหน้ามาถามอีก แกทำอะไรไว้ ให้ฉันสาธยายทั้งวันทั้งคืนก็ไม่จบ แล้วไม่ต้องเสือกพูดมาก ลงมาได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะให้ลูกน้องขึ้นไปถีบแกลงมา!”
“ฉันไม่ลงไปให้คุณหักคอทิ้งหรอก! แน่จริงก็ขึ้นมาจับเองสิ!” ธีรนัยน์ลอยหน้าลอยตาท้าทาย ก็ไหนว่าคนหนีขึ้นต้นไม้บ้า ถ้าตนเองให้คนปีนขึ้นมาจับตัวก็บ้าเหมือนกันนั่นแหละ กล้าขึ้นมาก็เอาสิ จะแช่งให้ตกลงไปตายเร็วๆ เหมือนกันแหละ
แม้อยู่ห่างไกล ท่ามกลางความมืดมิด หากแต่เหมือนมองเห็นใบหน้าคนถูกท้าทายแดงคล้ำ ดวงตาเข้มเป็นประกายสีเพลิงขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อแกอยากถึงพื้นแบบ...ศพไม่สวย! เดี๋ยวฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้ก็แล้วกัน” คนบนพื้นดินเอ่ยเสียงเยียบเย็นไม่แพ้ใบหน้าที่เหมือนมีรอยยิ้ม แต่ถ้ามองให้ดีกลับไม่ใช่ ด้วยในแววตาคู่นั้นแข็งดุกร้าวไม่มีรอยยิ้มแต้มไว้เลย
“ไหน...ใครไปเอาเชือกที่ท้ายรถ ไอ้ไผ่หรือไอ้แมน”
“ไอ้แมนครับนาย เดี๋ยวก็คงมา” อติภัทรที่แหงนหน้ามองคนบนต้นไม้ด้วยอิดหนาระอาใจเอ่ยบอกผู้เป็นนาย
“ช้าฉิบหาย! ตะโกนบอกมันด้วย ขืนชักช้าอืดอาด เดี๋ยวจะให้กินตีน” คนเป็นนายที่ทนเก็บอาการอารมณ์เสียๆ เอาไว้ไม่ได้สั่งความให้บอกต่อกันเป็นทอดๆ
คำพูดนั้นคงไม่ได้หมายความว่า...
“ไม่นะ!” คนบนต้นไม้ส่ายศีรษะแรงๆ พร้อมโอบรอบต้นไม้ใหญ่และตะปบปลายนิ้วจิกลงไปไว้มั่น ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมทำตามคำสั่งคนใจยักษ์ใจมารเป็นเด็ดขาด! ไม่ลงไปให้ถูกหักคอจิ้มน้ำพริก ก่อนจะทิ้งร่างไว้เป็นเหยื่อแร้งกาแน่นอน! แต่...จะทำยังไงถึงพ้นได้ล่ะ
‘ไหนๆ ไอ้พวกคนใจยักษ์ก็ว่าโง่ที่หนีขึ้นมาบนต้นไม้แล้ว ถ้าจะปีนให้สูงขึ้นไปอีกสักหน่อยก็คงจะพอช่วยยืดเวลาให้เกิดมีความคิดดีๆ ขึ้นมาได้ละมั้ง!’
ปากหนาหยักหยัดยกขึ้นด้วยหยามหยัน พร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ เมื่อเห็นคนตัวเล็กยังคงพยายามหนีด้วยการปีนป่ายไปยังกิ่งไม้ที่สูงกว่าเดิม ที่เห็นแล้วมันขัดลูกหูลูกตาและทำให้เขาสมเพชเวทนาเสียเหลือเกิน