ตอนที่ 6
“สนุกสนานกับการเดินตากฝน ลุยแอ่งโคลนกันเหลือเกิน ไม่รู้สาวๆ ที่ชะเง้อคอรอคอยสามีไปกดกอดคลายหนาวเหน็บจะหงุดหงิดกันขนาดไหน ทำอะไรเฉื่อยชาแบบนี้ระวังโดนบ่นจนหูชา ถูกไล่ออกไปนอนตากไอฝนลมเย็นๆ นอกบ้านคนเดียวนะ” เสียงคนเป็นนายบ่นงึมงำ แม้เหล่าลูกน้องจะหน้าเสียไปบ้าง แต่ก็ยังมีคนใจกล้าโต้กลับด้วยน้ำเสียงครึกครื้น
“บ่นได้บ่นดี บ่นทุกวัน แต่วันไหนไม่บ่น ถือเป็นเรื่องผิดปกติอย่างเป็นอย่างมากเลยนะนาย ถ้าไม่บ่นนี่เตรียมตัวให้ดีเลยนะ เพราะอาจจะโดนอย่างอื่น” ลูกน้องบอกผู้เป็นนายพร้อมเสียงหัวเราะ
“อย่างไม้หน้าสามฟาดจนเลือดอาบหัว” อีกคนเสริม
“ใครว่าล่ะ อย่างดีก็แค่ระบำฟ้อนเล็บเกี่ยวเนื้อหนังเป็นรอยเล็บทั้งสองมือเอง แต่ก็แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ เจอ...คำหวานหยอดอ้อนเข้าหน่อย กอดจูบติดๆ กันหลายๆ ที ขี้คร้านจะรีบชวนเข้าห้องเล่นผีผ้าห่มกันโต้รุ่งมากกว่า” โอ้อวดคนในกลุ่มด้วยเสียงหัวเราะ
“แล้วหมาตัวไหนวะ ที่เมียโกรธทีไร เจอทั้งหมัดทั้งเท้าจนต้องก้มตัวลงอ้อนพร้อมสัญญา ‘โธ่...เมียจ๋า ผัวไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ ไปทำงานจริงๆ จ้ะ คราวหน้าถ้ามีงานด่วนเข้ามา ผัวจะรีบมาบอกเมียจ๋าก่อน เมียจ๋ายกโทษให้ผัวนะจ๊ะ ผัวสัญญาจะไม่ทำอีกแล้วจ้ะ’ ล่ะวะ” หนึ่งในกลุ่มผุดพูดขึ้นมาได้
“ใช่ ถ้ายังไม่รีบหาตัวให้เจอ คราวนี้เห็นทีจะโดนยันด้วยบาทาเบอร์สิบ กลับถึงบ้านเมื่อไหร่จะให้พวกเมียจ๋าๆ เสิร์ฟยำหมัดยำเท้าให้กินเสียให้เข็ด”
“เฮ้ย! พวกเรา รีบหาตัวไอ้เจ้านั่นให้เจอด่วนโว้ย นายเดือดแล้ว!”
มันเหมือนกับเสียงเหล่านั้นดังอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ยิ่งทำให้คนถูกไล่ล่าโดยไม่รู้เรื่องต้องรีบหาทางซ่อนกาย
“บ้าจริง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้” คนที่หลบซ่อนตัวอยู่สบถด้วยความหงุดหงิด เมื่อไม่อาจยื่นมือไปคว้าพุ่มไม้มาปิดบังกายได้ ตอนที่เห็นจากด้านล่าง ต้นกับใบอยู่ใกล้นิดเดียว แต่พอยื่นมือไปไขว่คว้า สุดแขนแล้วก็ยังไม่ถึง ไหนจะเสียงพูดที่ตอนนี้แว่วมาจนได้ยินชัดเจน จนเกิดอาการละล้าละลัง เพราะกลัวถูกจับได้
‘ทำยังไงดีล่ะเรา’ ขบกัดฟันบนกลีบปาก จะไต่กลับลงไปก็สั่นจนกลัวว่าจะพลัดตกไปจนแข้งขาหัก ดีไม่ดี อาจจะถูกจับได้ทั้งที่เท้ายังไม่แตะพื้นเสียด้วยซ้ำ
‘คิดผิดมหันต์เลยเรา ไม่น่าจะหนีขึ้นมาเลย น่าจะหนีทางอื่น ให้ตายสิ ทำไมถึงได้บื้อขนาดนี้เนี่ย’
หากแต่ตอนนี้ตำหนิตัวเองไปก็เท่านั้น สิ่งสำคัญตอนนี้คือจะหาวิธีซ่อนตัวยังไงไม่ให้คนข้างล่างมองขึ้นมาแล้วเห็น!
แง่ไม้ที่อยู่เหนือศีรษะดูแข็งแรงพอ อีกทั้งใบไม้ที่ดกหนาเป็นพุ่มอยู่ใกล้มือเหมาะสำหรับกำบังกายจากสายตาคนพวกนั้นได้ดีเชียวแหละ การเคลื่อนไหวจะต้องรวดเร็วแต่ต้องระวังอย่างสุดๆ แต่เพียงยื่นมือไปเท่านั้น...
“อุ้ย!” นิ่วหน้าพร้อมน้ำที่ไหลลงมากระทบศีรษะ ซ้ำยังถูกเปลือกไม้บาดซ้ำลงบนแผลเก่า ไหนจะฟ้าที่มืดครึ้มที่สว่างด้วยแสงจากสายฟ้าซึ่งฟาดลงมาถี่ๆ ราวกับต้องการให้คนข้างล่างมองขึ้นมาแล้วเห็นว่าซ่อนตัวอยู่ด้านบนนี้อย่างนั้นแหละ
“มันจะอะไรนักหนา จะแกล้งกันไปถึงไหน แค่นี้ยังหวาดผวาขวัญหนีดีฝ่อไม่พอหรือไง จะต้องให้เจอกับเรื่องร้ายๆ เจ็บปวดแค่ไหนถึงจะพอใจสักที” คนหลบซ่อนถามอย่างประชดประชันในโชคชะตาของตัวเองที่...ไม่เคยมีอะไรดีสักอย่าง!
คนที่รัก...ไม่เคยมีเข้ามาให้ชุ่มฉ่ำหัวใจที่แห้งแล้งราวกับทะเลทรายขาดไร้ซึ่งน้ำรินรด
คนที่หวังให้เขารักตอบ...ยังคงเป็นเพียงแค่ความฝัน ความหวังอันเลื่อนลอย
แม้จะบอกว่าไม่สนใจ จะทุกข์หรือสุขก็ผ่านมาได้จนถึงวันนี้ แต่เมื่อคิดถึง มันก็อึดอัดในอก...เจ็บปวดร้าวรานจนสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลไม่ได้
แต่...ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ในตอนนี้ แพขนตากะพริบไล่หยาดหยดน้ำตา แต่กระแสลมก็พัดพาเอาน้ำฝนร่วงหล่นลงมาใส่ แสบจนลืมตาไม่ขึ้น ต้องหยุดอยู่เป็นครู่ใหญ่ถึงตั้งหลักได้ ค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นไปด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด
เพียงมือแตะจุดหมายปลายทางได้แทนที่จะโล่งอก กลับกลายเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด เมื่อจมูกได้กลิ่นเหม็นเอียนๆ ชวนให้วิงเวียนศีรษะจนอยากจะอาเจียน ที่เมื่อแหงนหน้าขึ้นเห็น...ดวงตาถึงกับเบิกกว้างด้วยสะพรึงกลัวเป็นที่สุด!
มดตัวดำวิ่งกรูกันเข้ามาหาพร้อมกัดบนผิวเนื้อนุ่มๆ ที่ไม่อาจจะยกมือปัดไล่ได้ เพราะลมแรงโหมพัดมาจนต้นไม่ไหวเอนเหมือนจะล้มลงบนพื้น
เจ็บ...ตกใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่หลับตาปี๋ เพราะกลัวจะได้เห็นตัวเองหล่นลงไปกองกับพื้น ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็ก้าวเข้ามา...
เสียงของกลุ่มคนร้ายกาจพวกนั้นเหมือนจะมาหยุดอยู่ใกล้ๆ...ใกล้จนเห็นหน้า ได้สบกับดวงตามุ่งร้าย ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจและความสะใจผสมกับโทสะที่คุกรุ่นจากเสียงกระซิบที่ดังข้างๆ หู
“ในที่สุด ฉันก็จับแกได้แล้ว ไอ้ตัวแสบ!”
“มีตั้งหลายคนแต่ทำงานไม่ได้เรื่องเลย ตามจับตัวคนเพียงคนเดียวก็ยังทำไม่ได้” คนพูดเป็นชายหนุ่มร่างบึกบึน ใบหน้าคร้ามแกร่งเครียดขรึม ดวงตาดุเข้มวามวาวตวัดไล่มองลูกน้องแต่ละคนที่ตอนนี้เริ่มจะมีอาการเหนื่อยล้าและหนาวสั่นกันบ้างแล้ว
“ขอโทษครับนาย”
“ฉันไม่อยากได้คำขอโทษ แต่อยากได้ตัวไอ้เจ้านั่น! เร็วๆ ”
“บนดิน เราหาจนทั่วแล้วไม่พบ...หรือจะหนีขึ้นต้นไม้เสียละมั้ง”
แม้จะรู้ว่าคนพูดแค่เปรยๆ ให้บรรยากาศที่ตึงเครียดอยู่คลายลง แต่คนที่ได้ยินถึงสะดุ้งเฮือก รีบบดเบียดกายอย่างกับจะแทรกร่างให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้กันเลยทีเดียว ปากก็พร่ำพูดฝากกับน้ำฝนที่ตอนนี้ซาลงแล้ว
‘รีบๆ ไปเสียทีเถอะ จะมายืนหาพระแสงดาบอะไรตรงนี้ ไปหาที่อื่นเลยนะ’
แต่คนเหล่านั้นก็ยังคงปักหลักคุยกันอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเคลื่อนไปไหน เวลาแม้เสี้ยววินาที แต่สำหรับคนที่ต้องซุกซ่อนกายท่ามกลางสายฝน ความหนาวเย็นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัว มันช่าง...ยาวนานเหลือเกิน นานจนอึดอัด รู้สึกเหมือนมีเกลียวเชือกรัดรอบร่าง เพิ่มความกดดันและหวาดหวั่น บีบคั้นกรายๆ ให้หมดแรงจนพ่ายแพ้ไปเอง
“คนสติไม่ดีน่ะสิ ที่จะหนีขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ตอนฝนตกๆ อย่างนี้” หนึ่งในคนที่ตามไล่ล่าเอ่ยอย่างระอาใจแกมหงุดหงิด
“ทำไมวะ” อีกคนเอ่ยถามเพื่อนเพราะเกิดสงสัยขึ้นมา
“เกิดฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาละ ไม่ก็ลมพัดหนักๆ ต้นไม้หักโค่นจากโคนกลายมาชี้ฟ้า ได้ตายแหงแก๋น่ะสิวะ” คนถูกถามตอบพร้อมเสียงหัวเราะ
“ที่แกพูด...มันก็น่าคิดเหมือนกัน” คนที่สงสัยพยักหน้าหงึกๆ
“กลางค่ำกลางคืน ใครบ้าอุตริไปปีนต้นไม้ให้พลัดตกลงมากลายเป็นไอ้บ้า ขาเป๋แขนหักกันล่ะ ถ้าเป็นกลางวันก็ว่าไปอย่าง” ชายอีกคนที่อยู่ในกลุ่มเอ่ยขึ้น
“ถ้าหมดปัญญาเข้าจริงๆ อะไรๆ ก็คิดได้ทั้งนั้นแหละ จะมุดอยู่ในโพรงใต้ดินเหมือนหนู หรือจะเป็นลิงขึ้นไปห้อยโหนอยู่บนปลายยอดไม้...ก็ได้เหมือนกัน”
สิ้นคำพูดนั้นคนเป็นนายก็แหงนหน้าขึ้นมองบนต้นไม้ที่โอนเอนไหวไปตามแรงลมจนเกือบจะหักโค่น หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดของลูกน้องที่ทำให้เอะใจ หรืออุปทานไปเองหรือเปล่า ถึงได้รู้สึกเหมือนกับถูกเพ่งมอง หูก็คล้ายจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่แว่วแผ่วดังมากับใบไม้ที่พลิ้วไหวไปกับลมก่อตัวคล้ายกับ...คน!
มุมปากหนาหยัดยกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาเข้มดุวามวาวขึ้นมาก่อนจางหายไป “ฝนตกหนักอย่างนี้ คงไม่มีใครปัญญาอ่อนกระเสือกกระสนหนีขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ลื่นๆ หรอก ไปหาที่อื่นกันดีกว่า”