“เอาอย่างนี้ดีไหมครับ ผมกินข้าวเสร็จ ผมจะพาทรายไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆ แล้วให้เปลี่ยนไปหาโดมเลย โดมจะได้ตกใจที่เห็นเมียเปลี่ยนไป”
พูดจบก็ตกใจกับคำพูดตัวเอง ว่าเสนอตัวได้อย่างไร เพราะปกติก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจพราวฟ้า ยังคิดไม่ออกว่า เวลาพาเธอไปเลือกซื้อของ เขาสะดวกใจมากแค่ไหน คงฝืนทนน่าดู แต่เมื่อพูดออกไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบคำพูดตนเอง
“ก็ดีสิ แต่ทรายจะยอมเหรอ มันยิ่งดื้อเงียบอยู่ด้วย” นางดีใจ และมีความเป็นกังวล
“ผมจัดการเองครับ คุณย่าเชื่อมือผมได้เลยครับ ระดับผมแล้วเรื่องแค่นี้สิวๆ” ยุรนันท์พูดอย่างมั่นใจ
“ย่าฝากด้วยนะ เนรมิตทรายให้เป็นนางฟ้าเลยนะ รำคาญรูปลักษณ์คนใช้ของมันเต็มทนแล้ว” นางดีใจที่มีคนช่วย “เดี๋ยวย่าให้เงินไปซื้อของให้ทรายนะ”
“ไม่ต้องครับ ผมจัดการเอง”
“ย่าเกรงใจ เอาเป็นว่า ย่าให้เงินไปก็แล้วกันนะ” นางยืนกรานตามความตั้งใจเดิม
“ครับ แล้วแต่คุณย่าครับ” ยุรนันท์ไม่ขัด บุหงันว่าอย่างไรเขาก็ว่าตามนั้น ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกสักพัก ยุรนันท์ลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้กับห้องครัว
ยุรนันท์ไม่เคยสนใจเข้าครัว แต่พอเดินออกมาจากห้องน้ำ เหมือนมีอะไรดลใจให้เขาหันไปมองห้องนั้น ก่อนที่เท้าจะเดินไปห้องครัวทั้งที่หัวยังไม่ทันคิด ชายหนุ่มยืนกอดอกพิงประตูห้อง มองแม่ครัวจำเป็นจัดล้างผักอยู่ตรงอ่างล้างจาน เมื่อพราวฟ้าหันหลังกลับมาวางกะละมังใส่ผักลงบนโต๊ะเตรียมอาหาร ยุรนันท์ก้าวเดินไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ากับที่เธอยืนอยู่
“ไม่มีคนอื่นช่วยเหรอ” ยุรนันท์ถามเพราะไม่เห็นคนรับใช้ในห้องนี้
“ไม่มีค่ะ เวลาทรายเข้าครัว ทรายมักทำคนเดียว”
เป็นอย่างนี้มาตลอด เวลาพราวฟ้าทำอาหาร จะไม่มีคนรับใช้คอยช่วย แม้แต่สามีสุดที่รักยังไม่เคย ทำให้เธออดนึกถึงตอนทิวาทิพย์ทำอาหาร คนรับใช้รวมถึงปรินทร์จะเข้ามาช่วยเป็นลูกมือ พราวฟ้าน้อยใจและเสียใจ แต่ก็ไม่อาจปริปากระบายให้ใครฟังได้ ที่ไม่มีใครมาช่วยเป็นเพราะอรุณสั่งห้ามคนรับใช้นั่นเอง
“ทำคนเดียวไม่เหนื่อย ไม่ยุ่งเหรอ”
ยุรนันท์พอจะรู้เหตุผล แต่ก็ไม่พูดซ้ำเติมให้อีกฝ่ายเสียใจ
“ไม่ค่ะ แค่ทรายมาทำก่อนเวลาอาหารสักชั่วโมงครึ่ง มันก็ไม่ยุ่ง ไม่ต้องเร่งทำค่ะ”
“ให้พี่ช่วยไหม หาอะไรทำดีกว่านั่งรอกินอย่างเดียว” ยุรนันท์อยากเขกหัวตัวเอง เสนอตัวโดยไม่รู้ตัวเป็นครั้งที่สอง
“ขอบคุณมากค่ะ แต่ทรายกลัวว่าจะมีกลิ่นอาหารติดเสื้อพี่เฮิร์ป”
“จะกลัวอะไรกับอีกแค่กลิ่นติดเสื้อผ้า เสื้อผ้าที่พี่ใส่ไม่ได้ใส่ครั้งเดียวตลอดเดือนซะเมื่อไหร่ กลับถึงบ้านก็ถอดซักแล้ว” เขาไม่คิดว่าเรื่องกลิ่นอาหารเป็นปัญหาใหญ่ “ทรายจะให้พี่ทำอะไรบอกมาเลย พี่ทำได้ ตอนคุณแม่กับคุณยายเข้าครัว พี่ก็เคยเข้าไปช่วย”
“ถ้างั้นพี่เฮิร์ปหั่นผักให้ทรายแล้วกันค่ะ หั่นแบบนี้นะคะ” ผักในกะละมังมีหลายชนิด พราวฟ้าหยิบมาทีละชนิดแล้วหั่นให้เขาดูเป็นตัวอย่าง “พี่เฮิร์ปทำได้ใช่ไหมคะ”
“สบายมาก พี่จะโชว์การหั่นผักให้ทรายดู”
“ก่อนทำ ทรายว่าพี่เฮิร์ปใส่ผ้ากันเปื้อนก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวทรายหยิบให้” พราวฟ้าเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนที่แขวนไว้ใกล้กับตู้เย็น จากนั้นจึงเดินมาหายุรนันท์ “นี่ค่ะผ้ากันเปื้อน”
“ใส่ให้หน่อยสิ” พราวฟ้ายิ้ม ไม่ขัดข้องกับคำร้องขอ เธอก้าวเข้ามาหายุรนันท์อีกหนึ่งเก้า ความที่เขาตัวสูงกว่า เขาจึงก้มศีรษะให้เธอสวมผ้ากันเปื้อนให้ ขณะที่ยุรนันท์ก้มศีรษะ ดวงหน้าพราวฟ้าอยู่ในระยะใกล้ รอยยิ้มเธอสดใสมาก เมื่อเห็นเขารู้สึกราวกับว่า เธอดึงหัวใจออกจากอกอย่างไรอย่างนั้น ยุรนันท์รีบดึงสติกลับมา เป็นจังหวะที่เธอเดินไปทางด้านหลังเขาเพื่อผูกสายผ้ากันเปื้อน
‘เป็นอะไรวะ ทำไมรู้สึกอย่างนี้’ ยุรนันท์ถามตัวเอง แต่ก็หาคำตอบไม่ได้
“เสร็จแล้วค่ะ”
“ขอบใจนะ” ยุรนันท์ยิ้มให้พราวฟ้า “พี่เริ่มหั่นผักดีกว่า เดี๋ยวแม่ครัวจะหาว่าพี่ทำช้า”
พราวฟ้ายิ้ม ก่อนเดินไปล้างปลาหมึกเพื่อทำแกงจืดหมูสับยัดไส้ปลาหมึก ขณะที่เธอยืนทำอาหาร ยุรนันท์ที่นั่งหั่นผักลอบมองแม่ครัวสาวเนืองๆ มองไปยิ้มไปไม่รู้ตัวจนเกือบถูกมีดบาด จนต้องก้มหน้ามองดูผักที่ตนหั่น
สี่สิบห้านาทีที่อยู่ในครัวกับพราวฟ้า ยุรนันท์ทำตัวไม่เกะกะ หั่นผักเสร็จก็นั่งมองพราวฟ้าทำอาหาร ตอนแรกก็คิดว่า เป็นเรื่องน่าเบื่อที่ต้องอยู่ในครัวนานๆ แต่เปล่าเลย เขากลับมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เท้าคางนั่งมองพราวฟ้า มองไปยิ้มไปคนเดียว
อีกหนึ่งเรื่องที่ยุรนันท์เห็นและรู้สึกได้ นั่นคือความสุขบนดวงหน้าแม่ครัวคนสวย พราวฟ้าเหมือนอยู่ในโลกของตัวเอง โลกที่ไม่มีใครมาทำร้าย ไม่มีใครดุด่า ไม่มีใครส่งสายตารังเกียจให้ต้องเจ็บช้ำ เธอจึงทำสิ่งตรงหน้าอย่างมีความสุข คนที่มองพลอยสุขตามไปด้วย ยุรนันท์นึกยังไงมิทราบได้ เขาหยิบมือถือแล้วถ่ายรูปขณะพราวฟ้าทำอาหารไว้หลายภาพ
“ทรายยิ้มหน่อย” ยุรนันท์บอกแม่ครัวสาวสวยที่ฉีกยิ้มตามคำบอก ไม่เพียงแค่ถ่ายรูป เขายังอัดคลิปวิดีโอไว้ด้วย
“ทรายทำกับข้าวเสร็จแล้ว จัดก๋วยเตี๋ยวลุยสวนใส่กล่องให้พี่เฮิร์ปแล้วนะคะ” พราวฟ้าบอกยุรนันท์ “พี่เฮิร์ปเหนื่อยไหมคะ ทรายจะเอาน้ำตะไคร้ใบเตยมาให้ดื่ม จะได้สดชื่น”
“น้ำตะไคร้ใบเตยหรอ” เขาทวนชื่อเครื่องดื่มที่ไม่เคยลิ้มลอง “ลองดูก็ได้”
“รอแปปนะคะ” พราวฟ้าเดินไปที่ตู้เย็น เธอหยิบเหยือกแก้วใบใหญ่ออกมา เตรียมน้ำแข็งใส่แก้วแล้วรินน้ำสีสันสวยลงในแก้วจนเกือบเต็ม จากนั้นก็นำไปให้ยุรนันท์ “พี่เฮิร์ปลองชิมดูค่ะ กลิ่นจากตะไคร้และใบเตย มีความหวานหน่อยๆ ของน้ำเชื่อม ดื่มแล้วสดชื่น แถมยังมีประโยชน์ต่อร่างกายค่ะ”
ยุรนันท์มองเครื่องดื่มในแก้ว ก่อนจับแก้วและยกขึ้นจิบ คล้ายกับชิมรสชาติก่อน
“อืม...อร่อย” เมื่อรู้รสชาติ เขาดื่มเกือบครึ่งแก้ว “หอมด้วย หอมทั้งตะไคร้และใบเตย”
“คุณย่าชอบค่ะ ถ้าใส่มะนาวลงไปด้วยจะอร่อยกว่านี้อีก หวานอมเปรี้ยว ดื่มตอนกินข้าวเจริญอาหารดีด้วยนะคะ” พราวฟ้าพูดต่อ
“งั้นตอนกินข้าว พี่ขอใส่มะนาวนะ อยากชิมดู” ยุรนันท์พูดจบก็กระดกดื่มน้ำไปหมดแก้ว “สงสัยเที่ยงนี้พี่กินข้าวพุงกางแน่ๆ”
พราวฟ้ารู้จักยุรนันท์มาเกือบสามปี ทุกครั้งที่เจอทั้งสองพูดคุยกันไม่กี่ประโยค บางครั้งยุรนันท์ไม่ได้สนใจเธอเลยด้วยซ้ำ ทำราวกับว่าเป็นคนรู้จักที่แปลกหน้าก็ว่าได้ ทว่าวันนี้ทั้งคู่พูดคุยกันมากขึ้น ต่างกับทุกครั้งอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะกับยุรนันท์ ความใกล้ชิดและพูดคุยกับพราวฟ้าไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงมานี้ ทำให้ความคิดและความรู้สึกที่มีต่อเธอเปลี่ยนไป
กับข้าวง่ายๆ เพียงแค่สามอย่าง ข้าวผัดปลาสลิด แกงจืดปลาหมึกยัดไส้หมูสับ และก๋วยเตี๋ยวลุยสวน แต่สำหรับยุรนันท์ คืออาหารที่อร่อยที่สุดในรอบหลายเดือน รสมือของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้อาหารชนิดเดียวกัน เขากินอาหารสามอย่างนี้หลายครั้งหลายหน ทว่าครั้งนี้ลิ้นเขารับรสแล้วต้องยกนิ้วให้
เป็นไปตามคาด พราวฟ้าไม่ยอมไปซื้อเสื้อผ้าตามคำสั่งบุหงัน โดยให้เหตุผลว่า เย็นนี้ปรินทร์จะพาเธอไปซื้อเสื้อผ้าและกระเป๋า จึงไม่จำเป็นต้องไปซื้อก่อนให้สิ้นเปลืองเงิน แล้วยังพูดอีกว่า หากตนไปกับยุรนันท์ ก๋วยเตี๋ยวลุยสวนอาจเสียไม่ถึงมือคุณยายนวลผ่อง เพราะกว่ายุรนันท์จะกลับบ้านก็อีกหลายชั่วโมง ที่สำคัญที่สุด พราวฟ้าเกรงใจยุรนันท์
“แกนี่ข้ออ้างเยอะจริงๆ” บุหงันระอาใจไม่น้อย คนอยากเสียเงินแต่ไม่เคยได้เสียสักที
“พี่ว่ามันไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลืองนะ มันคือน้ำใจที่คุณย่าหยิบยื่นให้ทราย ท่านมีเมตตากับทราย พี่ว่าทรายควรรับไว้ อย่างน้อยๆ ครั้งหนึ่งก็ยังดี คุณย่าจะได้ไม่เซ้าซี้ให้ทรายไปซื้อเสื้อผ้าอีก ท่านจะได้สบายตาสบายใจด้วยที่เห็นทรายใส่ชุดสวยๆ” ยุรนันท์หาเหตุผลมากลบความเกรงใจพราวฟ้า “ส่วนเรื่องก๋วยเตี๋ยวลุยสวยที่ทรายเป็นกังวลว่าจะเสีย ยุคสมัยนี้การขนส่งแบบเร่งด่วนมีไม่ใช่น้อย พี่จ้างไลน์แมนไปส่งที่บ้านก็ได้ หรือไม่ก็ให้ลุงสมขับรถเอาไปให้คุณยายพี่ที่บ้าน เห็นไหมว่ามันไม่เป็นปัญหาสักนิดเดียว ส่วนเรื่องที่ทรายเกรงใจพี่ ข้อนี้ตัดไปได้เลย พี่ไม่ได้ลำบากกับการพาทรายไปซื้อเสื้อผ้า ซื้อเสร็จพี่ก็จะพาทรายไปส่งที่บริษัทโดม เพราะเป็นทางผ่านของพี่พอดี เห็นไหมว่าทุกอย่างลงตัว ทรายก็อย่าปฏิเสธน้ำใจของคุณย่าและพี่เลยนะ”
เจอประโยคนี้เข้าไป พราวฟ้าหาเหตุผลมากล่าวอ้างได้ยาก เธอรู้ดีว่าบุหงันหวังดีกับตน แต่ความเกรงใจและกลัวว่าอรุณจะคิดว่า ตนมากอบโกยเงินทองจากบุหงันและปรินทร์ เธอจึงปฏิเสธเรื่อยมา
“ค่ะ ทรายตามใจคุณย่าค่ะ” บุหงันยิ้มได้ หยิบเงินที่เตรียมไว้ส่งให้ยุรนันท์
“ผมขอตัวกลับเลยนะครับคุณย่า” ยุรนันท์ยกมือไหว้บุหงัน พราวฟ้ายกมือไหว้ย่าของสามีเช่นกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินออกไปจากบ้าน