หลังจากอาบน้ำเสร็จปรินทร์นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวออกมา เขามานั่งริมเตียงใช้ผ้าขนหนูเช็ดหัว ก่อนหันไปมองโต๊ะหัวเตียงที่มีแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่เกือบเต็ม มีฝาปิดกันไม่ให้ฝุ่นละอองเข้าไปด้านใน ใกล้กันมีแก้วใบเล็กที่มียาวิตามินสามเม็ดอยู่ในนั้น
ใช่แล้ว...เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พราวฟ้าจัดเตรียมให้ปรินทร์กินทุกคืนก่อนนอน
ปรินทร์กินยาทั้งสามเม็ด ใช้ผ้าขนหนูเช็ดหัวสามสี่ครั้ง ก่อนวางมันลงใกล้กับแก้วยาว่างเปล่า เขาไม่ลุกขึ้นไปแต่งตัว แต่หันกลับมามองคนกำลังนอนหลับ มือแข็งแรงยกผ้าห่มขึ้นสูง สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนหนา ขยับตัวนอนซ้อนแผ่นหลังภรรยา ลำแขนพาดเอวคอดกิ่วแล้วรั้งร่างเธอเข้าหาตัว
“ทราย” ปรินทร์ปลุกพราวฟ้าด้วยเสียง และริมฝีปากคลอเคลียตรงซอกคอ พราวฟ้างัวเงียตื่น เอี้ยวหน้ามองสามี
“พี่โดม” เธอเรียกชื่อเขา ก่อนพลิกตัวมาทางเขาแล้วกอดตอบ
“พี่มีเรื่องจะคุยด้วย”
“พี่โดมจะคุยเรื่องอะไรคะ”
“พี่จะบอกทรายว่า พี่ไม่ได้คิดอะไรกับเปิ้ลมากไปกว่าเพื่อน ตอนนี้พี่มีทรายเป็นเมีย พี่รักเมียพี่ และจะมีทรายคนเดียวไปตลอดทั้งชีวิต ทรายต้องเชื่อพี่นะ อย่าเชื่อใคร และอย่าเชื่อในภาพที่เห็น” ณ ตอนนี้เขารู้สึกตามวาจา พราวฟ้ายิ้ม กระเถิบตัวเข้าหาร่างหนากึ่งเปลือยของสามี
“ทรายเชื่อพี่โดมค่ะ ทรายรักพี่โอม”
แม้ว่าหลายครั้งและหลายภาพที่เห็น บ่งบอกถึงความสนิทสนมเกินเพื่อนระหว่างปรินทร์กับทิวาทิพย์ ทว่าเธอกลับเชื่อคำพูดเขาตอนนี้สนิทใจ ไม่ใช่เพราะโง่หรือไม่ยอมรับความจริง แต่เป็นเพราะความรักล้วนๆ เมื่อเขาบอกว่าไม่มีอะไรก็ตามนั้น
“พรุ่งนี้เราไปห้างกันดีไหม พี่จะพาทรายไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆ หลายๆ ชุดเลย กระเป๋าสักใบสองใบ เสร็จแล้วก็ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน จากนั้นก็ไปดูหนัง” นานหลายเดือนแล้วที่ปรินทร์กับพราวฟ้าไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน เมื่อเขากล่าวชวน มีหรือสาวหน้าตาน่ารัก เจ้าของรอยยิ้มหวานจะไม่ตกปากรับคำ
“ดีค่ะ ทรายอยากกินสุกี้ค่ะ”
“ก่อนพี่จะพาทรายไปกินสุกี้ พี่ขอกินทรายก่อนนะ...อยากกินจนตัวสั่นแล้วรู้ไหม”
ใบหน้าพราวฟ้ายังคงระบายด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกที่เกิดขึ้นช่วงเย็นวันนี้ ไม่ว่าเป็นความเสียใจ น้อยใจและเจ็บปวด เวลานี้หายเป็นปลิดทิ้ง ราวกับว่าเธอโยนออกจากจิตใจไปทั้งหมด แทนที่ด้วยคำรัก หวาน และคำมั่นสัญญาของปรินทร์
พราวฟ้าเผยอปากรับจุมพิตของสามี จูบที่ทำให้สองร่างสะท้านไปทั้งตัว จูบที่ปรินทร์รู้ดีว่าหวานและหอมมากเพียงใด ทุกครั้งที่เขาจุมพิตพราวฟ้า จะรู้สึกราวกับว่าโบยบินอยู่บนท้องนภาอันสดใส หัวใจเขาเอิบอิ่ม เกิดความซาบซ่านขึ้นมาทันใด เธอทำให้ปรินทร์กระชุ่มกระชวยกลับไปเป็นวัยรุ่นหัดสวาท
ท่วงทำนองแห่งรักดำเนินไปอย่างเร่าร้อน พราวฟ้าเป็นสาวอ่อนหวาน อ่อนโยนและขี้อาย แต่เมื่อร่างเปล่าเปลือยอยู่ภายใต้ร่างหนาของสามี เธอกลายเป็นสาวเร่าร้อน ยกสะโพกรับแรงกำลังของปรินทร์ได้อย่างร้ายกาจ ก่อนเป็นฝ่ายคุมเกมอยู่เหนือร่างหนาตามที่เขาต้องการ
เสียงครางกระเส่าบ่งบอกถึงความหฤหรรษ์จากเกมรัก พร้อมกันนี้หัวใจสองดวงฟูฟ่องรับความสุขที่พุ่งใส่ทั้งคู่ราวกับสายน้ำหลาก มันมากมายอิ่มไปทั้งดวงใจ
หลังจากความสุขผ่านพ้นไป ปรินทร์ใช้ลำแขนตนให้พราวฟ้าหนุนต่างหมอน ตะคองกอดเธอไว้ไม่ห่าง เขาจูบหน้าผากกลมเกลี้ยงของภรรยาสองครั้ง กล่าวคำราตรีสวัสดิ์ ก่อนหลับตาลงแล้วหลับไปพร้อมกับเธอ
10.30 น. วันต่อมา
บุหงันที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก โดยมีพราวฟ้านั่งบนพื้นบีบนวดฝ่าเท้าให้ ละสายตาจากทีวีจอยักษ์มองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในบ้าน มือทั้งสองข้างถือถุงกระดาษและถุงอาหารมาหลายใบ เจ้าของเรือนกายผู้นั้นคือยุรนันท์ แขกคุ้นเคยบ้านหลังนี้
“หอบอะไรมาเยอะเชียวเฮิร์ป” บุหงันทักถาม
“คุณยายกลับมาจากเกาหลีครับ ท่านซื้อของมาฝากคุณย่าหลายอย่าง คุณยายจะมาเองแต่ก็ปวดหลังปวดเอว ผมเลยเอามาให้คุณย่าครับ มีโสมด้วยนะครับ”
ยุรนันท์ตอบ วางถุงของฝากลงบนโต๊ะ
“ซื้อฝากมาเยอะเชียว ฝากขอบคุณคุณยายด้วยนะที่นึกถึงกัน” บุหงันตอบกลับ “ย่าก็ไม่ได้ไปไหนด้วย ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปให้คุณยาย ละอายใจจัง”
“คุณยายไม่คิดอย่างนั้นหรอกครับ คุณยายบอกว่า ถ้าหายปวดหลังปวดเอวจะแวะมาคุยกับคุณย่าครับ” ยุรนันท์พูดต่อ
“คุณย่าคะ เดี๋ยวทรายจะทำก๋วยเตี๋ยวลุยสวน ทรายทำเผื่อไปให้คุณยายพี่เฮิร์ปดีไหมคะ” พราวฟ้าเสนอ
“ดีๆ แกทำเผื่อเยอะๆ เลยนะ จะได้กินทั้งบ้าน” บุหงันเห็นด้วย “ฝีมือทำอาหารของทรายไม่เป็นสองรองใครนะ แต่บ้านนี้ลิ้นเทวดาหรือไม่ก็ลิ้นชาถึงได้บอกว่าไม่อร่อย”
ยุรนันท์ยิ้มกับคำพูดกระทบกระทียบของบุหงัน
“คุณย่าพูดแบบนี้ชักอยากลองชิมฝีมือทรายซะแล้ว อยากรู้ว่าจะอร่อยตามที่คุณย่าพูดหรือเปล่า”
“งั้นก็ลองกินตอนเที่ยงไหมล่ะ ถ้าไม่มีธุระที่ไหนก็อยู่กินข้าวกับย่าก่อน ทรายทำข้าวผัดปลาสลิดกับแกงจืดปลาหมึกยัดไส้หมูสับ ลองกินดูแล้วจะติดใจ”
“ผมว่างครับ แล้วก็เริ่มหิวหน่อยๆ ด้วย” ยุรนันท์ตอบรับคำชวน
“แกทำเผื่อเฮิร์ปด้วยนะ ทำให้สุดฝีมือล่ะ ฝีมือแกจะได้ประจักษ์กับคนอื่นบ้าง จะให้รู้ว่ารสมือแกไม่เป็นรองใคร”
“ค่ะคุณย่า ทรายไปทำกับข้าวก่อนนะคะ ต้องจัดเตรียมทำก๋วยเตี๋ยวลุยสวนด้วยค่ะ”
“อืม ก็ไปสิ ใครรั้งแกไว้มิทราบ” บางครั้งบุหงันเหมือนเอ็นดูหลานสะใภ้ แต่บางครั้งก็ทำราวกับว่าไม่ชอบหน้า พราวฟ้ารีบเดินไปยังห้องครัวทันที “ไม่ได้ดั่งใจเลย”
“ทรายไม่ได้ดั่งใจอะไรคุณย่าครับ เท่าที่ผมเห็น ทรายก็ดูกลัวเกรงคุณย่า ไม่น่าจะขัดใจคุณย่านะครับ” ยุรนันท์ถาม
“โอ๊ย แม่นี่ขัดใจหลายอย่างเลยแหละ บอกให้มีปากมีเสียงบ้างก็ไม่ทำ ปล่อยให้ตัวเองถูกโขกสับถูกต่อว่าไม่เว้นวัน โรคจิตหรือเปล่าก็ไม่รู้ บอกให้แต่งหน้าทาปากบ้างก็ไม่เอาบอกไม่ชอบ เสื้อผ้าก็เหมือนกันย่าจะให้เงินไปซื้อแบรนด์หรูๆ แพงๆ ตัวเองใส่จะได้ดูดี มีรสนิยมก็ไม่เอาอีก พูดมาได้ว่ามันแพง เสียดายเงิน ทั้งที่เงินที่ซื้อไม่ใช่เงินมันแต่เป็นเงินย่าที่อยากซื้อให้ใจแทบขาด นี่แหละที่ทรายขัดใจย่า พูดว่าก็แล้ว พูดกระทบก็ด้วยแทนที่จะทำตามสั่ง กลับทำตาบ๋องแบ๋วใส่ เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิด ปล่อยตัวเป็นอีเพิ้งประเดี๋ยวหมาได้คาบผัวไปกินพอดี” นางตอบเป็นชุด ยุรนันท์ฟังแล้วเข้าใจทันทีว่า บุหงันเป็นห่วงพราวฟ้ามากกว่าเกลียดชัง เป็นห่วงที่สุดคือเรื่องทิวาทิพย์ อดีตคนรักปรินทร์ที่เหมือนกำลังเข้ามาเป็นมือที่สาม “วันนี้ตอนเย็นทรายมีนัดไปกินข้าวดูหนังกับโดม แต่งตัวโทรมๆ ไปผัวที่ไหนจะมอง จะสู้แม่สาวโฉบเฉี่ยวไม่ได้ ยิ่งพูดยิ่งขัดใจ เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็น มีแต่คนอยากแต่งตัวสวยๆ มีทรายนี่แหละ นั่นก็ไม่เอา โน่นก็ไม่เอา”
ก็จริงตามที่บุหงันพูด หากเทียบระหว่างพราวฟ้ากับทิวาทิพย์ สองสาวแตกต่างกันมาก แต่สำหรับเขา พราวฟ้าเป็นผู้หญิงสวยหวาน ทิวาทิพย์สวยเฉี่ยว แต่หากมองนานๆ พราวฟ้าชวนมองมากกว่า มองได้แบบไม่มีเบื่อ