หลังจากเสิ่นเยี่ยนฟางที่จัดการสามคนนั้นเรียบร้อยก็มานั่งรอหมอเป็นเพื่อนเมิ่งหย่งชวน คนต่อไปถึงเขาแล้วท่านหมอจึงให้เด็กในร้านมาตาม เมิ่งหย่งชวนเดินเข้าไปด้านใน ก่อนจะเรียกนางเข้าไปด้วยกัน
"ภรรยา เจ้าเข้ามาด้วยเถิด หากท่านหมอสั่งอะไรเจ้าจะได้รับรู้ด้วย"
เสิ่นเยี่ยนฟางมองหน้าสามีฟ้าประทานอย่างเหนื่อยหน่าย ภรรย***านเจ้าสิหน้าด้านจริงๆ แต่ก็ยอมเดินตามเขาเข้าไปด้านใน ตรงหน้ามีชายชราคนนึงนั่งอยู่ จากความทรงจำคร่าวๆชายชราคนนี้เป็นนหมอประจำตำบลเขาแซ่จ้าว ท่านหมอจ้าวที่นับหน้าถือตาของคนในตำบลมากนับว่ามีฝีมืไม่น้อย
หรือไอ้เด็กนี่จะป่วยจริงๆไม่ได้แกล้ง หมอที่เก่งขนาดนี้คงไม่เอาชื่อเสียงมาแลกกับบัณฑิตจนๆที่ไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อหรอกมั้ง เสียงสนทนาทำให้นางฟังอย่างตั้งใจ หมอจ้าวจับชีพจรของเมิ่งหย่งชวนแล้วก็เอ่ยขึ้น
"เฮ้อ บัณฑิตเมิ่งพิษเย็นในตัวเจ้านับว่าถอนได้เกือบหมดแล้ว หากกลางคืนอากาศไม่เย็นเกินไปท่านก็ไม่ต้องทรมานนัก แต่อีกเพียงครึ่งเดือนจะเข้าหน้าฝน หากได้โสมมาบำรุงสักหน่อยเจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหายไม่ทันหน้าหนาว แต่อย่างที่บอกโสมมีราคาค่อนข้างแพง แม้ว่าข้าจะอยากช่วยแต่ก็ไร้สามารถ"
ท่านหมอจ้าวที่ผ่านมาท่านยอมให้ข้าติดค่ารักษาอีกทั้งค่ายาข้าเมิ่งหย่งชวนก็ชดใช้บุญคุณไม่หมดแล้วขอรับ อีกอย่างข้าเป็นเพียงบัณฑิตต่ำต้อยคนนึง คิดไม่ถึงว่าเพื่อตำแหน่งจี่เหรินเล็กๆกับถูกคนวางยาเพื่อไม่ให้มีโอกาสเข้าสอบ"
"เจ้าต้องกินของบำรุงสักหน่อยเถอะ ไม่ได้กินอาหารดีๆต่อให้ยาดีเพียงใดก็ไร้ผล ส่วนเรื่องสอบอีกสามปีก็ยังทัน ขยันอ่านหนังสือสักหน่อย ค่อยไปเรียนตอนหายแล้ว"
"ขอบคุณท่านหมอจ้าวขอรับ เอ่อท่านหมอจ้าวนี่คือเยี่ยนฟางนางเป็นภรรยาข้าน้อย สองวันก่อนนางตกน้ำ อีกทั้งยังมีแผลบริเวณที่แขน รบกวนท่านตรวจให้นางสักหน่อยเถอะขอรับ นางมีไข้มาสองวันเพิ่งจะฟื้นไข้ก็ต้องลำบากพาข้ามาหาหมออีก ภรรยาคาราวะท่านหมอจ้าวเสียสิ ให้ท่านหมอตรวจเจ้าสักหน่อยเถอะ"
เสิ่นเยี่ยนฟางไม่อิดออดนับว่าไอ้เด็กนี่มีน้ำใจไม่น้อย อีกอย่างนางรู้สึกตัวรุมๆเหมือนกันอาจเพราะบาดแผลจากที่ถูกปิ่นแทงและตกน้ำมาก่อนจึงทำให้ไข้ขึ้นสูง และที่สำคัญไม่มีอาหารดีๆให้กินสักมื้อ
"ข้าน้อยเสิ่นเยี่ยนฟางคาราวะท่านหมอจ้าวเจ้าค่ะ ต้องรบกวนท่านหมอแล้ว"
เสิ่นเยี่ยนฟางนั่งลงให้หมอตรวจชีพจร เขาทำสีหน้านิดนึงก่อนจะเอ่ยกับนาง
"ฮูหยินเมิ่ง ร่างกายท่านอ่อนแอนัก แผลนี่มาจากการถูกทำร้าย ท่านควรไปแจ้งทางการหรือไม่ อีกอย่างตกน้ำครั้งนี้ทำให้ไอเย็นเข้าสู่ร่างกาย ข้าจะจ่ายยาแก้อาการหวัดให้ท่าน ตัวยาคล้ายกับของสามีท่านต้มกินเหมือนกัน ถงลู่เจ้าไปจัดยายให้กับบัณฑิตเมิ่งและภรรยาหน่อย"
จ้าวคังเรียกเด็กในร้านให้ไปจัดยา จากนั้นก็บอกเตือนข้อระวังของพวกเขาว่าควรงดอะไรบ้าง เมิ่งหย่งชวนถือโอกาสกล่าวลาจ้าวคัง
"ขอบคุณท่านหมอมากขอรับ ค่ารักษาของครั้งก่อนกับครั้งนี้เป็นเท่าไหร่หรือขอรับ ข้าพอหยิบยืมเงินมาได้จึงไม่อยากค้างค่ายาท่านอีกแล้ว"
"เอาเป็นว่าครั้งก่อนกับครั้งนี้ข้าคิดท่านสิบสองตำลึง ส่วนของฮูหยินท่านข้าไม่คิดก็แล้วกัน ฮูหยินเมิ่งสามีท่านต้องบำรุงเขาร่างกายอ่อนแอนัก อาหารดีๆควรมีให้เขาบ้าง ข้ารู้ว่าสถาณการณ์บ้านเจ้าไม่ดีนัก แต่คนเราควรได้กินดีบ้างในบางครั้ง"
"ขอบคุณท่านหมอจ้าวมากข้าจะทำตามที่ท่านสั่งเจ้าค่ะ ท่านพี่เสียเวลาคนอื่นรอหาหมอ พวกเราไปรับยาแล้วรีบกลับบ้านกันเถอะเจ้าค่ะ ท่านป่วยอยู่อย่าถูกลมนานๆเลย ข้าน้อยลาท่านหมอจ้าวนะเจ้าคะ"
เมิ่งหย่งชวนสังเกตุภรรยาของเขาคนนี้ดูมีกาลเทศะและมีความรู้มากกว่าข่าวที่เขาได้รับเสียอีก ข่าวที่ได้ยินคือนางหยาบคายไร้มารยาทสกปรกไม่ชอบอาบน้ำ ดูเหมือนเรื่องที่ไม่ชอบอาบน้ำจะเป็นเรื่องจริง สกปรกเหลือทน
เมื่อจ่ายเงินก็รับยาเรียบร้อย เมิ่งลู่เจินนั่งรอทั้งสองคนอยู่เงียบๆ เป็นเด็กรู้ความยิ่งนัก เสิ่นเยี่ยนฟางเห็นเขามองไปยังกลุ่มเด็กวัยเดียวกันที่ใส่ชุดของสำนักศึกษาจึงเดินเข้าไปหาก่อนจะแตะบ่าผอมแห้งนั่น
"อาเจิน อย่าห่วงเลยพี่สะใภ้จะหาเงินส่งให้เจ้าได้เข้าเรียน ตอนนี้เจ้าก็ฝึกกับพี่ชายเจ้าไปก่อนนะ"
"ข้าไม่เรียนหรอกขอรับพี่สะใภ้ พี่ใหญ่ตั้งใจเรียนเพื่อสอบเป็นขุนนางยอมลำบากเพื่อให้พวกเรามีกิน เงินเดือนซิ่วไฉนั่นท่านปู่กับท่านย่าก็อ้างความกตัญญูยึดไปหมด พี่ชายข้าได้กินเพียงน้ำข้าวใสๆ ตอนที่ท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่พวกเรามีชีวิตที่ดีกว่านี้ขอรับ"
เด็กชายเอ่ยไปพร้อมน้ำตาที่คลอหน่วย เขาไม่อยากเรียนหรอก เขาจะรับจ้างทำงานส่งให้พี่ใหญ่ได้เรียนสูงๆเพื่อสอบขุนนาง จะได้ไม่ถูกคนรังแกเช่นทุกวันนี้ เสิ่นเยี่ยนฟางถอนหายใจ เวลานี้พูดไปก็เท่านั้น ต้องทำให้เห็นว่านางทำได้ก่อน
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ต้องไปหาซื้อเสื้อผ้า ที่นอนกับเสบียงก่อน บ้านเมิ่งนั่นช่างใจร้ายกับลูกหลานจริงๆ ข้าวสักเม็ดก็ไม่ให้กิน ร่างเดิมคงทั้งหิวทั้งเป็นไข้เลยจากไป เสิ่นเยี่ยนฟางจุงมือเมิ่งลู่เจินออกจากร้านหมอจากนั้นก็พาไปกินบะหมี่ เมิ่งหย่งชวนไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ เขาเป็นสามีที่ป่วยนางกลับไม่สนใจ แต่ไปจับมือถือแขนกับน้องชายเขาใช้ได้ที่ไหนกัน จึงเอ่ยเสีเข้ม
"อาเจินเจ้าโตแล้ว เดินจับมือสตรีมิสมควรอีกทั้งนางยังเป็นพี่สะใภ้เจ้าด้วย"
หืม ไอ้เด็กบ้านี่น้องชายนายอายุเท่าไหร่กันเชียวแหม่เว้ยเฮ้ย เมิ่งลู่เจินปล่อยมือพี่สะใภ้ทันทีด้วยท่ามางสำนึกผิด เสิ่นเยี่ยนฟางหมันใส้เขาจึงไม่สนใจนั่งลงแล้วหันไปสั่งบะหมี่แทน
"เถ้าแก่ขอบะหมี่น้ำสองชามใส่ไข่ด้วย ส่วนอีกชามขอเนื้อน้อยๆผักเยอะๆเจ้าค่ะ"
"อ้อๆๆ แต่แม่นางน้อยผักสดหายากเต็มที ตอนนี้อากาสร้อนอยู่อีกครึ่งเดือนกว่าจะฝนตก เพาะปลูกไม่คอยดีนัก"
"อ้อ งั้นท่านทำมาเถอะ เนื้อไม่ต้องเยอะเท่าไหร่ ส่วนของสามีข้ากับน้องชายเพิ่มเนื้อสักหน่อยนะเจ้าคะ"
เจ้าของร้านหันไปทำบะหมี่ เสิ่นเยี่ยนฟางกำลังนั่งวิเคราะห์ ยุคโบราณนี่ไร้มลพิษอากาสดี แต่ผู้คนความรู้น้อย มีแค่คนเรียนหนังสือเท่านั้นที่มีความรู้รู้กว้างขวาง
ปลูกผักหรือ ต้องไปดูที่ดินของเมิ่งหย่งชวนก่อนว่าปลูกพืชชนิดใดได้บ้าง จากนั้นก็เอ่ยกับเมิ่งหย่งชวน
"นี่ตาทึ่ม ข้าจะไปซื้อเสบียงกับผ้าห่ม เจ้าสองคนเสื้อผ้าก็ขาดเก่าจนเปื่อยหมดแล้วซื้อคนละสามชุดเถอะ"
"เจ้า เรียกสามีตัวเองดีๆไม่ได้หรืออย่างไร วาจาเช่นนี้สตรีที่ไหนใช้เรียกสามีกันเสิ่นเยี่ยนฟาง ช่างเป็นพวกสตรีผมยาวสายตาตื้นเขินจริงๆ"
"แหม่พ่อบัณฑิตหางแถว ยังไม่ทันสอบผ่านจี่เหริน สอบทั่นฮวาหลักการยังกับเป็นราชครูผู้ยิ่งใหญ่ ข้าไม่เรียกเจ้าสามีแน่นอน แต่งมาแก้ชงให้เจ้าเท่านั้นอย่าจริงจัง"
"เหอะ ทำตัวให้สมกับเป็นเมียแก้ชงหน่อย มาวันแรกก็ไม่อาบน้ำไม่สระผม กลิ่นตัวเหม็นเพียงนั้นจะมาแช่งให้ข้าตายไวขึ้นนะสิ อยากเป็นแม่หม้ายตั้งแต่อายุน้อยๆเชียวหรือ"
"นี่เมิ่งหย่งชวนสามีขี้โรคจะเอามาทำไม เสียเวลาชีวิตข้าหมด หึ"
ทั้งคู่เถียงกันจนกระทั่งบะหมี่มาส่ง เมิ่งลู่เจินจับแขนเสื้อพี่สะใภ้เอาไว้ มองหน้านางอย่างอ้อนวอน
"พี่สะใภ้ ท่านอย่าทิ้งพี่ใหญ่ไปนะขอรับ ท่านพ่อท่านแม่ทิ้งพวกเราไปแล้ว ข้าจะไปหาเงินเยอะๆให้พี่ใหญ่ได้เรียน ให้ท่านได้สุขสบายเป็นฮูหยินขุนนาง ท่านดูแลพี่ใหญ่ให้ข้านะขอรับ"
เสิ่นเยี่ยนฟางใช้หัวแม่โป้งกรีดน้ำตาให้เมิ่งลู่เจินอย่างเบามือ รั้งเขามากอดลูบหลังให้ปลอบปะโลมเบาๆ เมิ่งหย่งชวนรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินทันที แต่น้องชายรักเขามากเขาเองก็อยากให้น้องชายมีชีวิตที่ดีเช่นกัน
"อาเจิน พี่ไม่ทิ้งเจ้าไปหรอก แล้วเจ้าก็ไม่ต้องไปทำงานส่งเสียพี่สะใภ้ด้วย พี่มีทางหาเงินแล้ว เจ้าจะช่วยพี่หรือไม่เล่า"
"พี่สะใภ้ท่านพูดจริงๆหรือขอรับ ท่านจะให้ข้าทำสิ่งใดข้ายอมทุกอย่างเลยขอรับ"
"เจ้าพูดเองนะ ถ้าเช่นนั้นตอนนี้กินบะหมี่ในชามให้หมดก่อน แล้วเราจะไปดูสิ่งที่ใช้หาเงินกัน"
ทั้งสามไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ตั้งใจกินบะหมี่ตรงหน้าอย่าอร่อย หากถามว่าอร่อยไหมสำหรับเสิ่นเยี่ยนฟางแน่นอนว่าสู้ยุคที่นางจากมาไม่ได้ แต่ว่าอย่างไรเล่า มีให้กินก็ดีแล้ว สองพี่น้องที่ไม่ได้กินเนื้อมานานก็กินจนเกลี้ยง
"ข้าต้องรักษาตัวอีกเกือบปีท่านหมอบอก จะอาศัยช่วงที่ไม่ได้ไปเรียนขึ้นเขาล่าสัตว์ก็แล้วกัน เจ้าก็อยู่บ้านดูแลความเรียบร้อยให้ดี สกปรกมากๆระวังข้าจะหย่าเจ้า"
"นี่ๆๆๆ ข้าอ้อนวอนเจ้าตายล่ะอยากหย่าก็เขียนมาเลยไม่ต้องมาขู่ หึ หากดีแต่ปากอย่าทำขอร้อง"
เมิ่งลู่เจินมองหน้าพี่ชายกับพี่สะใภ้แล้วก็กลั้นน้ำตา พวกเขาทะเลาะกันอีกแล้ว พี่ใหญ่ท่านต้องการคนดูแลนะ เหตุใดไล่นางไปเล่า เสิ่นเยี่ยนฟางเห้นน้องสามีก้มหน้าก้เลิกต่อปากต่อคำทันทีก่อนจะหันไปหาเมิ่งหย่งชวน
"ต่อไปห้ามเจ้าชวนข้าทะเลาะต่อหน้าเด็กอีก ไปได้แล้วข้าจะไปหาซื้อของ เสร็จแล้วพวกเจ้าก็รอข้าที่เกวียน ข้าจะไปร้านเหล็กดูเครื่องมือเกษตร"
เสิ่นเยี่ยนฟางจ่ายค่าบะหมี่เรียบร้อย บะหมี่ใส่ไข่สองชามยี่สิบอีแปะ ของนางไม่มีไข่เจ็ดอีแปะค่าแรงที่นี่วันละห้าสิบอีแปะ เฮ้อกินบะหมี่ก็เหลือนิดเดียวแล้ว ต้องหาเงินให้มากๆ ไม่ไหวทำกินเองดีที่สุด สิบอีแปะแต่รสชาติไม่ผ่านโปรอย่างแรง
ทั้งสามคนเดินมาถึงร้านขายผ้า จากความทรงจำเด็กคนนี้เย็บปักถักร้อยเก่งพอควร แต่ถ้าให้นางมานั่งทำไม่เอาดีกว่า เสิ่นเยี่ยนฟางเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ตัดสำเร็จแทน