พราวตะวันรีบทานรีบอิ่มเพราะจะได้ออกจากสถานการณ์ที่อึดอัดตรงหน้านี้ไปสักที เธอไม่อยากสนใจ ไม่อยากใส่ใจ ไม่ว่าคนตรงหน้าจะพูดจาหรือทำอะไรลับหลังเธอไม่ดีก็ตาม
ค่ำคืนที่เงียบสงัด
ห้องนอนของพราวตะวันอยู่ติดกับห้องนอนกิตติภพเพียงแค่ผนังกั้น หญิงสาวกำลังนอนอ่านหนังสือนิยายเรื่องใหม่ที่เพิ่งโหลดซื้อมาเมื่อวานนี้ "เศษซากรักวันไร้ค่า" ชีวิตของนางเอกในเรื่องก็ไม่ต่างจากชีวิตของเธอเลย เพียงแค่เธอไม่ต้องอุ้มท้องให้มีเรื่องวุ่นวายปวดหัวเหมือนเขมิกา พระเอกของเรื่องไม่ต่างจากสามีในสมรสของเธอเลยสักนิด ชีวิตอะไรถึงรันทดเหมือนดั่งนิยายเล่มนี้ไปได้ ยังนึกไม่ออกเลยว่าหากวันหนึ่งต้องตั้งท้องขึ้นมาจริง ๆ ชีวิตของเธอจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือเลวร้าย แต่คงเป็นเรื่องไกลตัวมากที่เธอจะมีลูกกับผู้ชายที่ชื่อกิตติภพ แม้คุณภิรมย์ภัทรจะอยากมีหลานมาสืบทอดตระกูลมากก็ตาม
ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงแปลกหูก็ดังขึ้นชวนให้หงุดหงิด เสียงหัวเตียงที่กระทบกับผนังห้องดัง ตึก! ตึก! ตึก! พร้อมกับเสียงกิจกรรมเข้าจังหวะของชายหญิงที่อยู่อีกห้อง เธอไม่ใช่หญิงสาวที่ไร้เดียงสาพอที่จะไม่รู้ว่าเสียงเรานั้นคือเสียงอะไร พราวตะวันรีบเอาหมอนปิดหูทั้งสองข้างเอาไว้ ได้แต่บอกกับตัวเองไม่ว่าเขาจะทำอะไรกับใคร มันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอเลย อย่าสนใจ อย่าเก็บมาใส่ใจให้ปวดหัวเปลืองความรู้สึก
โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงนอนดังขึ้น หญิงสาวเอื้อมมือไปกดรับพร้อมกับเสียบเอียร์บัดเข้ากับรูหูทั้งสองข้าง
"หนูพราวทำอะไรอยู่น่ะลูก พ่อโทรมารบกวนเรากับสามีหรือเปล่า?"
เสียงทักทายจากปลายสายถามขึ้น คุณภิรมย์ภัทรโทรมาถามข่าวลูกสะใภ้เป็นเรื่องปกติ แม้จะไม่ได้โทรหากันทุกวันแต่ความสัมพันธ์ระหว่างลูกสะใภ้และพ่อสามีก็เรียกว่าดีมากในระดับหนึ่ง
"ยังไม่นอนค่ะคุณพ่อ เพิ่งกินข้าวอาบน้ำเสร็จ สี่ทุ่มคงจะได้เวลาเข้านอน"
"แล้วนี่ตากิตมันอยู่ไหน พ่อโทรเข้าเบอร์มันทำไมมันไม่รับสายนะ"
กิตติภพจะรับสายได้อย่างไร ในเมื่อเวลานี้เขากำลังมีความสุขจนลืมอะไรข้างกายไปหมดแล้ว พราวตะวันได้แต่ยิ้มด้วยความเหนื่อยอ่อน เธอพยายามปกปิดหลาย ๆ เรื่องเพื่อให้คุณภิรมย์ภัทรสบายใจกับทุกเรื่องหลังแต่งงาน อย่างน้อยท่านก็ยังมีบุญคุณกับชีวิต แม้ทุกอย่างจะแลกมาด้วยอิสรภาพของตัวเองก็ตาม แต่ในโลกใบนี้จะมีใครสักกี่คนที่จะยื่นมือมาช่วยเธอในยามยากลำบากเช่นนี้ได้ อย่างน้อยคุณภิรมย์ภัทรก็รู้จักมักคุ้นกับบิดามารดาของเธอมานานแล้ว นิสัยใจคอรู้จักกันดีมากระดับหนึ่ง เธอจึงไม่ได้รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบแต่อย่างใด เพราะทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ก็ต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ตัวเองมีเหมือนกัน
"เอ่อ...คุณกิตออกไปดูคนงานที่ออกไปเก็บรังนกแล้วโดนงูฉกมาค่ะคุณพ่อ"
"ตายจริง แล้วอาการเป็นยังไง เกิดเรื่องตั้งแต่ตอนไหน?"
"เมื่อตอนหัวค่ำนี่ล่ะค่ะ คุณกิตยังไม่กลับมาพราวก็เลยยังไม่ได้รู้ข่าวอะไรทั้งนั้น คุณพ่อจะให้คุณกิตโทรกลับไหมคะเดี๋ยวพราวจะบอกให้"
"ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพ่อค่อยโทรไปหามันใหม่ก็ได้ ว่าแต่เราเถอะมีความสุขดีหรือเปล่า ตากิตมันดีกับเราหรือเปล่าหนูพราว?"
"ก็...ก็ดีนะคะคุณพ่อ ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง คุณกิตก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับฟาร์มหอยมุขแล้วก็ต้องขึ้นเขาไปดูเขาเก็บรังนกทุกวันเลย"
"แล้วมีผู้หญิงที่ไหนมายุ่งวุ่นวายกับมันหรือเปล่า ถ้ามีมาหนูต้องจัดการเลยนะ หนูเป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีสิทธิ์ทุกอย่างที่นั่น คนงานคนไหนใครทำไม่ดี ใครไม่เคารพหนูมาบอกพ่อนะ เดี๋ยวพ่อจะไปจัดการให้เอง"
"ไม่มีใครมาวุ่นวายหรอกค่ะคุณพ่อ เขาก็คงรู้กันหมดว่าคุณกิตแต่งงานมีเมียเรียบร้อยแล้ว"
"ว่าไม่ได้นะ คนที่มันไม่สนไม่แคร์อะไรก็จะมีอยู่นั่นแหละ หนูจะไปรู้อะไร พ่อรู้เห็นมาหมดแล้ว พ่อถึงต้องให้หนูพราวแต่งงานกับตากิตมัน"
"สถานการณ์ทุกอย่างสงบดีค่ะ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอกนะคะ"
"ได้ยินแบบนี้พ่อก็สบายใจ"
"คุณพ่อได้ไปเยี่ยมแม่ของพราวบ้างไหมคะ ท่านเป็นยังไงบ้าง?"
"แวะไปทุกวันนั่นล่ะ ก็ยังคงเหมือนเดิม ทรงตัวและไม่ทรุดหนัก ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้หรอกหนูพราว อะไรที่พ่อรับปากไว้พ่อก็ยังรักษาสัญญาเช่นเดิม"
"ขอบคุณนะคะคุณพ่อ ถ้าไม่มีคุณพ่อพราวก็ยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ชีวิตพราวกับแม่จะอยู่ยังไงกันต่อไป"
อย่างน้อยในวันที่ห่างไกลกันเช่นนี้ มารดาที่กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราก็ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อ ได้อยู่ใกล้มือหมอ มีพยาบาลคอยดูแลตลอดเวลา ได้อยู่ห้องแอร์ที่เย็นและปลอดเชื้อโรค ทำให้เธอไม่ต้องกังวลกับอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าชีวิตตัวเองจะเป็นอย่างไร ขอแค่ให้แม่ได้มีลมหายใจต่อในทุก ๆ วันก็เกินพอ แม้จะยังไม่รู้ว่าจะยื้อได้อีกนานแค่ไหน แต่ยังคงอยู่ได้ด้วยความหวังว่าสักวันจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับชีวิตของเธอบ้าง แค่ไม่มีบิดาชีวิตก็เศร้ามากพอแล้ว ถ้าจะไม่ให้มีมารดาด้วยอีกคน เธอคงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อีกต่อไปเช่นกัน
"หนูพราวช่วยพ่อ พ่อก็ช่วยหนูพราวกลับ ถึงยังไงตอนนี้เราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว แม่ของหนูก็เปรียบเสมือนญาติอีกคนหนึ่งของพ่อเหมือนกันนั่นแหละ อย่าคิดมากเลยนะ เรื่องนี้ขอให้หนูพราวสบายใจได้"
พราวตะวันถึงกับน้ำตาคลอเบ้า หลายปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยมีแม่ให้ได้พูดคุยด้วยมานานแล้ว ไม่มีน้ำเสียงที่ห่วงหาอาทร ไม่มีคำพูดใดที่ช่วยให้กำลังใจได้สู้ต่อ พอมีคุณภิรมย์ภัทรมาคอยเป็นห่วง คอยพูดคุยด้วย คอยให้ความหวัง ทำให้ชีวิตที่เคยเคว้งคว้างยังอยากลุกขึ้นสู้ต่อกับวันพรุ่งนี้ที่อาจจะมีเรื่องหนักหนาถาโถมเข้าใส่อีกมากมาย....