เพราะเป็นเจ้าสาวที่ถูกเลือก "พราวตะวัน" เลยต้องกลายมาเป็นภรรยาของ "กิตติภพ" อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ด้วยภาระที่หนักอึ้งทำให้หญิงสาวจำต้องเลือกเส้นทางนี้ให้กับชีวิต เมื่อคุณภิรมย์ภัทรยื่นข้อเสนอให้เธอต้องแต่งงานกับลูกชายเพียงคนเดียวที่มีอยู่ เพื่อกีดกันผู้หญิงทุกคนที่จะเข้ามาปอกลอกให้ออกไปจากชีวิตกิตติภพเสีย แลกกับเงินก้อนใหญ่ก้อนโตที่จะช่วยต่อลมของหายใจของมารดาที่กลายมาเป็นเจ้าหญิงนิทรานานมากกว่า 3 ปีแล้ว และอุบัติเหตุในวันนั้นทำให้พราวตะวันต้องสูญเสียบิดาไปอย่างไม่ทันได้ตั้งรับ ในวันที่ใกล้เรียนจบปริญญาตรี ในวันที่ชีวิตกำลังจะสดใส ทุกอย่างกลับพังทลายลงไม่เป็นท่า ชีวิตที่ขาดเสาหลัก ชีวิตที่ขาดที่พึ่งทางใจ แม้ตอนนี้พราวตะวันจะอายุเพียง 24 ปีบริบูรณ์ แต่ค่าใช้จ่ายในชีวิตที่เธอต้องแบกรับมากกว่าหนึ่งแสนบาทต่อเดือน เพื่อจะให้มารดาได้อยู่ใกล้มือหมอมากที่สุดและจะได้มีชีวิตอยู่กับเธอไปได้อีกนาน ๆ
"มัวแต่นั่งเหม่ออยู่นั่นแหละ ไม่คิดจะทำงานทำการช่วยฉันเลยหรือยังไง ฉันไม่ได้แต่งเธอให้มาเป็นคุณนายนั่งชี้มือชี้เท้าใช้คนอื่นไปวัน ๆ หรอกนะ"
เสียงทุ้มที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้หญิงสาวที่กำลังนั่งนึกอะไรเพลินต้องสะดุ้งตกใจ ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองใบหน้าบึ้งตึงของสามี ที่ตั้งแต่แต่งงานกันมาแทบจะไม่มีคำพูดจาที่หวานหู เหมือนกับว่าเขาโกรธเกลียดเธอมากแทบไม่อยากมองหน้ากันเลยด้วยซ้ำ
"ถึงพ่อฉันจะเอ็นดูเธอมาก แต่ฉันไม่ใช่พ่อหรอกนะ ฉันไม่ต้องทำดีกับเธอเลยด้วยซ้ำ ผู้หญิงหน้าเงินที่ยอมลดศักดิ์ศรี ยอมขายตัวให้กับผู้ชายที่ไม่ได้รักหรือรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนแบบเธอ มันน่าสมเพชและน่ารังเกียจที่สุด!"
มากกว่า 3 เดือนที่ผ่านมาพราวตะวันไม่เคยตอบโต้ ไม่ว่าผู้เป็นสามีจะพูดจาว่าร้ายกับเธอมากมายสักแค่ไหน เพราะคำพูดที่เขาพูดออกมาล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น เธอยอมขายศักดิ์ศรีเพื่อแลกกับเงิน ความจริงข้อนี้ที่ไม่อาจปฏิเสธอะไรได้ เธอยอมอยู่ในที่ของเธอและให้อิสระกับเขาได้เต็มที่ นั่นคือข้อตกลงหลังแต่งงานที่เขาและเธอต่างทำร่วมกันเอาไว้ เขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเธอและเธอก็ห้ามยุ่งกับชีวิตส่วนตัวของเขา
"ไปทำความสะอาดห้องนอนฉันหรือยัง วันนี้เอมอรเขาจะมานอนค้างกับฉันที่นี่"
สภาพของพราวตะวันไม่ต่างจากคนรับใช้ที่ต้องคอยทำทุกอย่างตามคำสั่ง เธอเป็นเพียงเมียแต่งที่ถือทะเบียนสมรส ไม่มีอะไรให้ผูกพันทางกาย เพราะกิตติภพไม่ได้อยากยุ่งกับผู้หญิงที่น่ารังเกียจเช่นเธอเลยสักนิด ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เกาะมันตราทางภาคใต้ ห่างไกลสายตาของคุณภิรมย์ภัทรมากหน่อย เขาแทบจะไม่พูดคุยด้วยกันดีเลย แม้ว่าเธอจะทำดีด้วยมากมายสักแค่ไหนก็ตาม ในสายตาของเขาก็ยังไม่มีอะไรที่ดีพอเลยสักอย่าง แต่นั่นมันคือปัญหาของเขาไม่ใช่ปัญหาของเธอ
"พราวทำเสร็จแล้วตั้งแต่เช้า คุณกิตมีอะไรที่จะใช้พราวอีกหรือเปล่า?"
พราวตะวันเป็นคนที่ไม่ชอบพูด หากว่าเขาไม่ถามเธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องถามเขากลับ เธอรู้จักหน้าที่ของตัวเองดี ทำงานบ้าน ทำงานครัว ดูแลความเป็นอยู่ให้ทุกอย่างแต่ไม่วุ่นวายเรื่องของเขา นั่นคือสิ่งที่เธอตระหนักมาตลอด หญิงสาวนัยย์ตาเศร้าจับจ้องมองร่างสูงที่ชอบทำหน้าตาดุไม่เคยยิ้มให้กันเลยสักครั้ง ไม่รู้เลยว่าการที่ตกลงยอมรับข้อเสนอของคุณภิรมย์ภัทรจะเป็นผลดีกับตัวเองหรือมันยิ่งจะทำให้ตัวเธอตกนรกทั้งเป็นกันแน่
แม้ว่าตอนนี้จะไม่ต้องคิดมากเรื่องค่าใช้จ่ายของมารดา ยิ่งชีวิตเธอในเวลานี้ก็หาจะมีความสุขไม่ แต่ช่างเถอะความสุขของเธอคงไม่สำคัญเท่าชีวิตของคนเป็นแม่ที่นอนป่วยอยู่ตอนนี้หรอก
"ชุดนอนที่เธอยังไม่ใส่มีบ้างหรือเปล่า เอาไปไว้ให้เอมอรใส่ด้วยนะ พอดีว่าเขารีบมาหาฉันเลยไม่ได้เข้าบ้านไปเอาชุดมาเปลี่ยนก่อน เอาชุดใส่เล่นด้วยนะเอาของเธอนั่นแหละ"
"ต้องเอาเสื้อในกางเกงในให้ด้วยไหมคะจะได้ครบ!"
หญิงสาวพูดประชดประชันออกไป แม้จะเคยเจอหน้าผู้หญิงคนนั้นมาแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ก็ไม่เคยจะชอบสายตาที่อีกคนคอยดูถูกหยามเหยียดเธอเลย
"สั่งให้พราวเอาเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวไปให้เขา แล้วทำไมคุณกิตไม่บอกเขาแวะซื้อเข้ามาด้วยล่ะ คุณกิตไม่คิดว่าพราวจะหวงของพราวหรือไงคะ?"
"เธอจะหวงทำไมล่ะ ในเมื่อข้าวของที่เธอใช้อยู่มันก็เป็นเงินที่พ่อฉันให้เธอไปซื้อทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง"
พราวตะวันได้แต่ยืนขบเม้มริมฝีปากแน่น เอาความจริงมาพูดแล้วเธอจะเอาอะไรไปแย้งเขาได้ ชีวิตของเธอในตอนนี้ทุกอย่างถูกดูแลด้วยเงินของคุณภิรมย์ภัทร แลกกับที่เธอมาเป็นสะใภ้ตัวจริงของตระกูลศิริมันตรา สะใภ้ที่สาว ๆ ทุกคนอยากจะมายืนอยู่เหมือนเธอในตอนนี้
ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ หญิงสาวก็รีบเดินออกจากตรงนั้นไป เพียงแค่หันหลังให้เขาน้ำตาเจ้ากรรมถึงกับร่วงหล่นลงกับพื้นอย่างอดไม่ได้ เธอไม่ได้ร้องขอให้เขาต้องมารัก แต่อย่าเหยียบย่ำหัวใจเธอด้วยคำพูดแบบนี้เลยจะได้ไหม เธอรู้ดีว่าตัวเองนั้นไร้ค่าไม่ได้ควรค่าให้เขาต้องมายกยอหรือสรรเสริญ ถ้าตอนนี้ร่ำรวยเหมือนเขาได้สักครึ่ง คงไม่ต้องมาอยู่ให้ผู้ชายอย่างกิตติภพดูถูกดูแคลนมากขนาดนี้
ตกเย็นของวันเดียวกัน พราวตะวันต้องทำอาหารให้กับคนทั้งคู่ได้รับประทาน ต้อนรับขับสู้หญิงสาวคนนั้นให้เหมือนอีกหนึ่งคนที่เป็นเจ้าของบ้าน เพราะเอมอรเป็นผู้หญิงคนโปรดของกิตติภพมานานแล้ว จึงไม่แปลกที่ผู้หญิงคนนี้จะจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ไม่พอใจทุกครั้งที่พบเจอ คงคิดว่าตัวเองมาก่อนแต่เป็นเธอต่างหากที่มาทีหลัง
"อาหารอะไรคะเนี่ย กินไปจะท้องเสียเหมือนครั้งก่อนหรือเปล่า เมียคุณแกล้งเอ็มหรือเปล่าก็ไม่รู้"
เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ เอมอรแทบจะไม่กล้าแตะ เพราะครั้งก่อนที่มาบ้านนี้ได้กินอาหารฝีมือของพราวตะวันถึงกับต้องนอนโรงพยาบาลไป 2 วันเลย
"เขาไม่กล้าใส่อะไรลงไปหรอก วันนี้ผมยืนดูเขาทำอาหารด้วยตัวเองเลยนะเอ็ม คุณกินเถอะจะได้ขึ้นไปอาบน้ำ ดูแลปรนนิบัติให้ความสุขผม"
"แหม..กิตก็ จริง ๆ เอ็มไม่ต้องกินอาหารก็ได้นะคะ แค่กินคุณเอ็มก็อิ่มจนแทบจะสำลักออกมาแล้ว"
คำพูดคำจาของสาวเจ้าไม่ได้มีความรู้สึกละอายใจใดให้ได้เห็น ไม่ได้สนใจพราวตะวันที่เป็นเมียแต่งเลยสักนิด หญิงสาวรู้ดีว่ากิตติภพแต่งงานเพียงเพราะขัดใจคุณภิรมย์ภัทรไม่ได้ ชายสูงวัยคอยกีดกันเธอไม่อยากให้เธอต้องใช้นามสกุลร่วมด้วย แต่ใครจะไปแคร์ในเมื่อกิตติภพเห็นเธอสำคัญอยู่วันยังค่ำ ยังคงเรียกหาโดยไม่ได้สนใจเมียแต่งที่นั่งเสนอหน้าเหมือนธาตุอากาศในชีวิตเขาอย่างตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
เอมอรหันหน้าไปมองพราวตะวันที่กำลังตักข้าวเข้าปากอยู่ฝั่งตรงข้าม เพียงแค่พราวตะวันแหงนหน้าขึ้นมองจ้องสบตา ถึงกับแสยะยิ้มส่งให้ด้วยความสมเพช เมียแต่งที่ไร้ค่าไม่ได้อยู่ในสายตาของสามีเลย เอมอรหันกลับไปเอาอกเอาใจตักอาหารใส่จานให้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงข้างนั้นอีกครั้ง