ตอนที่ 16 หยดเทียนกับคู่อริ (2)

2359 คำ
หยดเทียนสลบไปราวสามชั่วโมงจึงค่อยๆ ได้สติขึ้นมา ร่างเปรอะฝุ่นสะลึมสะลือตื่นขึ้นก่อนจะชักสีหน้าเหยเก เพราะอาการเจ็บระบมไปทั่วทั้งร่างกาย โชคดีที่อวัยวะส่วนสำคัญไม่ได้รับอันตรายมาก เว้นแต่สะบักหลังที่ถูกท่อนไม้ฟาดและหน้าท้องที่โดนศอกกระทุ้ง ดวงตาที่พร่ามัวเริ่มปรับตัวเข้ากับแสงสว่าง ทำให้มองเห็นสถานการณ์ตอนนี้ได้ชัด สิ่งแรกที่เห็นคือตอนนี้เจ้าพวกอันธพาลไม่อยู่แล้ว และอย่างที่สองคือเจ้าแมวยักษ์ตัวอ้วนกำลังนอนเกยคางบนแขนของเขาอย่างสบายใจอยู่ ก่อนจะไล่สายตามองหามูมู่ จึงพบว่าเจ้าตัวก็นอนห่างจากมีมี่ไปไม่ไกลเช่นกัน ทันทีที่แขนของเบต้าขยับ สัตว์นักล่าตัวกลมที่นอนอยู่ก็รีบลืมตาขึ้นเมื่อรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของผู้ให้อาหารหลังจากที่หยุดนิ่งมาเป็นเวลานาน มีมี่รีบยกหน้าออกเมื่อร่างเล็กต้องการใช้มือในการดันพื้นพยุงร่างกายลุกขึ้น “อั๊ก!” หยดเทียนร้องลั่นด้วยความเจ็บพลางยกมือกุมหน้าท้องบริเวณที่โดนเตะซ้ำๆ ความเจ็บระบมของผู้ที่ถูกกระทำวิ่งแล่นอยู่ทุกอณูของร่างกาย ยิ่งขยับเคลื่อนไหวมากเท่าไหร่ ความเจ็บปวดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เท่านั้น คนสวนนั่งเรียกสติ แล้วส่ายหัวคิดโทษตัวเองที่ไม่สามารถครองสติเอาไว้ได้ดีพอในขณะที่กำลังเผชิญสิ่งเร้า ในตอนแรกเขาน่าจะใช้วิชาตัวเบาสับขาวิ่งหนีแทนที่จะยืนรอสู้ หากทำเช่นที่คิดได้ตั้งแต่แรกคงไม่โดนซ้อมเจ็บปางตายปานนี้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อพวกมันช่างยั่วโทสะเก่งนัก แล้วคนที่อารมณ์ขึ้นง่ายลงยากอย่างเขาก็ทนอะไรได้นานซะที่ไหน.. หยดเทียนนั่งนิ่งรวบรวมสติอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมีสีส้มและสีเหลืองปะปนกัน เพียงเท่านั้นก็รู้ว่าตนคงหลับนานไปหลายชั่วโมงแน่ๆ เขาค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นแล้วรีบมองซ้ายขวาเช็กสถานการณ์อีกครั้ง แล้วถอนหายใจเบาๆ โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่มีใครกลับมาและโชคดียิ่งกว่าที่ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ จึงทำให้หยดเทียนสบายใจขึ้นหนึ่งเปราะ เพราะเมื่อไม่มีใครเห็นก็ย่อมไม่มีใครนำเรื่องนี้ไปบอกแก่เจ้านาย และเขาก็มั่นใจเหลือเกินว่า ฝ่ายที่หาเรื่องก่อนคงไม่มีทางไปฟ้องร้องเอาผิดเขาก่อนแน่ๆ แต่ถ้าหากผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เป็นดังที่หยดเทียนคาดการณ์ไว้แล้วล่ะก็ เขาคงต้องโดนทัณฑ์บนตามพวกอันธพาลขี้ครอกไปด้วยในข้อหาทะเลาะวิวาทกันในสถานที่ทำงาน ซึ่งนั่นก็คงส่งผลให้เจ้านายและเพื่อนร่วมงานมองเขาในแง่ลบอีกแน่ๆ “รีบๆ เข้าไปได้แล้ว ฉันจะได้รีบไปโรงบาล” เบต้าร่างฟกช้ำเปิดประตูกรงค้างไว้หมายให้เจ้าเสือสองตัวเดินกลับเข้าไปในที่ของตัวเอง แต่ไหนถึงมีแค่มู่มี่ที่เดินเข้ากรงอย่างว่าง่าย ส่วนเจ้ามีมี่ก็ดันยืนนิ่งคลอเคลียฝ่ามือไม่ยอมไปไหน แม้เสือหนุ่มคู่รักจะร้องเรียกและพยายามเดินออกมารับ แต่กระนั้นเสือสาวก็ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงซ้ำยังส่งเสียงขู่คู่รักเบาๆ ทำให้เจ้ามูมู่เดินตาละห้อย นอนหมอบหันหน้าเข้ากับมุมห้องรออยู่ในกรง “กรร..” เสียงครางแผ่วของเจ้าเสือยักษ์พร้อมใช้ใบหน้าเข้ามาคลอเคลียตามตัวของหยดเทียนอย่างออดอ้อน “นี่แกเป็นห่วงฉันด้วยหรอ” ฝ่ามือสากลูบเข้าที่หน้าและใต้คางของเจ้ามีมี่ด้วยความเอ็นดูก่อนจะเอ่ยพูดราวกับมันฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง “วันนี้ขอบคุณพวกแกมากนะที่มาช่วยฉันไว้ เอาไว้วันหน้าฉันจะแอบพ่อบ้านเอากวางให้แกกินวันละสองตัวแล้วกันนะ” ทันทีที่พูดจบเบต้าก็ละฝ่ามือออกแล้วเสือสาวก็เดินอย่างเชื่องช้าเข้ากรงไป ก่อนที่หยดเทียนจะปิดประตูแล้วเดินสะบักสะบอมกลับบ้าน เมื่อนั่งรถมาถึงห้องเช่า หยดเทียนในสภาพอันร่อแร่เดินเข้าห้องแล้วหย่อนก้นพักบนเก้าอี้ทันทีด้วยความเจ็บปวดไปเสียทุกส่วนของร่างกาย หลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาล แม้คุณหมอจะสั่งให้เขานอนพักดูอาการที่โรงพยาบาลสักคืนสองคืน แต่ชายหนุ่มผู้หัวรั้นก็ดันทุรังจะกลับห้องพักให้ได้ คุณหมอที่หมดหนทางจะเกลี้ยกล่อมคนไข้จึงได้แต่จัดยาให้รับประทานตามอาการ และกำชับด้วยเสียงเข้มว่าหากอาการไม่ดีขึ้นให้รีบมาที่โรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ฝ่ายคนไข้ก็ตกปากรับคำอย่างดี “อาทิตย์หน้าก็สิ้นเดือนแล้ว เฮ้อ.. ในที่สุดก็พาน้ำมาอยู่ด้วยกันได้สักที” และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้หยดเทียนไม่ยอมนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล เพราะเขาต้องการเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ไว้ให้มากที่สุด เพื่อซื้อข้าวของย้ายเข้าห้องเช่าใหม่ แม้โรงพยาบาลที่ว่านั้นจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐบาลที่ตามหลักการแล้วไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยมีประสบการณ์เข้ารักษาฟรี โดยที่ไม่เสียเงินเลยสักกะครั้ง เบต้าหนุ่มนั่งพักหายใจทิ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยุงตัวลุกขึ้นไปอาบน้ำชำระร่างกาย เพราะรู้สึกว่าตอนนี้เปลือกตาเริ่มหนักลงเรื่อยๆ แม้ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ก้าวขาเดินแต่อย่างไรความสะอาดก็ต้องมาก่อนเสมอ เขาไม่สามารถทำใจนอนในสภาพที่เสื้อผ้าและเนื้อตัวมอมแมมเช่นนี้ได้ เพราะเกรงว่าตนจะนำสิ่งสกปรกโสมมพวกนี้ไปเลอะเตียงอันแสนนุ่มนิ่มของตนน่ะสิ ร่างสันทัดกะเผลกขาเดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นจึงทำการปลดเปลื้องเครื่องห่มกายจนร่างกายล่อนจ้อนดั่งตอนแรกเกิด ภาพเรือนร่างสีผึ้งที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวสะท้อนให้เห็นบนกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่กับกำแพงห้องน้ำ ทำให้ผู้ที่อยู่ยืนหน้ากระจกแสดงสีหน้าตกใจไม่คิดว่าตนเองจะโดนทำร้ายหนักถึงเพียงนี้ “ซี้ด.. ตอนเป็นกุ๊ยยังไม่เจ็บหนักเท่านี้เลย ดีนะที่หน้าไม่โดนไปด้วย” มือเรียวลูบไล้ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไร้รอยขีดข่วน มีเพียงมุมปากเท่านั้นที่บวมแดง จึงทำให้เขาโล่งใจไปบ้าง เพราะหากใบหน้าเต็มไปด้วยรอยช้ำคงไม่ง่ายนักที่จะอำพรางรอยแผล แต่หากเป็นส่วนอื่นของร่างกาย เขายังสามารถใส่เสื้อผ้าปิดทับรอยฟกช้ำพวกนี้ได้ เช้าวันต่อมาหยดเทียนตัดสินใจลาพักหนึ่งวันทั้งที่เมื่อวานมั่นใจว่า ยังไงวันพรุ่งนี้ตนก็สามารถลุกขึ้นไปทำงานได้ตามปกติแท้ๆ ทว่าเมื่อถึงตอนเช้าจริงๆ กลับรู้สึกหนักอึ้งราวกับก้อนหินก้อนใหญ่หล่นทับตัว ซ้ำร้ายยังมีไข้อ่อนๆ จึงจำเป็นต้องโทรศัพท์ลาพ่อบ้านไปหนึ่งวัน โดยให้เหตุผลว่าตนจำเป็นต้องไปงานประชุมผู้ปกครองของน้องชาย วันถัดมาหยดเทียนกลับมาทำงานตามปกติ แม้ร่างกายจะไม่อำนวยความสะดวกเท่าไหร่ก็ตาม แต่เรื่องเหล่านี้เขากลับคิดว่า ไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากพอจนต้องขอลางานเพิ่มอีกหนึ่งวัน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนมาจากการกระทำของตัวเขาทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องเรียกร้องค่าเสียหายหรือสวัสดิการคุ้มครองพนักงานใดๆ จากเจ้านาย เหตุด้วยการทะเลาะวิวาทไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่คนสวนที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว “พักกินมะม่วงกับผมก่อนไหมพี่” เรย์ที่นั่งกินมะม่วงจิ้มพริกดูคนพี่ยกจอบถางหญ้าด้วยท่าทีอ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็นึกสงสาร คิดว่านอนไม่เต็มอิ่มจึงชวนให้คนพี่เข้ามาพักก่อน หยดเทียนหยุดชะงักก่อนจะเอี้ยวตัวหันมาคุยโต้ตอบคนที่นั่งอยู่ในร่ม “เหลือไว้ให้ฉันด้วย อีกเดี๋ยวตรงนี้ก็เสร็จแล้ว” แม้ตอนนี้อยากจะทรุดตัวนอนมันเสียตรงนี้ แต่ทว่าเมื่อมองดูงานที่เหลือเพียงหยิบมือก็สู้อดทนทำให้มันเสร็จๆ ไปเสียตอนนี้เลยดีกว่า จะได้เอาเวลาที่เหลือไปนั่งพักยาวๆ ให้หนำใจ “เออๆ ถ้าไม่ไหวก็พักก่อนนะพี่ ท่าทางจะล้มหัวจิ้มพื้นอยู่แล้วนั่น” เมื่อลูกพี่ออกปากว่าไม่เป็นไร ซึ่งดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่เรย์ก็ไม่สามารถห้ามคนที่อายุมากกว่าได้ จึงได้แต่นั่งเคี้ยวมะม่วงเข็ดฟันคอยมองด้วยความเป็นห่วงไป จนกว่าลูกพี่จะยอมเข้ามาพักหรือไม่ก็เป็นลมไปก่อน แล้วตอนนั้นเขาสัญญาว่า จะรีบวิ่งไปลากขาพาตัวมานอนในร่มเอง เอย์จิชายผู้นั่งดูสถานการณ์หลังสวนและฟังบทสนทนา ระหว่างคนสวนและเด็กฝึกงานบนระเบียงสูงอย่างนึกแปลกใจในท่าทีของคนสวน ที่วันนี้ทำตัวราวกับเป็นโอเมก้าร่างแห้งแรงน้อย ทั้งที่ปกติแล้วทำงานรวดเร็วและอึดทนยิ่งกว่าอัลฟ่าบางคนเสียอีก สีหน้าท่าทางก็ดูแปลกๆ ซีดเผือดราวกับไม่มีเลือดไปเลี้ยง การแต่งตัวก็ยิ่งทำให้สงสัยไปกันใหญ่ ใส่เสื้อคอสูงกางเกงขายาวปิดมิดชิดตั้งแต่เท้าไปยันคอทั้งที่อากาศร้อนยิ่งกว่าอยู่ในเตาผิง ราวกับว่าเบต้าต้องการซ้อนร่างกายจากสายตาของคนอื่นอยู่อย่างไรอย่างนั้น ชายหนุ่มนั่งมองอย่างสนใจก่อนจะหรี่ตามุ่นคิ้วสงสัย เมื่อสายตาสะดุดกับรอยสีแดงตรงมุมปากที่เห็นไม่ค่อยชัดนัก เนื่องจากระยะห่างของเขาและลูกน้องนั้นไกลเกินกว่าสายตามนุษย์ที่สามารถมองเห็นรายละเอียดยิบย่อยบนร่างกายของอีกฝ่ายได้โดยชัด อัลฟ่าจึงไม่ได้ปักใจเชื่อความคิดเพียงเสี้ยววิ แล้วนั่งมองดูลูกน้องทำงานต่อไป หลังจากที่หยดเทียนทานอาหารกลางวันเสร็จ ร่างสันทัดก็หอบร่างอันอ่อนแรงมาที่สวนหลังเช่นเดิม ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งม้านั่งตัวประจำแล้วระบายลมหายใจด้วยความปวดเมื่อยร่างกาย สายลมเย็นพัดลอยมาตามอากาศ พัดกระทบเข้ากับร่างอันซีดเซียวที่ใบหน้าไม่ต่างอะไรกับคนขาดน้ำ ร่างน้อยรู้สึกวูบวาบทุกครั้งที่สายลมไหลผ่านกาย ทั้งที่อากาศตอนนี้ร้อนอบอ้าวจนแทบจะทอดไข่ให้สุกได้ แต่หยดเทียนกลับนั่งหนาวสั่น ราวกับกำลังนั่งเปลือยกายท่ามกลางฤดูหนาว เขาเลยต้องยกมือขึ้นมาแขนลูบของตัวเองเบาๆ “แค่ก! แค่ก!” มือข้างหนึ่งประกบปากในขณะที่ไอและมืออีกข้างประกบลงที่ท้อง เมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ซี่โครงซ้ายทุกครั้งที่ไอออกมา ร่างเล็กละฝ่ามือที่ประกบริมฝีปากออกจึงพบว่ามีลิ่มเลือดที่ติดปนออกมากับน้ำลายออกมา เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่หยดเทียนกลับไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดเพียงว่าเลือดที่ติดออกมาอาจจะเกิดจากด้านในช่องปากเป็นแผลจากการโดนต่อยก็ได้ จึงไม่แปลกนักหากเวลากระแอมไอจะมีเลือดปนออกมาด้วย หยดเทียนรีบเช็ดน้ำคัดหลั่งที่เปื้อนอยู่บนมือออก ก่อนจะระบายลมหายใจเย็นพลางเอนหลังพิงพนักพิงม้านั่ง “อ๊ะ!!” แต่ในขณะนั้น แผ่นหลังที่แตะลงกับแผ่นไม้ได้เพียงเล็กน้อยก็ต้องสะดุ้ง รีบเด้งตัวออกมาโดยเร็ว เพราะเพียงแค่หลังแตะแผ่นไม้เบาๆ ความเจ็บก็พุ่งจี๊ดวิ่งทั่วร่างกายจนน้ำตาเล็ด หยดเทียนจึงทำได้แค่นั่งหลังขดหลังแข็งหน้าละห้อย เพราะไม่สามารถนั่งพิงม้านั่งอันแสนสบายได้เช่นเดิม “มาทานขนมด้วยกันสิ” ไม่กี่สิบนาทีต่อมา นายท่านเจ้าของคฤหาสน์เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะหรูตัวประจำ พร้อมกับพ่อบ้านที่เดินถือถาดขนมและน้ำชาตามหลังมา แล้ววางสิ่งที่อยู่ในถาดไว้บนโต๊ะ ก่อนจะโค้งคำนับแล้วเดินออกไป “ไม่เป็นไร-” “มาเถอะ” “ครับ” ร่างสันทัดฝืนยิ้ม จำยอมพาร่างกายเดินเข้ามานั่งตามคำสั่งอย่างว่าง่ายไม่เหมือนก่อนหน้านี้ นั่นเพราะตอนนี้หยดเทียนเมื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ จนแทบสามารถนั่งหลับต่อหน้านายท่านได้ จึงคิดว่าเอาเวลาที่ต่อล้อล่อเถียงกับเจ้านาย มาตั้งสติคอยเตือนตัวเองไม่ให้หลับไปเสียก่อนจะดีกว่า หยดเทียนเอื้อมมือไปหยิบคุกกี้รสโปรดก่อนจะเอาเข้าปากบดเขี้ยวด้วยท่าทางเชื่องช้าราวกับว่าไม่ปรารถนาจะลิ้มรสคุกกี้ในตอนนี้ เอย์จินั่งคิดอย่างฉงนพร้อมเพ่งสายตามองฝ่ายตรงข้ามแล้วคิดในใจว่า บริเวณมุมปากของเบต้ามีรอยช้ำสีแดงจริงๆ ด้วย และระยะห่างเพียงเท่านี้ ทำให้เอย์จิเห็นทุกรายละเอียดบนร่างกายของอีกฝ่ายว่าเป็นเช่นไร “ไม่อร่อยหรอ?” เอย์จิวางแก้วน้ำชาลงบนจานรองก่อนเอ่ยขึ้น ร่างเล็กกว่าเหลือบตามองหน้าเจ้านายก่อนจะฝืนยกมุมปากยิ้ม “อร่อยสิครับ แต่เพราะผมเพิ่งทานอาหารเที่ยงมา เลยไม่ค่อยหิวเท่าไหร่น่ะครับ” อัลฟ่าหนุ่มพยักหน้ารับแล้วทำตามตัวตามปกติแม้จะไม่ได้เชื่อคำที่ลูกน้องตอบสักนิด แต่ด้วยท่าทางไร้แรงขยับตัว ทำให้เอย์จิไม่อยากซักถามอะไรให้มากความ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหมดแรงล้มพับไปเสียตรงนี้ก่อนแล้วจะยุ่งยาก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม