บรรยากาศร่มเย็นและแสนเงียบเชียบไร้เสียงรบกวน พาให้ร่างเล็กที่นั่งอมคุกกี้ในปากเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมา เปลือกตายืดแล้วยืดอีกทำให้อัลฟ่าหนุ่มที่นั่งมองอยู่ฝั่งตรงข้ามยกยิ้มด้วยความเอ็นดูปนขบขัน เอย์จิยกน้ำชาที่วางอยู่บนจานรองขึ้นจิบเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย
“กลืนขนมในปากก่อนค่อยนอน”
“..หะ ห้ะ!? ว่าไงนะครับ” เบต้าที่นั่งสัปหงกอยู่สะดุ้งขึ้นหลังจากเสียงเข้มของเจ้านายดังเข้ามาในโสตประสาท
“ฉันบอกว่า ขนมในปากเทียนน่ะกลืนได้แล้วเดี๋ยวจะติดคอ” ชายผู้เป็นเจ้านายยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีกระโตกกระตากราวกับโดนครูจับได้ว่าแอบหลับในคราบเรียน
“คะ ครับ” ว่าแล้วเขาก็เคี้ยวบดขนมที่โดนน้ำลายจนเปียกชุ่มอย่างอายๆ แล้วกลืนมันลงคอ แต่ทว่าเพราะหยดเทียนรีบกลืนขนมเร็วเกินไปทำให้คุกกี้จุกอยู่ที่คอกลืนไม่ลง จนต้องใช้มือทุบอกพร้อมกวักมือหาน้ำ ฝ่ายอัลฟ่าที่นั่งอยู่ในเหตุการณ์ถลึงตาด้วยความตกใจ คว้ากาน้ำชารินใส่แก้วอีกใบอย่างลุกลน แล้วรีบยกให้คนตรงหน้าดื่มแทนน้ำเปล่าทันที
หยดเทียนไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบคว้าแก้วน้ำชาราคาแพงกระดกดื่มอย่างไม่รีรอ เพราะความทรมานจากการขาดอากาศหายใจ กระทั่งหายใจโล่งคอจึงก้มหัวขอบคุณเจ้านาย
“ขอบคุณครับ” หยดเทียนว่าพร้อมวางแก้วน้ำชาลงอย่างเบามือ กลัวว่าตนจะทำแก้วน้ำชาราคาแพงแตก ก่อนจะยกมือนวดต้นคอเบาๆ เพราะเมื่อครู่เขารีบเงยหน้าดื่มน้ำเร็วเกินไปจนลืมว่า ตนบาดเจ็บช่วงหัวไหล่ไล่มาถึงบริเวณต้นคอ จึงทำให้ตอนนี้บริเวณดังกล่าวรู้สึกปวดหนึบขึ้นมา
“เทียนกลับไปพักเถอะ” เอย์จิที่คอยสังเกตท่าทางของลูกน้องมาทั้งวัน ก็นึกสงสารจึงออกคำสั่งให้คนสวนกลับไปพักผ่อนเสีย เพราะดูจากใบหน้าที่เริ่มซีดลงเรื่อยๆ แล้ว อีกไม่นานก็คงจะเป็นลมล้มพับอยู่ตรงนี้ มันจะลำบากเอา
“ผมก็ว่าจะขอนายท่านกลับเหมือนกันครับ งานวันนี้ก็เสร็จแล้วด้วย” ว่าจบก็ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นอย่างระแวดระวัง
เรียวคิ้วเข้มเป็นทรงขมวดเข้าหากันนึกแปลกใจ เมื่อจู่ๆ ลูกน้องที่มักเถียงหัวชนฝาก็ว่าง่ายขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่ทว่าก็ไม่ได้ถามออกไป ด้วยกลัวจะเสียฟอร์มเพราะตนเป็นคนบอกให้ลูกน้องกลับบ้านไปพักผ่อนเอง
ชายหนุ่มวางแก้วน้ำชาในมือลงก่อนจะลุกขึ้นแสดงใบหน้ายิ้มแย้ม แสร้งว่าเป็นเจ้านายแสนดีที่ลูกน้องอย่างหยดเทียนไม่ได้คล้อยตามสักนิด
“ขอบคุณเทียนมากนะวันนี้ กลับบ้านดีๆ ล่ะ” เขาไม่ว่าเปล่า เอื้อมมือประดับเส้นเลือดตบไหล่ร่างที่เตี้ยกว่าเบาๆ เพื่อแสดงความเป็นมิตรอย่างไม่ถือตัว โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าแววตาของลูกน้องเลยว่า ทุกครั้งที่ฝ่ามือตบลงบนไหล่ทีไร ร่างเล็กก็จะสะดุ้งพลางย่นไหล่ข้างที่เจ็บลงเรื่อยๆ เพื่อหนีจากฝ่ามือทุกครั้ง
‘เลิกตบไหล่สักทีเถอะ ผมจะตายแล้ว’
ท้ายที่สุดด้วยความทนเจ็บไม่ไหวเพราะอีกฝ่ายตบย้ำๆ บริเวณที่ฟกช้ำอย่างไม่รู้ตัว หยดเทียนจึงต้องถือวิสาสะรีบยกมือทั้งสองข้างจับลำแขนแกร่งของนายท่านไว้ ก่อนมันจะสัมผัสไหล่ของเขาอีกครั้ง แล้วก้มหน้างุดเพราะรู้ดีกว่าการกระทำเช่นนี้นั้นเสียมารยาท
“ฉันขอโทษ” ท่าทีของคนสวนทำให้เอย์จิต้องขมวดคิ้วอีกแล้ว เขาจึงถดมือกลับ
“งะ งั้นผมขอตัวนะครับ” เขาโน้มศีรษะลงเคารพแล้วหันหลังเดินออกไป พร้อมกับยกมือขึ้นจับหัวไหล่บริเวณที่เจ็บทันที ด้วยตอนนี้รู้สึกเหมือนว่ามันเจ็บจนขยับกล้ามเนื้อไหล่ลำบากมากขึ้น ทั้งยังการขยับเริ่มรู้สึกติดขัดขึ้นมาแล้ว
“เทียนเป็นอะไรหรือเปล่า” เพราะทนความสงสัยไม่ไหว ที่คนสวนทำตัวราวกับเจ็บปวดร่างกายอยู่ตลอดเวลา จึงต้องถามออกไปตรงๆ และก็หวังว่าหยดเทียนจะตอบเขากลับมาตรงๆ เช่นกัน
ใบหน้าซีดรีบหันมาสนทนากับนายท่านทันทีหลังจากหยุดชะงักเพราะเสียงของเจ้านายเอ่ยรั้งเขาเอาไว้เมื่อครู่
“เปล่าหนิครับ ผมสบายดี แค่คอนอนตกหมอนเมื่อคืนน่ะครับ” น้ำเสียงแผ่วท้ายรีบปฏิเสธด้วยสายตาอันล่อกแล่กกลัวโดนเจ้านายจับได้ แต่หยดเทียนจะรู้หรือไม่ว่าทั้งสีหน้าและน้ำเสียงที่เปล่งออกมา ล้วนแต่ไม่น่าเชื่อถือทั้งหมด
“ตอบฉันมาตรงๆ เถอะ ถ้าฉันรู้เองเทียนจะลำบาก” เอย์จิชักเริ่มหงุดหงิดเพราะโดนโกหกราวกับตนเองเป็นคนโง่ที่ไม่ว่าใครจะโกหกอะไรก็เชื่อฟังได้ง่ายๆ
“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ..” เสียงแหบแห้งเริ่มเบาลงตามลำดับ เมื่อเงยมองใบหน้าที่เริ่มไม่ยิ้มแย้มเหมือนแต่ก่อนก็รู้สึกครั่นคร้ามในใจขึ้นมา
“ผมมีเรื่องกับคนงานนิดหน่อยครับ.. แต่เคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว” ท้ายที่สุดก็ทนความกดดันไม่ไหว เสียงเบากลัวโดนตำหนิเปล่งออกมาอย่างคนถูกบังคับ ไม่กล้าต่อปาก ไม่กล้าเฉไฉออกไปเรื่องอื่น
“พูดต่อสิเงียบทำไม” น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยสวนขึ้นมาเมื่อจับได้ว่ายังมีรายละเอียดบางส่วนที่ถูกริมฝีปากน้อยๆ กลบเอาไว้อยู่
สายตาสั่นเดี๋ยวเงยเดี๋ยวก้มไม่กล้าสบตา อยากตะโกนออกไปจริงๆ ว่าถ้าอยากให้พูดต่อก็เลิกมองเขาด้วยสายตาน่ากลัวเสียที หากนายท่านยังส่งความกดดันมาให้ถี่ๆ อยู่เช่นนี้ เขาก็ไปไม่ถูกน่ะสิ!
“ละ แล้วผมก็บาดเจ็บนิด-”
“ฉันขอความจริง” ราวกับว่าอัลฟ่าเป็นเครื่องจับเท็จอย่างนั้นแหละ ถึงได้รู้ไปซะทุกเรื่องว่าคนที่ยืนก้มหน้ากำลังจะโกหกอะไรบางอย่างอยู่
ท้ายที่สุดหยดเทียนก็จำใจบอกเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องให้แก่เจ้านายฟัง เล่าไปก็ผวาไปว่าจะโดนไล่ออกหรือเปล่า ถึงแม้ครั้งนี้จะเป็นความผิดครั้งแรกที่โดนนายท่านจับได้ก็เถอะ หากไม่นับเรื่องวิวาทเล็กๆ น้อยๆ ที่พ่อบ้านไม่ได้รายงานนายของบ้านหลังนี้ แต่ความผิดครั้งแรกก็ช่างเป็นเรื่องที่ร้ายแรงนัก เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว นายท่านยังจะเอาเขาไว้หรือเปล่านะ..
หลังจากที่เบต้าเล่ารายละเอียดให้ผู้เป็นนายฟังทั้งหมด โดยที่ไม่มีคำโกหกปะปนสักประโยค เอย์จิก็นิ่งเงียบไปเสียดื้อๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ใบหน้าแสนคมคายที่ปกติมักมีรอยยิ้มอยู่เสมอ มาตอนนี้กลับกลายเป็นใบหน้าที่เรียบนิ่งเดาความคิดไม่ออกไปเสียแล้ว ส่งผลต่อความรู้สึกของร่างเล็กต้องยืนตั้งหน้ารับแรงกดดันที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นมา จนแทบขยับหนีไปไหนไม่ได้
“ตามฉันมา”
ยังไม่ทันได้เอ่ยถามคำถามใดๆ ร่างสูงใหญ่ก็หันหลังเดินจากไปเสียแล้ว พร้อมทิ้งท้ายกับคนที่ยืนอยู่ด้านหลังให้เดิมตามมา ทันทีที่ร่างนิ่งค้างได้ยินคำสั่งก็กระตือรือร้นกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป เขาเดินตามร่างสูงท่วมท้นตัวเองไปหลายเซนติเมตรพลางผวาในใจ กลัวว่านายท่านจะพาเขาลงไปเชือดทิ้งที่ห้องใต้ดินเป็นการลงโทษที่บังอาจขัดคำสั่ง
แต่ใช่ดั่งที่หยดเทียนคิดเสียที่ไหนล่ะ เพราะห้องที่เจ้านายพามาคือห้องทำงานต่างหาก หาใช่ใต้ดินหรือห้องลึกลับไม่
เบต้าเอื้อมมือปิดประตูเบาๆ ไม่ให้เกิดเสียงรบกวน แล้วเดินเข้ามาหยุดที่เบื้องหน้าร่างที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา
“ถอดเสื้อออก”
“ครับ!? ถะ ถอดเสื้อ!” หยดเทียนชักสีหน้าตกใจ เป็นบ้าหรืออย่างไรถึงสั่งให้เขาถอดเสื้อ แม้เป็นเจ้านายก็ใช่ว่าจะออกคำสั่งได้ทุกอย่าง ถึงเขาไม่ใช่โอเมก้าแต่ก็อายเป็นเหมือนกันนะ!
“ฉันไม่พูดซ้ำ ..หรือจะให้ฉันถอดให้” เสียงเย็นตอกย้ำทำให้ร่างสันทัดทำตามคำสั่งอย่างไม่มีข้อกังขา ทั้งยังทำท่าจะลุกขึ้นมาถอดเสื้อผ้าให้ด้วย ยิ่งทำให้เบต้ากระโตกกระตากหน้าแดงไปใหญ่
“ไม่ต้องครับ! ผะ ผมถอดเอง” เสียงใสรีบตะโกนตอบเสียงหลงกลัวว่าเจ้านายจะเข้ามาถอดให้จริงๆ หยดเทียนเม้มริมฝีปากแน่น สูดลมเข้าปอดทำใจก่อนจะเริ่มถอดเสื้อที่สวมอยู่ออกด้วยความประหม่าและทุลักทุเลเพราะขยับแขนขึ้นลงลำบาก
เอย์จินั่งมองเรือนร่างที่เหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวบางและกางเกงขายาวที่อยู่บนปิดท่อนล่าง เผยให้เห็นต้นแขนและต้นคอสีน้ำผึ้งที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำเป็นจ้ำๆ ดูแล้วคงเจ็บระบมพอสมควรก็ชวนให้ขึ้นมาหัวใจร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
“ถอดเสื้อกล้าม- ไม่ต้องก็ได้” มันจะเกินไปหน่อย หากสั่งให้คนที่เพิ่งคุ้นเคยกันเปลือยท่อนบนให้ดู
“หันหลังสิ”
“คะ ครับ”
เอย์จิแทบอยากกุมขมับเมื่อเห็นรอยที่โผล่ออกมานอกร่มผ้าบริเวณหลัง รอยฟกช้ำหลากสีที่สลักเป็นทางยาว เหมือนมีคนเอาของแข็งมาฟาดเข้าอย่างจัง นี่ยังไม่นับแผลที่อาจจะหนักหนามากกว่านี้ที่อยู่ภายใต้เสื้อกล้าม เขานับถือใจลูกน้องคนนี้จริงๆ ที่โดนทำร้ายร่างกายหนักถึงขนาดนี้แต่กลับทนเจ็บแล้วกลับมาทำงานต่อได้
“สวมเสื้อได้หรือยังครับ” ร่างเพรียวเอ่ยด้วยความรู้สึกอายเพราะไม่เคยใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นให้ใครดูแบบโจ่งแจ้งมาก่อน
“ยังก่อน” น้ำเสียงทุ้มแฝงความเป็นห่วงเอ่ยขึ้นเบาก่อนที่จะดันตัวลุกขึ้น ก้าวฝีเท้ายาวเดินเข้าไปหยิบหลอดยาที่ใช้ทาแผลฟกช้ำในลิ้นชักโต๊ะ แล้วเดินเข้ามาประชิดแผ่นหลังเล็กที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่
นิ้วเรียวยาวแตะสัมผัสลงแผ่นหลังบริเวณที่เป็นสีช้ำอย่างเบามือ ทำให้เจ้าของเรือบร่างเบิกตาตะลึงลาน เมื่อรู้สึกถึงปุ่มเนื้อที่สัมผัสตัว
“อ้ะ! ” ทันทีที่เสียงเล็กหลุดออกมาจากปาก ฝ่ามือทั้งสองข้างก็รีบยกครอบปิดริมฝีปากอย่างเขินอายทันทีเพราะตนดันปล่อยเสียงแปลกๆ ออกมา
เอย์จิยกมุมปากด้วยอารมณ์ลุ่มลึก ก่อนจะหันมาสนใจแผ่นหลังเนียนต่อ
“ทะ ทำอะไรน่ะครับ” ถัดมาไม่กี่วินาทีเขาต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อไม่ได้มีเพียงปุ่มนิ้วเท่านั้นที่สัมผัสแผ่นหลัง เพราะตอนนี้เขารับรู้ถึงความอุ่นของผิวเนื้อที่ลากไล้เจลเย็นไปมาตามแผลที่ช้ำเขียวในขณะที่นายท่านยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ด้วยความอยากรู้ว่าเจ้านายทำอะไรจึงพยายามเอี้ยวหน้าหันไปดูสุดคอ แต่กระนั้นก็ไม่เห็นอยู่ดี
“อยู่นิ่งๆ ฉันไม่ทำให้เทียนเจ็บเพิ่มหรอก” ชายหนุ่มทั้งว่าทั้งขยับนิ้วทาเจลสีใสลงบนผิวเนื้อต่อ
“ตั้งแต่เทียนมาทำงานที่นี่ ยาในกล่องฉุกเฉินของฉันก็ได้ใช้บ่อยขึ้นมากเลยนะ ทั้งที่ปกติฉันแทบจะไม่ค่อยเปิด”
“ฮะๆ” เบต้าหัวเราะแห้งแก้ไปตามสถานการณ์ มันควรเป็นเรื่องที่เขาต้องดีใจใช่ไหมที่ได้ใช้ยาราคาแพง
“เลิกเสื้อของเทียนขึ้น ฉันจะทาแผลด้านในด้วย”
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับเดี๋ยวผมทาเอง” หยดเทียนว่าพลางเอี้ยวใบหน้าเล็กน้อยพอให้เห็นแก้มแดง เพื่อคุยกับเจ้านาย
“ทาเองได้ที่ไหนล่ะ” เอย์จิถอนหายใจ เขาไม่ควรขอความร่วมมือจากอีกฝ่ายสินะ
“นายท่าน!” ร่างเล็กตาเบิกกว้างทันทีเมื่อชายเสื้อด้านหลังถูกเลิกขึ้นโดยมือของเจ้านาย เผยให้เห็นทรวดทรงองค์เอวที่ไม่ได้เล็กคอดเหมือนโอเมก้ามากเท่าไหร่ แต่ทว่าก็ไม่ได้ตรงทื่อแลดูมีความกล้ามเนื้อเฉกเช่นอัลฟ่าขนาดนั้น จะว่าอย่างไรดี ..ดูเหมือนจะพอดีกับมือเอย์จิทั้งสองข้างกระมัง
แผ่นหลังเปลือยเปล่าสั่นสะท้านทั้งเย็นทั้งร้อนในเวลาเดียวกัน ยามเรียวนิ้วลูบลากเจลต่ำลงจนถึงบริเวณเอวทีไรร่างกายก็มักจะขยับหนีเพราะจั๊กจี้ จนร่างโตเผลอใช้มือข้างที่เกี่ยวชายเสื้อให้เลิกขึ้นไว้รวบกับกำคอไม่ให้อีกฝ่ายขยับหนี แล้วรีบบรรจงทายาอย่างใจสั่นไม่แพ้กัน
“ใส่เสื้อได้แล้ว” เมื่อทายาเสร็จทั่วทุกมุมของแผ่นหลัง เอย์จิถอยหลังออกห่างจากร่างเล็กกลับไปนั่งยังเก้าอี้ทำงานอย่างเร็ว แล้วสั่งให้ลูกน้องใส่เสื้อกลับดังเดิม
บัดนี้ร่างกายของหยดเทียนไม่รู้สึกอะไรเลย นอกจากความเย็นจนชาทั้งแผ่นหลังจากฤทธิ์ยาแก้แผลฟกช้ำ แต่กระนั้นก็ไม่กล้าปริปากบ่นให้เจ้านายฟัง
“ฉันจะให้พ่อบ้านพาเทียนไปหาหมอแล้วไปส่งที่บ้าน นับแต่นี้จนกว่าอาการของเทียนจะดีขึ้น ฉันไม่อนุญาตให้เทียนมาทำงาน ..แล้วก่อนจะไปหยิบยาตรงนั้นไปด้วย” นายท่านผู้สูงศักดิ์นั่งทำหน้าดุกว่าปกติ ก่อนจะหันเก้าอี้ออกไปมองด้านนอกระเบียงเมื่อจู่ๆ หัวใจก็เต้นผันผวนขึ้นมาอีกครั้ง
“ครับ..นายท่าน” เบต้าตอบรับพลางงุดหน้าลงกับพื้น ยืนนิ่งไม่ออกไปไหนเพราะยังคงขับข้องใจ ว่าที่นายท่านไม่ให้บทลงโทษ แสดงว่าเขาจะโดนไล่ออกใช่ไหม
ฝ่ามือชื้นเหงื่อทั้งสองข้างประสานอยู่ข้างหน้าจิกกัดขยุกขยิกกัน จนเอย์จิที่หันเก้าอี้กลับมาอีกครั้งชักสีหน้าฉงนเพราะคิดว่าลูกน้องเดินออกไปตั้งนานแล้วเสียอีก
“ไปได้แล้ว”
“คะ คือนายท่านจะลงโทษผมหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้นอย่างคนกลัดกลุ้มใจ
เอย์จิถอนหายใจเหนื่อยก่อนโต้ตอบ “เจ็บขนาดนี้ยังไม่พออีกเหรอ ถึงอยากให้ฉันลงโทษเทียนอีก”
หยดเทียนเงยหน้าขึ้นสบกับเจ้านายแล้วส่ายหน้าพึ่บพั่บ
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับแค่ถามเพื่อความสบายใจ” เสียงท้ายประโยคอ่อนลงไปจากเดิมก่อนริมฝีปากบนจะถูกขบจนเป็นรอยแดง
ใบหน้าที่แสดงถึงความไม่สบายใจของลูกน้องเด่นชัดขึ้นมาในดวงตาคม ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่า ผู้ที่ทะเลาะวิวาทกันทั้งสองฝ่ายจะต้องได้รับบทลงโทษตามกฎของคฤหาสน์ เพียงแต่จะหนักเบาไม่เท่ากัน แต่ในกรณีนี้เอย์จิคิดว่า จะลงโทษคนสวนก็ต่อเมื่อรักษาเนื้อตัวหายดีแล้ว แต่ในเมื่ออยากได้บทลงโทษนัก เขาก็จะจัดบทลงโทษที่เหมาะสมให้ก็แล้วกัน
“เอาเถอะ ฉันสั่งพักงานเทียนสักเดือนหนึ่งและหักเงินเดือนเดือนหน้าครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน”
“ครับ..” เขายอมรับแต่โดยดี เพราะอย่างน้อยบทลงโทษที่ได้ก็ไม่ใช่การโดนไล่ออก เบต้าว่าแล้วก็โน้มตัวเคารพก่อนจะรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าแล้วเดินออกไป
เอย์จิปล่อยแผ่นหลังเหยียดลงพนักพิงพลางถอนหายใจอีกรอบ คิดให้ถี่ถ้วนว่าตนลงโทษลูกน้องเบาไปหรือเปล่า เพราะแทนที่จะเรียกว่าสั่งพักงานควรเรียกว่าสั่งไปพักฟื้นร่างกายน่าจะถูกกว่า
แต่ถึงอย่างไรในตอนนี้เอย์จิก็ยังไม่รู้ความเป็นจริงทั้งหมด และยังคงไม่ปักใจเชื่อฝ่ายใดฝ่ายเดียว เขาคงต้องรอให้เรื่องทั้งหมดกระจ่างจากหลักฐานที่สั่งให้พ่อบ้านไปหามา แล้วค่อยซักคำสารภาพจากทั้งสองฝ่ายว่าตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่ ถ้าหากคำตอบคือไม่ เขาคงต้องสั่งลงโทษฝ่ายที่ทำความผิดตามความจริงซึ่งไม่ใช่แค่ถูกสั่งพักงานแน่นอน