**คำเตือน: เนื้อหาในตอนนี้(ทุกตอนไปเลยจ้าแม่)อาจมีคำไม่สุภาพ โปรดใช้จักรยาน(วิจารณญาณ)คันที่ชอบด้วยนะคะ**
แกรก...แกรก...แกรก
เสียงจอบถากหญ้าเคลียร์หน้าดินเพื่อทำแปลงดอกไม้ดังต่อเนื่องกันมานานหลายชั่วโมง ตั้งแต่เช้าจวบจนจะเที่ยงก็ยังไม่หยุด หยดเทียนปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามขมับพลางเงยหน้าหรี่ตาดูพระอาทิตย์เพื่อดูเวลา ปรากฏว่าดวงตะวันดวงโตกำลังเคลื่อนที่มาจ่อผิวเหนือศีรษะของเขาแล้ว หยดเทียนจึงตัดสินใจหยุดงานลงเพื่อพักเที่ยงก่อน
“พักหน่อยดีกว่า” คนสวนว่าพลางพิงจอบคู่ใจไว้ข้างต้นไม้ก่อนจะนั่งลงพักที่ม้านั่ง เขาหยิบหมวกที่สวมอยู่บนศีรษะมาพัดวีสร้างลมเพื่อระบายความร้อน แม้จะช่วยไม่ได้มากเท่าไหร่ก็ตาม
หยดเทียนนั่งพักได้ไม่นานก็จำต้องลุกขึ้นไปทำงานที่อยู่ในความรับผิดชอบอีกหนึ่งงาน นั่นก็คือการให้อาหารสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของนายท่านนั่นเอง เบต้าหนุ่มเดินลัดเลาะผ่านพุ่มไม้ไปที่กรงแล้วเปิดประตูเหล็กที่ขังเจ้ามูมู่กับมีมี่ออก เพื่อปล่อยให้เสือทั้งสองตัวออกไปล่าอาหารเองในวันนี้ จากนั้นเขาจึงวนกลับมาเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวัน
“วันนี้บ้านเงียบแปลกๆ” คนสวนชักสีหน้าสงสัยทันทีที่ก้นนิ่มสัมผัสกับพื้นลายหินอ่อน
“จะไม่เงียบได้ไงพี่ เมื่อเช้านายท่านขนลูกน้องไปไหนก็ไม่รู้ตั้งเยอะ ฉันว่าต้องเป็นงานสำคัญมากแน่ๆ ไม่อย่างนั้นพ่อบ้านไม่ตามไปด้วยหรอก” เรย์ทั้งเอ่ยทั้งเคี้ยวอาหารไปด้วยอย่างเอร็ดอร่อย
“ไม่น่าล่ะเงียบเชียบเชียว” หยดเทียนว่าพลางก้มหน้าทานอาหารต่ออย่างไม่ได้สนใจ ว่าใครจะไปไหนมาไหน เพราะยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาอยู่แล้ว เจียดเอาเวลาที่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของเจ้านายไปทำอย่างอื่นเห็นจะเป็นประโยชน์กว่าตั้งเยอะ
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ หยดเทียนก็เดินตบพุงป่องด้วยความอิ่มแปล้ มายังท้ายคฤหาสน์เพื่อทำงานที่ค้างคาให้เสร็จ
“นี่มันต้นอะไรวะ! ทรงอย่างกับถั่วงอก”
“นั่นสิลูกพี่ ไม่ใช่ว่ามันเอาถั่วงอกมาปลูกจริงๆ หรอกนะ”
“มันจะโง่เอาผักมาปลูกในนี้เลยหรอวะ ถ้าอยากแดกก็แค่ไปเปิดเอาในตู้เย็นก็ได้แล้ว”
“ก็มันโง่จริงๆ นี่พี่!”
เสียงดังอึกทึกของคนจำนวนหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหูในขณะที่เบต้ากำลังเดินไปที่สวนหลังบ้าน ร่างสันทัดขมวดคิ้วนึกสงสัยว่าใครมันกล้าเข้ามาคุยกันเสียงดังที่นี่ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าตอนนี้สวนหลังบ้านกลายเป็นสถานที่พักผ่อนประจำตัวของนายท่านไปแล้ว คนงานในบ้านส่วนใหญ่จึงไม่กล้าย่างกรายเข้ามา เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพ่อบ้านและนายท่าน
“ทำงานชุ่ยๆ แบบนี้ได้ไงวะ อุตส่าห์ลงทุนจ้างตั้งหลายหมื่น แบบนี้ให้ไอ้ซอทำแทนดีกว่าม้าง!” เสียงทุ้มเข้มของหัวโจกคู่อริดังขึ้นแล้วเสียงหัวเราะของลูกสมุนก็ดังตามมา ก่อนที่อีกไม่นานมันจะทำการหยามหน้าโดยการทิ้งต้นอ่อนที่เด็ดขึ้นมาลงบนพื้น แล้วใช้เท้าเหยียบซ้ำๆ ลงบนพื้นแปลงดอกไม้จนบี้แบนไม่เหลือชิ้นดี
คนสวนที่เห็นเหตุการณ์เต็มสองตาก็พลางโมโหจนเลือดขึ้นหน้า บังอาจนักมาทำเช่นนี้กับของรักที่เพาะพันธุ์มานานนับเดือน พวกมันคงแค้นที่โดนเขาเล่นงานไปถึงสองครั้งสองครา ถึงได้อาศัยจังหวะเวลาที่บ้านเงียบไม่มีผู้คนเดินตรวจตราเช่นวันอื่น แล้วลอบเข้ามาแก้แค้นอย่างที่พวกหมาหมู่มันชอบทำ
แต่แทนที่เบต้าจะหลบหลีกเพื่อเอาตัวรอด เขากลับเลือกทำสิ่งที่ตรงกันข้ามด้วยความบันดาลโทสะที่โดนทำลายข้าวของที่เฝ้าทะนุถนอมเป็นเวลานานพังจนไม่เหลือเค้าเดิม และบัดนี้เบต้าไม่สนถูกสนผิดอะไรอีกแล้ว
หยดเทียนเดินปรี่เข้าไปผลักคำผู้เป็นหัวโจกเต็มแรง ทำให้มันเซไปด้านหลังเล็กน้อย
อัลฟ่าหนุ่มหยั่งเท้าตั้งหลักก่อนจะยิ้มเยาะอย่างพอใจ เพราะในที่สุดคู่แค้นของมันก็โผล่หัวมาเสียที
“เฮ้ย! มึงทำไรวะ!” ยูมผลักไหล่ของหยดเทียนเช่นที่เขาผลักลูกพี่ตนอย่างแรง พร้อมกับลูกสมุนคนอื่นที่เริ่มกระจายตัวเข้ามาล้อมตัวเบต้าไว้ทุกด้าน จนร่างเล็กไร้ทางหนี
“กูสิต้องถามพวกมึง! ว่างนักหรือไงถึงได้มาทำลายแปลงดอกไม้คนอื่น!” แม้ตัวจะเล็กและสูงเพียงคางของอีกฝ่าย แต่กระนั้นก็ยังเชิดหน้าเขม็งตาด่าอย่างไม่เกรงกลัว
“อ้าว!? แปลงดอกไม้หรอกหรอ กูนึกว่าหมามันมาขุดหาหลุมขี้ซะอีก” ว่าแล้วพวกมันก็หัวเราะชอบใจ
“หมามันขุดหลุมฝังกุ๊ยอย่างพวกมึงน่ะสิไม่ว่า”
เบต้ากอดอกถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ
“กูขอถามหน่อยเถอะ ใครเขากล้าเอาพวกมึงมาเป็นบอดี้การ์ดวะ! แม่งโง่ฉิบหาย! ทั้งความคิดทั้งการกระทำไม่ต่างอะไรจากพวกอันธพาลหน้าเมรุเลยว่ะ ถุ้ย! พูดมาแล้วกูสมเพช!” หยดเทียนยืนเท้าเอวด่ากราดอย่างไม่ยั้งปากก่อนจะถุยน้ำลายใส่รองเท้าราคาแพงของอัลฟ่าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทว่าด้วยทิฐิที่สูงเกินเอื้อมมีหรือจะยอมก้มหัวขอโทษ กลับเงยหน้าส่งสายตาเย้ยหยันแทน
เพียงเท่านั้นแหละ! เส้นเลือดใหญ่ก็เริ่มปูดนูนขึ้นข้างขมับด้วยความโกรธ กล้าดียังไงถึงได้ถ่มน้ำลายใส่รองเท้าลูกรักที่เฝ้าเก็บเงินหลายเดือนให้มันเปื้อนคาว หากวันนี้ไม่ได้เลือดมาชำระล้างน้ำลายเขาจะไม่ยอมหยุดแน่!
“พวกมึงออกไป” เสียงแข็งกระด้างออกคำสั่งให้ลูกน้องที่ล้อมหน้าล้อมหลังไอ้เด็กเหลือขอนี่ออกไปให้หมด ก่อนที่มันจะหักนิ้วเสียงดังกร๊อบแกร๊บเดินเข้ามาหมายจะมาซัดหน้าอีกฝ่ายให้หายเคือง
“วันนี้มึงไม่รอดแน่ๆ อย่าคิดเลยว่าจะมีใครมาช่วย”
“หึ! กุ๊ยสมคำที่กูว่าจริงๆ”
เมื่อเห็นท่าว่าตนต้องโดนต่อยแน่ๆ จึงจ้องมองท่าทางของศัตรูเอาไว้อย่างไม่วางตา คอยสังเกตทุกๆ ท่วงท่าว่ามันจะออกหมัดหรือยกขาเตะมาเมื่อไหร่ เขาจะได้ป้องกันและหาช่องโหว่โต้มันกลับถูก
ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นไม่เกรงกลัวผู้ใด แต่กระนั้นในใจกลับรู้สึกหวั่นไหว เมื่อถึงตระหนักพละกำลังที่แตกต่างและพรรคพวกที่ตนไม่มี ซ้ำร้ายวันนี้นายท่านและพ่อบ้านก็ไม่อยู่ให้พึ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องรีบคิดหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด
แต่ทว่าจะหนีได้ก็ต่อเมื่อกระโดดซัดหน้ามันได้สักหมัดสองหมัดแล้วนะ..
“หึ! อย่าหนีสิวะ ให้สมกับปากมึงหน่อย” คำยกยิ้มมุมปาก คิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าทุกอย่างจึงทำให้อีกฝ่ายกลัวจนร่นถอยหนี มันมั่นใจในความสามารถของตัวเองนักหนา ว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะกระทืบอีกฝ่ายให้จมดิน
แต่!
ผลัวะ!
เป็นหยดเทียนที่ปล่อยหมัดดับความมั่น เพราะรู้ว่าหากยอมให้อีกฝ่ายเปิดก่อน เขาจะไม่สามารถตั้งหลักขึ้นโต้ตอบได้ ฉะนั้นการเปิดก่อนด้วยหมัดที่อัดเต็มแรงจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เขาคิดออกในตอนนี้แล้ว
“หมัดมึงหนักเหมือนกันนะไอ้หนู ผลัวะ!”
และเป็นอย่างที่คิดเพราะยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าหนี อีกฝ่ายก็รุกหมัดเข้ามาเต็มๆ มุมปากจนคนสวนเซถลาล้มลงบนพื้น ความเจ็บแสบแล่นไปทั่วร่างกายราวกับโดนไฟฟ้าช็อต จนทำให้เขาหูอื้อและชาไปทั้งตัวชั่วขณะ ไม่รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่ซิบออกจากมุมปากสักนิด
‘อ่า...เจ็บฉิบหาย’
ร่างที่ล้มอยู่บนพื้นรีบตบขมับเรียกสติ ก่อนจะรีบกวาดกำเอาดินร่วนให้เต็มมือแล้วออกแรงปาใส่ใบหน้าของศัตรูที่รุกเข้ามาใกล้เต็มแรง จนมันหลับตาปี๋ร้องโอดโอยด้วยความแสบและระคายเคือง นั่นจึงพอซื้อเวลาให้หยดเทียนพยุงร่างกายขึ้นมาตั้งหลักก่อนที่มันจะปรี่ตัวเข้ามาอีกครั้ง
“ไม่ต้อง!!”
คำยกมือปรามลูกน้องที่กำลังวิ่งเข้ามาช่วยหลังจากที่เห็นว่าลูกพี่กำลังเสียท่า แต่กระนั้นไอ้คำมันยังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่บ้าง จึงส่งสัญญาณห้ามไม่ให้ลูกสมุนเข้ามารุมคู่ต่อสู้
“มึงจะเล่นแบบนี้ใช่ไหม!” เสียงตะคอกดังกราวด้วยความโกรธดังเป็นสัญญาณเตือนอันตราย ก่อนมันจะเดินไปฉุดกระชากเอาท่อนไม้ที่เบต้าใช้ปักทำรั้วมาหักเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย แล้วถือเป็นอาวุธ
ร่างเล็กยืนหอบหายใจถี่พลางกวาดตาหาหนทางหนีอย่างลุกลน เพราะในตอนนี้ลำพังตนคนเดียวไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้แน่ๆ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็ล้วนเจอแต่ความสิ้นหวัง เพราะด้านหลังที่ห่างออกไปสองเมตรคือกำแพงสูงตระหง่านที่แบ่งอาณาเขตระหว่างสวนและโรงอาหารไว้ ส่วนฝั่งซ้ายและขวาต่างก็มีลูกน้องของคู่อริยืนดักไว้ไม่ให้หนี
ขวับ!
คำใช้ท่อนไม้ฟาดลงหมายให้โดนตัวของร่างเล็ก แต่เพราะเขาหลบออกมาด้านข้างได้ทัน จึงทำให้มันชักสีหน้าไม่พอใจมากกว่าเดิม
“เก่งนักก็อย่าหลบสิวะ!”
“ไม่หลบกูก็เจ็บสิวะไอ้โง่!”
อัลฟ่าหนุ่มขบกรามจนเป็นสันแล้วง้างแขนจะฟาดลงมาอีกครั้ง หยดเทียนยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันและคิดว่าตนสามารถหลบวิถีการฟาดของอีกฝ่ายได้ง่ายๆ แต่ทว่ามันดันไม่เป็นเช่นที่เขาคิด
“อึ๊บ!! โอ๊ยแม่ง!” เบต้าล้มหน้าคะมำพื้นเพราะดันถอยหลังไปเตะรากไม้แห้งเข้าเต็มเท้า แต่ก็ยังนับว่าไม่สิ้นโชคเพราะท่อนไม้ที่หมายชีวิต ลอยผ่านหน้าผ่านตาเขาไปอย่างหวุดหวิดจนแอบใจหาย
แต่ในความโชคดีก็มักนำพาโชคร้ายตามมาด้วยเสมอ เนื่องด้วยบัดนี้หยดเทียนล้มลงบนพื้นแล้ว และไม่มีเวลาพยุงตัวลุกขึ้นมาตั้งหลักให้ทันเสียแล้ว เพราะตอนนี้ร่างสูงถมึงทึงของอีกฝ่ายกำลังยืนถือท่อนไม้อยู่ต่อหน้าเขาแล้ว
“เสร็จกูล่ะมึง!”
มือแกร่งประดับเส้นเลือดกำอาวุธในมือแน่นแล้วง้างขึ้นสุดแขน ก่อนจะทุ่มแรงทั้งหมดฟาดลงมายังเป้าหมายที่กำลังเสียท่า จนพวกที่ยืนดูอยู่อ้าปากค้าง
“อั๊ก!!”
เบต้าเบี่ยงหลบไปด้านข้างด้วยสัญชาตญาณ ไม้ที่ถูกฟาดลงมาจึงถากต้นแขนไปเท่านั้น แต่กระนั้นก็ทำให้เจ็บระบมเอาการ แต่ถึงอย่างไรก็ห้ามแสดงอาการออกมาให้ศัตรูได้ใจ
อัลฟ่าที่เห็นว่าการโจมตีของตนไม่ได้ผล ก็เตรียมง้างไม้ขึ้นฟาดอีกครั้ง หยดเทียนจึงใช้โอกาสนี้ที่คำเผยช่องโหว่ให้เห็น ถีบเข้าไปที่บริเวณข้อเข่าเต็มตีนและสอดขาเกี่ยวขาพับ จนอีกฝ่ายเสียท่าล้มเข่าจั้งพื้น จากนั้นหยดเทียนก็ไม่รอช้ารีบใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาสมัยกินอยู่กับพวกอันธพาล ยกขาทั้งสองข้างขึ้นล็อกอีกฝ่ายด้วยความเร็วดั่งงูเลื้อยพันคอ จนคำไม่สามารถตั้งตัวทัน
บัดนี้ไม่เหลือแล้วหยดเทียนผู้มีสติสัมปชัญญะ เขาหน้ามืดตามัวด้วยความโกรธจัดที่โดนทำร้าย ความคิดที่หวังเพียงเอาชีวิตให้รอดในตอนแรก โดนไฟแห่งโทสะหลอมละลายหายไปจนหมดสิ้น เขาเดินไปตามความรู้สึกที่เรียกร้องให้เอาคืนผู้ที่ทำให้ตนและดอกไม้เจ็บอย่างหวนคืนมาไม่ได้
และยิ่งความโกรธเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ แรงรัดของขาทั้งสองข้างก็ยิ่งบีบแน่นเข้าไปที่คอของอีกฝ่ายมากขึ้นไปเท่านั้น จนคนที่ตกอยู่ใต้อาณัติดิ้นทุรนทุรายกำลังขาดอากาศหายใจเฉกเช่นคนกำลังจะตาย
“แค่ก...ปะ ปล่อยกูสิวะ!” ชายหนุ่มพยายามแกะแงะขาที่รัดคอออกโดยการใช้ศอกกระทุ้งเข้าที่ท้องของอีกฝ่ายรัวๆ แต่กลับไร้ผล ราวกับว่าตอนนี้เบต้าหนุ่มไร้ความรู้สึกไปแล้ว
“วันนี้ไม่มึงก็กูแหละวะที่ต้องตาย! มึงอย่าได้มาขวางหูขวางตากูอีกเลย!”
“อั๊ก! ระ รีบมา...ช่วย..กูสิวะ!” มันยอมทิ้งศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอย่างขี้ขลาด เพราะหากมัวแต่หยิ่งยโสต่ออยู่ มันคงขาดอากาศหายใจคาหว่างขาศัตรูแน่ๆ คำจึงใช้แรงเฮือกสุดท้ายเปล่งเสียงเรียกลูกน้องให้เข้ามาช่วยตนเองอย่างกลัวตาย
ทันทีที่ลูกพี่เอ่ยปากเรียก ลูกน้องอันธพาลที่ร้อนรนใจอยู่แล้ว รีบกรูกันเข้ามาช่วยทั้งเตะทั้งต่อยให้ร่างที่รัดแน่นดั่งงูรัดเหยื่อปล่อยลูกพี่ออกก่อนจะไม่ทันการ
ปึก!!
ท่อนไม้ท่อนเดิมที่หลุดมือคำไปในตอนที่เสียท่า โดนซอน้องเล็กหยิบขึ้นมาฟาดเข้าที่กลางหลังของหยดเทียนอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาไม่โชคดีดั่งครั้งก่อนที่สามารถหลบได้ ทำให้เบต้าต้องยอมสลัดไอ้ชาติหมาที่กำลังจะตายคาขาเขาออกไปเพื่อเอาตัวรอด ซอที่เห็นลูกพี่หลุดออกมาได้แล้วกำลังขาดอากาศหายใจก็รีบทิ้งท่อนไม้แล้ววิ่งเข้ามาดูอย่างตื่นตระหนกตกใจ
หยดเทียนที่เจ็บหนักไปทั้งตัวรีบใช้โอกาสชุลมุนพยุงร่างกายลุกขึ้นหนีด้วยความเร็วที่สุด แต่ยังไม่ทันที่จะใช้มือค้ำพื้นพยุงตัวลุกขึ้น ยูมที่หันหน้ามาเห็นเข้าก็กลัวคู่อริจะหนี มันรีบเดินบึ่งเข้ามาถีบหลังซ้ำรอยเดิมจนร่างสะบักสะบอมกระเด็นไถลไปกับพื้น
แต่แค่นั้นมันยังไม่สาแก่ใจของยูม มันตามมากระทืบเท้าเข้าไปที่หน้าท้องของเบต้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขากระอักลิ่มเลือดออกมา แม้สภาพของร่างที่นอนจมพื้นดูสาหัสใกล้ลงหลุมมากแค่ไหน แต่อัลฟ่าก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดฝีเท้าที่กระทืบซ้ำๆ ลงที่เดิม
สติอันน้อยนิดที่ยังพอมีอยู่ ออกคำสั่งกับร่างกายให้รีบงอตัวแล้วใช้ลำแขนยกป้องกันใบหน้าและส่วนสำคัญเอาไว้ และแม้จะโดนทำร้ายจนเจ็บปางตาย เขาก็ไม่ยอมปริปากขอร้องให้หยุด แต่หากปล่อยให้อัลฟ่าคลั่งทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ อีกไม่นานเขาก็คงทนความเจ็บไม่ไหวสิ้นใจก่อนจะมีคนมาช่วยเป็นแน่ แล้วจะหนีอย่างไรดีหนอ ในเมื่อตอนนี้แรงที่จะขยับเท้าก็มีน้อยเสียเหลือเกิน
โธ่...ช่างไร้สิ้นหนทาง
‘โอ้.. พระเยซูท่านลงมารับลูกด้วยตัวพระองค์เองเลยหรือ...’
‘นี่ยังไม่ใช่เวลาของลูก กลับไปรอเงินเดือนออกเสียเถิด.. น้องชายผู้น่ารักของลูกยังรอกินเคเอฟซีอยู่’ แสงอันริบหรี่ที่สะท้อนเข้าตาค่อยๆ ดับลงเช่นเดียวกับสติที่เริ่มมอดดับ ทำให้หยดเทียนหลุดเข้าไปในภวังค์ที่สมองปรุงแต่งขึ้นมา
‘อ่า.. หยดน้ำของพี่’
ในขณะที่หยดเทียนกำลังนอนคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น ฝ่าเท้าของอีกฝ่ายก็กระหน่ำเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน แม้จิตใจจะยังไม่ย่อท้อแต่ทว่าร่างกายก็เจ็บช้ำจนแรงกระดิกนิ้วยังไม่มี เขาคิดอยากจะยอมแพ้แล้วตอนนี้
แต่!
เพราะใบหน้าของน้องชายสุดที่รักโผล่เข้ามาในโสตประสาท ทำให้คนคลั่งน้องได้สติกลับมา เขาใช้สติที่ยังพอมีและไหวพริบที่ยังไม่ทื่อมองหาทางรอด ก่อนที่แสงไฟในตาจะเปล่งประกายขึ้นเมื่อมองเห็นโอกาสรอด หยดเทียนกลั้นใจรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีไว้ที่แขน รอจังหวะที่ยูมถีบขาเข้ามาอีกครั้งกอดรัดขาของอีกฝ่ายไว้แน่น จนอีกฝ่ายไม่สามารถขยับไปไหนได้
“ปล่อยดิวะ!”
“อะ ไอ้พวกลูกเห็บเกาะหมาแดก กูมันใจนักสู้เว้ย...แค่ก! เห็บเกาะง่ามตีนอย่างพวกมึงน่ะ..เก่งไม่ได้ครึ่งกูหรอก” น้ำเสียงอันร่อแร่และริมฝีปากโชกเลือดแสยะยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะรีบใช้แรงทั้งหมดยกขาเกี่ยวขาอีกข้างของฝ่ายตรงข้ามที่ค้ำอยู่กับพื้น ทำให้ยูมเสียหลักล้มลงก้นกระแทกพื้นจนก้นกบเกือบหัก
แต่เท่านั้นมันยังไม่สาสมใจของคนสวนคนนี้ หยดเทียนจึงรีบยกเท้าถีบเข้าไปที่หว่างขาทักทายน้องกล้วยน้อยของมันอย่างเต็มแรง กะเอากล้ามเนื้อสืบพันธุ์ของมันแข็งตัวไม่ได้ไปตลอดชาติ ให้สมกับที่มันเกือบทำให้เขาไม่ได้กลับไปเจอน้องชายสุดที่รักอีกครั้ง
“โอ๊ย!!”
หยดเทียนรีบปล่อยแขนที่กอดขาอีกฝ่ายออกก่อนจะตะเกียกตะกายหนีอย่างสุดชีวิต
“ตามมันไปดิวะ!!” ยูมที่เห็นว่าตัวเองเสียท่าจึงตะโกนสั่งรุ่นน้องอีกสองคนให้ตามไปกระทืบร่างสาหัสที่กำลังหนีต่อ แต่พวกมันก็ต้องหยุดชะงักลงชักพร้อมสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด เมื่อร่างที่ค่อยๆ เยื้องย่างฝีเท้าเบาเข้ามาด้านหลังของคู่แค้นอย่างระแวดระวัง เป็นสิ่งที่ทำให้มันขึ้นไปเยี่ยมญาติอยู่บนสวรรค์ ก่อนลงมาชดใช้ในนรกกรรมตลอดชีวิต
กรร..
เสียงขู่ของเสือตัวเมียดังขึ้นพร้อมกับเสือตัวผู้ที่เดินตามคู่รักมาติดๆ มันส่งสายตาหน้าเกรงขามใส่พวกอันธพาลที่ริอ่านทำร้ายคนป้อนข้าวป้อนน้ำมันทุกวันอย่างเอาตาย
“สะ สะ เสือ..เสือ!” พวกบอดี้การ์ดพากันติดอ่างเมื่อเห็นเสือตัวเป็นๆ เต็มสองลูกกะตา ยิ่งเสียงคำรามขู่ราวจะกระโจนเข้ามาตะครุบพวกตนลงพื้นและฉีกเป็นชิ้นๆ หากเขายังก้าวเข้ามาใกล้กว่านี้ ยิ่งทำให้พวกมันตัวสั่นจนสติแตก
“มีมี่.. อะ เอาแค่ขู่นะ..แค่ก! อย่าทำร้ายเขา”
ร่างอ่อนแรงนอนหายใจพะงาบๆ พยายามเปล่งเสียงบอกเสือตัวเมียที่กำลังปกป้องตน เพราะกลัวว่าเจ้ามีมี่จะขย้ำพวกมันจนตายแล้วโดนเจ้านายนำไปฆ่าเพราะทำร้ายมนุษย์
หลังจากที่หยดเทียนเอ่ยขอกับสัตว์นักล่า เปลือกตาอันแสนหนักอึ้งก็เริ่มปิดลงเชื่องช้าก่อนจะหลับไปอย่างไร้ซึ่งความกังวล
มีมี่เดินวนรอบตัวของคนสวนที่คุ้นเคยกันด้วยฝีเท้าเบา แล้วก้มลงแลบเลียใบหน้าที่ไร้สติอย่างรู้ความ เมื่อมันเห็นว่าเขาหลับไปแล้วจึงเงยหน้าเหลือบดูพวกอัลฟ่า ก่อนจะย่างเท้าเข้าไปใกล้ด้วยสายตาที่ดุดันไม่สบอารมณ์
“โฮก!!”
“อ๊าก!! ระ รีบหามลูกพี่ไปสิวะ! อยากตายกันตอนนี้หรือไง!!”
มีมี่ร้องคำรามใส่พวกมนุษย์ชั่วจนพวกมันรีบโจมขาของลูกพี่คนละข้าง แล้วโกยเท้าวิ่งหนีหางจุกตูดด้วยความกลัวอย่างไม่รีรอให้แขนหรืออวัยวะส่วนอื่นหาย เจ้าเสือตัวเมียที่เห็นว่ามนุษย์พวกนั้นวิ่งกระเจิงไปแล้ว มันก็เดินดูลาดเลาอยู่สักพักจึงวนกลับมาหาร่างที่นอนอยู่เช่นเดิม ก่อนจะหมอบตัวลงนอนข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง