“รอนานไหมครับ”
เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ร่างที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับบรรยากาศสะดุ้งพลางหันหน้าหาต้นตอเสียง
ร่างสูงเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มดูเป็นมิตรและนั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนที่ตั้งฝั่งตรงข้ามของผู้มาสัมภาษณ์งานก่อนจะกล่าวทักทาย
“สวัสดีครับ คุณหยดเทียนใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ” เขาพยักหน้าหงึกหงักและกล่าวรับ
“ผมคือพ่อบ้านที่นี่ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
ทันทีที่ชายคนวัยกลางคนแนะนำตัวให้ได้รู้จัก หยดเทียนก็รีบรุดลุกขึ้นพลางโน้มศีรษะลงทำความเคารพทันที “สะ สวัสดีครับคุณพ่อบ้าน! ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ!”
ริมฝีปากยกยิ้มอย่างเอ็นดูความกระตือรือร้นและความอ่อนน้อมของผู้มาสัมภาษณ์งาน ก่อนจะเอ่ยบอกให้ทำตัวตามสบาย เบต้าหนุ่มจึงนั่งลง
“ก่อนจะเริ่มสัมภาษณ์ ผมขอทราบรายละเอียดเบื้องต้นก่อนนะครับ” เอกสารที่เย็บติดกันสองแผ่นพร้อมปากกาหนึ่งถูกวางลงบนพื้นโต๊ะอย่างใจเย็น แล้วพนักงานใหม่จึงเอื้อมมือมาหยิบขึ้นไปอ่านก็พบว่า เขาแค่ต้องกรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัวลงไปเท่านั้นซึ่งนับเป็นปกติที่ผู้ว่าจ้างจะต้องรู้
ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที เบต้าก็ส่งกระดาษที่กรอกรายละเอียดทั้งหมดเสร็จสิ้นทุกอย่างคืนให้นายจ้าง ฮันหยิบกระดาษแผ่นสีขาวก่อนจะกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็วแล้วจึงเอ่ย
“งั้นเริ่มสัมภาษณ์เลยนะครับ” อัลฟ่ายิ้มตาปิดพร้อมกล่าวด้วยท่าทีสุขุมให้กำลังใจร่างเล็ก ที่บัดนี้นั่งหลังตรงไม่เอนเอียงและพยักหน้าตอบรับเบาๆ ม่านตาดวงใสขยายกว้างรอตอบคำถามอย่างมั่นใจแต่กระนั้นก็ยังมีความประหม่าให้เห็นปะปนกันอยู่
“คุณเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำงานสวนไหมครับ” คำถามแรกเริ่มขึ้นจากเสียงอันสุขุมนุ่มลึกที่มีผลต่ออารมณ์อย่างเลี่ยงได้ยาก หยดเทียนนิ่งเงียบพลางครุ่นคิดไปเพียงไม่กี่วินาทีก็รีบเอ่ยตอบ
“ไม่เคยครับ แต่ผมมีประสบการณ์การทำงานที่ใกล้เคียงกันอยู่บ้างครับ ผมเคยดูแลดอกไม้ในร้านส่งออกดอกไม้และเคยดูแลต้นอ่อนของพืชในฟาร์มเพาะต้นไม้ แล้วผมก็เคยเรียนการดูแล เพาะพันธุ์พืชและการทำสวนมาด้วยครับแต่เรียนไม่จบ..” หยดเทียนเอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้น้ำเสียงในตอนท้ายจะฟังดูไม่มั่นใจอยู่บ้าง เขาไม่แน่ใจว่าหากกล่าวเช่นนี้ออกไปแล้วอีกฝ่ายจะยังรับตนเข้าทำงานหรือเปล่า แต่กระนั้นเขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนี้ได้เพราะถึงอย่างไรข้อมูลการศึกษาก็ถูกบันทึกลงในใบสมัครงานให้เห็นอย่างเต็มอยู่แล้ว หากโกหกไปก็เห็นจะไม่เป็นประโยชน์
ฮันพยักหน้ารับก่อนจะถามคำถามถัดไป “แล้วก่อนหน้านี้คุณหยดเทียนทำงานอะไรมาครับ”
“ผมทำงานที่ร้านอาหารครับ เป็นพนักงานเสิร์ฟ”
“แล้วสาเหตุที่ต้องลาออกละครับ”
“เอ่อ..” เสียงใสหยุดชะงักหายไปชั่วครู่พร้อมกับความเคลือบแคลงในใจว่าการสัมภาษณ์งานจำเป็นต้องมีคำถามเช่นนี้ด้วยหรือ แต่ทว่าความเคลือบแคลงนั้นกลับไม่สำคัญเท่ากับว่าตอนนี้เขาจะตอบคำถามอย่างไรดี หากตอบไปตามความจริงว่าสาเหตุที่ต้องลาออกจากงานเพราะตนทำร้ายร่างกายหัวหน้า คุณพ่อบ้านจะไม่มองว่าตนเป็นอันธพาลแล้วไล่ตะเพิดออกไปเลยหรือ
ในเวลานี้เรียวคิ้วม่นขมวดหากันยิ่งกว่าปมด้าย ใบหน้าถอดสีคิดอย่างหนักกับคำตอบที่ไม่แม้แต่อยากกระซิบบอกใคร จนพ่อบ้านที่นั่งอยู่ฟังตรงข้ามทักท้วงขึ้นเมื่อเห็นว่าหยดเทียนเงียบไปนาน
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“คะ ครับ! เปล่าครับ ผมสบายดี..” เบต้าหนุ่มเค้นรอยยิ้มเจื่อนตอบกลบเกลื่อน
“ให้ผมทวนคำถามอีกรอบไหมครับ”
“ดีเลยครับเมื่อครู่ผมได้ยินไม่ค่อยถนัด แฮะๆ” สีหน้าปั้นยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะแล้งน้ำทำให้พ่อบ้านกลับมาทำหน้าที่ผู้สัมภาษณ์งานต่อแม้จะรู้ว่าร่างเล็กกำลังโกหกตนอยู่ เพราะอันที่จริงหยดเทียนได้ยินคำถามชัดเป็นอย่างดี ได้ยินชัดเจนเกินไปจนทำให้สมองตื้อตันคิดอันใดไม่ออก จึงทำแกล้งตีหน้าซื่อให้พ่อบ้านทวนคำถามใหม่อีกรอบเพื่อถ่วงเวลาอันน้อยนิดให้สมองประดับรอยหยักคิดคำตอบให้ทัน
“สาเหตุที่คุณหยดเทียนลาออกจากงานก่อนหน้านี้คืออะไรครับ” คำถามเดิมถูกป้อนมาอีกครั้งพร้อมกับสายตาที่จดจ้องรอคำตอบ ทำให้ว่าที่คนสวนคนใหม่ท้องไส้ปั่นป่วนด้วยความกดดัน
ดวงตาล่อกแล่กมองหาคำตอบอยู่ทั่วทุกมุม ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ที่ตนเพิ่งนั่งดูคลิปวิดีโอการสอบสัมภาษณ์งานของกูรูที่เก่งด้านนี้ เขาตอบไว้ด้วยประโยคที่น่าเชื่อถือและดูดีอยู่ไม่น้อย เบต้าจึงรีบตะบึงตอบ
“สาเหตุคือ..คือว่า..งะ งานบริการไม่ใช่เป้าหมายเดียวที่ผมอยากทำครับ ผมอยากมีประสบการณ์การทำงานด้านอื่นๆ บ้าง ผลเลยตัดสินใจลาออกครับ”
พ่อบ้านยิ้มและพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ท่าทีที่มีต่อคำตอบทำให้ผู้ตอบคำถามโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก เบต้ายกสองมุมปากขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจว่าผ่านข้อนี้ไปได้ คำถามข้อถัดไปได้คงจะไม่มีอะไรยากเท่าข้อนี้อีกแล้ว
แต่ทว่าคำถามที่พ่อบ้านฮันถามออกมากลับต้องทำให้หยดเทียนอยากหลั่งน้ำตาอีกครั้ง..
“งั้นแสดงว่าหากคุณทำงานที่นี่ไปได้สักระยะหนึ่งคุณก็จะลาออกหรือครับ”
“...” ใบหน้ายิ้มแฉ่งถูกค้อนของฮันทุบแตกกระเด็นไปคนละทาง เมื่อเรื่องทั้งหมดไม่เป็นไปตามที่คิด เพราะคำถามถัดมาก็ช่างแทงใจเนื้อของเขาอยู่ไม่พักไม่แพ้คำถามก่อนหน้า ทำให้รอยยิ้มอันหวานเชื่อมนิ่งค้างราวกับสมองตายไร้คำสั่งใดๆ ต่อร่างกาย
“ตอบมาตรงๆ ดีกว่าครับ ไม่จำเป็นต้องโกหกผมหรอกครับ” ฝ่ามือเหี่ยวย่นคว้าปิดกระดาษเข้าหากันแล้ววางมันลงบนโต๊ะลายหินอ่อนอย่างใจเย็น น้ำเสียงทุ้มปกติกล่าวกับเบต้าที่นั่งหน้าหม่นดั่งรถจมน้ำอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่มีอารมณ์ใดๆ ร่วมอยู่ในรอยยิ้มเว้นก็แต่ความเห็นใจ
คงไม่มีใครอยากโป้ปดผู้อื่นนักเว้นแต่ความจริงมันน่าเศร้าน่าเวทนาหรือน่าอับอายเกินกว่าจะนำมาเอ่ยให้ใครต่อใครฟัง
“คะ คือผมทำร้ายเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าครับ.. ผมห้ามอารมณ์ไม่อยู่เลยเผลอต่อยหัวหน้าไปแต่ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีกแน่นอนครับ..”
หยดเทียนสิ้นแต้มและหมดปัญญาหาทางแก้ตัวแล้ว เขาทำอะไรต่อไม่ได้นอกจากตอบคำถามตามความจริง ชายหนุ่มกล่าวตอบโดยไม่แม้แต่จะกล้าเงยหน้ามองพ่อบ้าน เขานั่งก้มหน้าหูลู่หางตกด้วยความหมดกำลังใจ
“เพราะความรุนแรงสินะครับ” พ่อบ้านยิ้มอ่อนอย่างกำลูนเคลาสงสารเมื่อเห็นคนตรงหน้าตาตกอย่างหมดหวัง
ว่าด้วยพ่อบ้านสกุลวัฒนาที่ขึ้นชื่อหนักหนาเรื่องการอ่านใจคน เพียงสังเกตท่าทางการกระทำแลแววตาก็รู้ลึกถึงสันดานว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไร
เมื่อครั้ง 30 ปีก่อน ฮันได้รับหน้าที่อันทรงเกียรติให้ดูแลนายน้อยของตระกูล และด้วยคำสั่งของนายหญิงคนก่อนเขาจึงทำงานด้วยความรอบคอบและซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนายมาเสมอ เพราะเหตุนี้หากจะมีลูกน้องเข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจ ฮันจึงต้องการคนที่จริงใจและซื่อสัตย์เช่นเดียวกันตน แม้ในอดีตคนผู้นั้นจะเคยติดคุกหรือฆ่าคนมาก่อนก็ล้วนแต่ไม่สำคัญ
“เอาละครับ ผมจะแนะนำงานของคนสวนและสถานที่ในบ้านอย่างคร่าวๆ คุณหยดเทียนโปรดจำไว้ให้แม่นนะครับ” พ่อบ้านกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นเก็บเอกสาร เดินนำหน้าออกไปก่อน
“..ครับ?” ทันทีที่เบต้าได้ยินประโยคที่ออกมาจากปากคุณพ่อบ้าน ใบหน้าทรงมนก็แหงนขึ้นมองเจ้านายอย่างฉับไว สมองอันตื้นตันกำลังประมวลผลว่าตกลงเขาได้ทำงานที่นี่งั้นหรือ? เหตุใดพ่อบ้านจึงได้ว่ากล่าวอย่างนั้น
“ผะ ผมได้ทำงานที่นี่หรือครับ” เบต้าว่าอย่างน้ำตารื้นพร้อมกับเดินตามหลังพ่อบ้านไปติดๆ
“แน่นอนครับ”
“ทำไมล่ะครับ ผมมีประวัติไม่ค่อยดีไม่ใช่หรือครับ”
“ผมต้องการคนจริงใจครับ ถึงคุณเคยติดคุกมาผมก็ไม่ติดหรอกครับและผมเชื่อว่าคุณเป็นคนดีครับ”
“ขอบคุณนะครับที่รับผมเข้าทำงาน ผมจะไม่ทำให้พ่อบ้านผิดหวังแน่นอนครับ” เขาว่าพร้อมเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาเล็กน้อยด้วยความซาบซึ้งที่อบอวลอยู่ในใจ เพราะพ่อบ้านเป็นคนไม่กี่คนที่เห็นใจและทำดีกับเขาทั้งที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงวัน
หยดเทียนมองแผ่นหลังกว้างของชายมีอายุที่เดินอยู่ด้านหน้าแล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หากคนที่เขาเคยนับถือในฐานะพ่อปฏิบัติกับเขาเช่นที่พ่อบ้านทำ ชีวิตและครอบครัวคงจะดีขึ้นกว่านี้หลายเท่า ปานนี้เขาคงเรียนจบมหาลัยในคณะที่ชอบแล้วก็ทำงานที่ตนรัก และชีวิตอันรันทดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้คงไม่มีทางเกิดขึ้น
“สวนในบ้านจะมีอยู่สองที่คือหน้าบ้านและหลังบ้านครับ ซึ่งต่อจากนี้จะอยู่ในการดูแลของคุณหยดเทียนนะครับ”
“อ้ะ! ครับ” เสียงของเจ้านายคนใหม่ทำให้หยดเทียนได้สติหลังจากที่ปล่อยให้ความรู้สึกและปมใต้จิตในใจไหลผ่านสมอง เขารีบสลัดความคิดในหัวออกแล้วเหลือบตามองดูสถานที่ที่อยู่เบื้องหน้าตามที่พ่อบ้านแนะนำให้รู้จัก
สวนหลังบ้านค่อนข้างรกเมื่อเทียบกับสวนหน้าบ้าน กระนั้นเขาก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะสวนแห่งนี้อยู่ในที่ลับตาคน นอกจากเจ้าของบ้านแล้วก็คงไม่มีแขกเหรื่อที่ไหนย่างกรายเข้ามาชม อีกทั้งสวนหน้าบ้านก็กว้างขวางมากพอที่จะทำให้คนสวนไม่มีเวลาไปดูแลสวนบริเวณอื่น แต่หยดเทียนมั่นใจนักหนาว่าหากจัดสรรปันส่วนเวลาและพื้นที่ให้ดีก็สามารถปรับปรุงซ่อมแซมสวนหลังบ้านให้สวยงามไปพร้อมกับสวนหน้าบ้านได้อย่างแน่นอน เพียงแค่คงต้องใช้เวลาหลายวันหากเขาไม่มีผู้ช่วย
“คุณหยดเทียน-”
“เรียกเทียนเฉยๆ ก็ได้ครับ เรียกชื่อเต็มแบบนั้นผมรู้สึกจั๊กกะเดียมหูยังไงไม่รู้” เบต้ายิ้มแหยพลางยกมือจับใบหูอย่างรู้สึกไม่คุ้นชิน
“ได้ครับคุณเทียน งั้นผมอธิบายต่อนะครับ”
เบต้าหนุ่มพยักหน้าเป็นสัญญาณตอบรับ
พ่อบ้านอธิบายรายละเอียดทั้งหมดให้คนดูแลสวนคนใหม่ฟังแม้แต่จุดเล็กๆ ก็หนีไม่พ้นสายตา แต่ก็ไม่ลืมเปิดโอกาสให้หยดเทียนถามในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ จนกระทั่งมาถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการแนะนำสัตว์เลี้ยงประจำบ้านให้แก่ลูกน้องคนใหม่ได้รู้จัก และแน่นอนว่าการให้อาหารสัตว์เลี้ยงของเจ้านายก็เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ของเขาด้วยเช่นกัน
“นายเรียกพบครับ” แต่ยังไม่ทันที่จะได้รู้ประเภทของสัตว์ดังกล่าว ทั้งสองก็ต้องหยุดฝีเท้าลงเพราะเสียงของชายหนุ่มรูปร่างกำยำสวมเสื้อผ้าสีดำสนิทดังเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
ในระหว่างที่พ่อบ้านและชายอัลฟ่าพูดคุยกันอยู่นั้น ดวงตากลมใสดันแอบลอบมองมัดกล้ามอันแน่นบึกที่ซ่อนอยู่ภายใต้ร่มผ้าที่แนบเนื้อของร่างสูงที่ยืนอยู่ต่อหน้าอย่างชื่นชม แล้วแลมามองมวลเนื้อของตัวเองที่แม้จะมีหมัดกล้ามเหมือนคนอื่นอยู่บ้าง แต่ส่วนมากในร่างกายกลับเป็นไขมันอันอ่อนยุ้ยเสียอย่างนั้น
สายตาอันเป็นประกายคงจ้องค้างหน้าท้องที่โผล่ให้เห็นเพียงเค้าโครงนานเกินไป จนเจ้าของร่างจับได้ หยดเทียนจึงโดนสายตาอันน่าหวาดกลัวตำหนิ ทำให้แอบผวารีบก้มหัวซ่อนใบหน้าโดยไวแล้วค่อยๆ ร่นถอยไปหลบอยู่ด้านหลังของพ่อบ้าน
“แล้วผมจะรีบไปครับ” ชายคนดังกล่าวผงกหัวเคารพหลังจากที่ได้รับคำตอบก่อนจะเหลือบตามองร่างที่ซ่อนอยู่ด้านหลังอย่างไม่รู้สึกอะไรแล้วเดินจากไป ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งที่ไม่โดนพี่ชุดดำคนนั้นเอาเรื่อง
ฝ่ายพ่อบ้านเมื่อรู้ว่าตอนนี้มีเรื่องอันสำคัญกำลังรอให้ตนไปดำเนินการ จึงจำเป็นต้องหยุดการพาพนักงานใหม่เที่ยวชมบ้านไว้เพียงเท่านี้
“คุณเทียนมีอะไรสงสัยอีกไหมครับ”
“ตอนนี้ยังครับ”
“งานดูแลสวนก็มีประมาณนี้แหละครับ คุณเทียนสามารถเริ่มทำงานในวันพรุ่งนี้ได้เลยครับแต่หากจะรื้อถอนหรือจัดแจงส่วนไหนรบกวนแจ้งผมก่อนนะครับ”
“ส่วนเรื่องสัตว์เลี้ยง ผมจะแนะนำและสาธิตวิธีให้อาหารอีกครั้งในวันพรุ่งนี้เพราะวันนี้ไม่สะดวกต้องขออภัยด้วยครับ”
“ไม่เป็นไรครับ” หยดเทียนยิ้มตอบก่อนจะเดินตามหลังพ่อบ้านฮันออกมา
เมื่อเดินพ้นผ่านตัวอาคารบ้านออกมาด้านนอก ที่บัดนี้เต็มไปด้วยชายชุดดำร่างกายกำยำท่าทางน่ากลัวยืนอยู่ทั่วทุกมุมบ้าน เบต้าหันหน้ามองกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างไม่วางตาด้วยความแปลกใจว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าเขายังไม่เห็นว่าจะมีใครมาสักคน กลับกันพอมาตอนนี้กลับยืนเรียงรายกันเต็มราวกับฝูงมดดำ
“ไม่ต้องตกใจหรอกครับ นายท่านเพิ่งกลับมาจากทำงานเมื่อครู่ คนจึงพลุกพล่านเป็นปกติครับ”
หยดเทียนพยักหน้ารับรู้ราวกับเข้าใจแต่ความเป็นจริงแล้วเขาไม่เข้าใจสักนิด คนคนหนึ่งจำเป็นต้องมีบอดี้การ์ดมากมายก่ายกองขนาดนี้เชียวหรือ หากเป็นคนสำคัญระดับประเทศก็ว่าไปอย่าง เบต้าหนุ่มมัวแต่พูดกับตัวเองจนลืมดูว่าอีกเดี๋ยวตนก็จะเดินถึงหน้าประตูบ้านแล้ว
“พ่อบ้านส่งผมแค่นี้ก็พอแล้วครับ”
“จะดีหรือครับ”
“ครับ พ่อบ้านคงมีธุระที่ต้องรีบไปทำต่ออย่ามัวเสียเวลากับผมเลยครับ”
“อย่างนั้นก็กลับดีๆ นะครับ หากมีอะไรติดต่อมาหาผมได้ทุกเมื่อ”
“ขอบคุณครับ” เขายิ้มตาหยีก่อนจะหันหลังเดินจากไป
หยดเทียนยิ้มหน้าชื่นมาแต่ไกลเพราะในที่สุดเขาก็ได้งานนี้มาอยู่ในมือ ความสุขคงมีมากล้นออกมาทางใบหน้าจนลุงศักดิ์ที่นั่งประจำอยู่บนป้อมยามเอ่ยแซว
“ได้งานแล้วสิเอ็งเดินหน้าบานมาเชียว”
“ครับลุง ต่อไปนี้คงได้เจอกันบ่อยๆ แล้วละครับ” เบต้าหนุ่มยิ้มกระตุกคิ้วใส่
“เออดีๆ พรุ่งนี้อย่ามาสายเสียละ” ลุงศักดิ์ยื่นหน้าออกมาพลางพูดกึ่งตะโกนให้ร่างที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปได้ยิน
“ผมกลับแล้วนะครับ พรุ่งนี้อย่าลืมมาเปิดประตูให้ผมแต่เช้านะครับ!” ว่าแล้วเขาก็ทีเดินทีวิ่งออกไปจากบ้านสกุลวัฒนาแล้วโบกรถแท็กซี่กลับที่พักด้วยความอารมณ์ดี