CHAPTER 6
มีหรือคนที่มีแรงเท่ามดจะสู้แรงของคนตัวใหญ่ที่ซ่อนอยู่ภายในร่างที่ใครๆ ก็มองว่าบอบบางยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีกและนั่นก็เหมือนเป็นแค่เปลือกนอกที่เคลือบตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ก็เท่านั้น
โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนและก็เที่ยงแท้สักอย่างเดียว กาลเวลาทำให้เปลี่ยนไปได้หมดทั้งน้ำ ภูเขา หิน อากาศ ภูมิประเทศ สิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ที่ถึงมีจิตใจที่หนักแน่ดั่งหินผามากเท่าไหร่มันก็ไม่สามารถที่จะยั้งยืนได้
ทุกอย่างมันก็เหมือนตัวของผมเอง...
“ไม่นะ มันต้องไม่เป็นแบบนี้ ฮื่อๆ”
เสียงสะอึกสะอื้นดังลั่นหน้าบ้านเช่าในชุมชนเล็กๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย น้ำตาที่ไหลลงมาอย่างต่อเนื่องไม่สามารถทำให้คนที่สะพายกระเป๋าใบพอประมาณอยู่บนไหล่กว้างหันใบหน้าหวานมาสนใจเธออีกแล้ว สิ่งที่เขาตัดสินใจไปใครก็โน้มน้าวให้มันกลับไปไม่ได้อีก
“…”
สิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไปเขารู้ดีว่ามันเป็นสิ่งที่ทำร้าย...คนที่รักเขาและเขาเองก็รักเธอมากเช่นไรก็ตามที มันควรเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ฮื่อๆ กลับมานะ เค้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีตัว”
“…”
โสตประสาทของเขาได้ยินทุกอย่างที่เธอพูดออกมา ใบหน้าหวานที่ตอนนี้คงมีแต่คราบน้ำตา ความเสียใจที่เขาเป็นคนมอบให้มันร้ายแรงมากทำไมจะไม่รู้ตัว
“ไหนว่าจะสร้างครอบครัวด้วยกันไง ครอบครัวเล็กๆ ที่มีเค้า มีตัวและลูกของเราไงตัวจำไม่ได้แล้วหรอ”
“…”
“ตัวอย่าไปนะ ฮื่อๆ”
เสียงร้องไห้ดังระงมขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีท่าทางว่าจะหยุดลงง่ายๆ ความเสียใจที่เผยออกมามาก มากจนล้นออกมาทำบรรยากาศรอบๆ เหมือนต้องมนต์จนเป็นสีดำมืด สีแห่งความเสียใจเศร้าใจทุกข์ใจอย่างปฏิเสธไม่ได้
สิ่งที่ไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะเกิดขึ้นบัดนี้มันได้เกิดขึ้นจนตั้งตัวไม่ทัน...
“ก็แค่คำพูดแค่ลมปาก ใส่ใจอะไรเยอะแยะ” คำตอบของเขามันช่างบาดลึกลงไปในจิตใจสร้างแผลใหญ่ที่ยากจะเย็บตัดให้มันเป็นปกติได้ง่าย ได้ยินแบบนี้มันยิ่งกว่าการที่เขาเงียบเสียอีก “ตัดใจซะ”
“ฮื่อๆ ไม่แพทไม่ให้ไป”
“อย่าคิดว่าจะทำได้ในเมื่อหัวใจชั้นไม่ได้รักเธอแล้ว รั้งไปก็เสียเวลา”
มันเป็นประโยคพูดสุดท้ายที่ออกมาจากริมฝีปากของเขาและแล้วเท้าของเขาก็ก้าวเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง....อีกเลย
“เทนปล่อย!”
ฝ่ามือใหญ่ของเทนเข้ามาจับแขนของฉันเอาไว้แน่นจนเส้นเลือดที่มือของเขามันปูดนู้นขึ้นมาราวกับว่าเขาพยายามระงับอารมณ์ที่โลดแล่นเข้ามาในใจ แล้วไงล่ะคิดว่าจะทำแบบนี้กับคนอย่างมิลล์ได้เหรอมันง่ายไปไหม
“…”
เสียงของพี่มิลล์เข้ามาทำให้ผมได้กลับออกมาจากห้วงความคิดของตัวเองอีกครั้ง นี่เผยคิดเรื่องนั้นอีกแล้วเหรอวะ
“ปล่อย...คงเข้าใจนะว่าคนมันไม่อยากไปด้วย”
คราวนี้ทุกอย่างมันหยุดชะงักไปโดยปริยาย เราสองคนยังคงจ้องตากันอย่างไม่กระพริบเพียงเสี้ยววินาทีรอยยิ้มชั่วร้ายของเทนก็ปรากฏให้เห็นตรงใบหน้าขาว
“เข้าใจ”
มันเป็นเพียงคำพูดสั้นๆ ที่ไม่มีใครสนใจแม้แต่ฉันเอง เทนบอกเข้าใจแต่การกระทำมันไม่ใช่เขาไม่ปล่อยการจับกุมที่แขนของฉัน การกระทำมันสวนทางกัน
“...”
สายตาแข็งของพี่มิลล์มองลงมายังมือของผมที่ยังจับแขนเธอไม่ปล่อย ผมรู้ว่าตอนนี้เธอไม่พอใจหงุดหงิดกับสิ่งที่เห็น
“แต่ไม่ปล่อย” มันเป็นประโยคต่อท้ายกับสองคำที่ทิ้งไปเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งการทำแบบนี้ออกมามันอาจจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความไม่พอใจอย่างสูงสุดก็เป็นได้ แล้วทำไมในเมื่อผมเลือกทำแล้ว “กลับ!”
“…”
ว่าแล้วแขนใหญ่ก็กระตุกแขนเล็กที่ถูกจับกุมให้เดินไปตามร่างของตัวเอง สายตานักท่องเที่ยงราตรีทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างมองกันด้วยความแปลกใจ
“เดินพี่มิลล์”
“ไม่เดิน คนเขาบอกไม่อยากไปไง!”
หึมันถึงทีของฉันบางแล้วที่จะได้เอาคืนผู้ชายคนนี้ คนที่ชอบทำให้ฉันหงุดหงิด เสียใจและเป็นห่วงอยู่เรื่อยไป
“ให้ตอบอีกครั้ง ใช้สมองคิดด้วยเวลาตอบ”
ครานี้มันไม่ใช่ประโยคที่สามารถพูดกันสองคนแล้วเพราะว่าเทนพูดขึ้นเสียงดังสนั่นจนทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณเราทั้งสองได้ยินหมดด้วยความชัดเจน เสียงหัวเราะ ยิ้มเหยียดส่งมาให้ฉันด้วยความสมน้ำหน้าคงจะคิดว่ามีอย่างที่ไหนที่ให้ผู้ชายด่าด้วยวาจาแบบนั้น
ถึงมันจะเป็นเพียงประโยคเรียบๆ แต่มันไม่ใช่มันเป็นประโยคหลอกด่าต่างหาก หลอกด่าว่าฉันโง่ยังไงล่ะ ถึงเทนจะร้ายกาจร่านมากแค่ไหนเวลาได้ด่าก็เชือดคนได้คำพูดเหมือนกันและแล้วฉันก็รู้ดียิ่งกว่าอะไรคนรอบข้างคงคิดว่าฉันตามตื้อเขาแน่ๆ เพราะว่าฉันไม่ได้มาที่นี่นานมากคนส่วนใหญ่ก็เลยไม่รู้ว่าเทนมีแฟนแล้ว
“จะคิดหรือไม่มันก็เรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับนาย”
สรรพนามได้เปลี่ยนไปทันทีเมื่อพี่มิลล์พูดขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้วครั้งนี้เธอก็คงโกรธจริงดูจากใบหน้าเรียวสวยไม่มีรอยยิ้มอะไรปรากฏเลยแม้แต่นิดเดียว คิ้วขมวดจนเกือบจะชนกันพร้อมกับสายตาสีน้ำตาลเข้มเสมือนมีไฟโทสะลุกช่วงโชติขึ้นอย่างเต็มเปี่ยมพร้อมเริ่มการเผาไหม้ได้ทันทีที่มีคนโยนชนวนมาหลอกล่อ
“…”
“ปล่อยแขนเดี๋ยวนี้แล้วจะไสหัวไปไหนก็เชิญ!”
ฉันเริ่มหัวเสียกับการกระทำของเทนแล้วนะ ทุกอย่างมันก็เริ่มต้นมาจากตัวเขาเองทำไมถึงไม่โทษตัวเองบาง ถ้าเขาไม่ทำแบบนั้นมีหรอที่ฉันจะมาเหยียบคลับห่วยๆ แบบนี้ ฝันไปเถอะ!
การทำร้ายจิตใจของผู้ชายคนนี้มันเริ่มขึ้นอย่างไม่รู้จักคำว่าจบ เหมือนกับเป็นการเริ่มต้นสำหรับเทน ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เราคบกันฉันฝันว่ามันคงจะมีแต่ความสุขเพราะว่าความรักมันทำให้โลกนี้เป็นสีชมพูแต่ตอนนี้มันทำให้โลกของฉันกลายเป็นสีดำมืดมนจนแทบที่แสงสว่างส่องมาไม่ถึง ความตั้งใจที่จะทำให้เทนรัก ห่วงใย หวงมันเคยมีในความคิดของเขาสักนิดไหม ฉันอยากรู้?
“จะไม่กลับพร้อมกันใช่ไหม?”
สายตาสีเทาหม่นมองลงมาสบตาของฉันอย่างจริงจัง ใบหน้าของเทนมันดูอ่อนล้าไปตามระเบียบในการใช้งาน เขาเที่ยวทุกวันจนไม่ได้หลับได้นอนมันก็สมควรแล้วที่เป็นแบบนี้แต่ทว่าสาวๆ ก็ยังชอบเขาอีกมาก
“ใช่ ฉันจะเที่ยวต่อ”
“ตามใจ..”
สองพยางค์ที่เทนพูดไม่คิดจะตามง้อหรือว่าเซ้าซี้ต่ออะไรทั้งก่อนจะมุ่งตรงไปยังรถ BMW I8 สีดำหรูที่จอดทิ้งห่างไว้ไม่มากนักขับทะยานออกไปด้วยความรวดเร็วโดยไม่ได้มองมาทางฉันด้วยความสนใจอะไรเลย
จะง้อต่อหน่อยก็ไม่ได้เชียวหรอ?
มันเป็นประโยคที่ฉันคิดเอาไว้ในใจทั้งที่ไม่ได้พูดออกมา ความน้อยใจมันผสมปนอยู่นับไม่ถ้วนทั้งๆ ที่สายตายังจ้องมองตารถของเทนไปจนลับสุดสายตาจากนั้นเท้าของฉันก็ค่อยๆ ก้าวเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว การเดินมาเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดหมายมีเพียงความเงียบเหงาของสองข้างทางในเมืองหลวงที่แม้แต่บนถนนก็ยังไม่มีรถสักคันด้วยซ้ำ แบบนี้ฉันเลยรู้ดีว่าถึงคราวที่จะต้องเดินกลับคอนโดเองแล้ว
“เห้อ...”
การถอนหายใจดังๆ มันช่วยให้ผ่อนความกังวลและความเครียดได้บางส่วนแต่ก็ไม่หมด ที่จริงแล้วฉันไม่ได้จะไปต่อที่ไหนอย่างที่บอกเทนไป เข้าใจนะว่าเวลาโกรธมันมักจะผุดคำขึ้นมาประชดได้หลากหลายล้วนแต่ใช้อารมณ์เป็นเหตุผลทั้งหมด
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้การเลือกของฉันในครั้งนั้นมันก็ใช้อารมณ์ตัดสินก่อนเหตุผลเหมือนกัน การเลือกที่ทำให้ฉันต้องเหมือนตกนรกทั้งเป็น
“ถ้าคิดว่าผู้ชายที่แร็พอยู่เขาจะสนใจคนอย่างเธอ รู้ไหมว่าคิดผิด”
เสียงแหลมพูดขึ้นมาแทรกความคิดของฉันในขณะที่กำลังมองผู้ชายผิวขาวซีดโดดเด่นอยู่บนเวทีด้วยทักษะการร้องแร็พที่น่าทึ้ง เขาดูน่าสนใจมากข้อนี้ฉันยอมรับเลยล่ะแต่เมื่อฉันเบี่ยงสายตามองมายังผู้หญิงที่บังอาจทำลายบรรยากาศ การจ้องมองของเธอนั้นมันนางมารร้ายชัดๆ ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกัน
“เรารู้จักกันด้วยเหรอ?”
เป็นประโยคสั้นๆ ที่สามารถหักหน้าได้เห็นๆ
“ฉันแพท แพทชา แฟนของนักร้องที่เธอกำลังจ้องมองอยู่” เสียงห้วนๆ ตอบด้วยใบหน้าที่หาเรื่อง
“เท่าที่รู้เขาโสดนะเขาพึ่งประกาศไปเมื่อกี้เอง” ฉันเหยียดยิ้มให้ผู้หญิงที่ชื่อแพทอย่างเหนือกว่าหลายขั้น “รักข้างเดียวหรอหรือว่าถูกทิ้งแล้วยังหวงก้างล่ะ?”
“แก..!”
นิ้วชี้เรียวสวยชี้มาที่ใบหน้าของฉันอย่างโกรธเคือง สายตานั้นมันยิ่งกว่านางร้ายในละครหลายเท่าตัว ฉันรู้ว่าเธอกำลังระงับอารมณ์โกรธอย่างหนักหน่วง
“ช่างน่าสมเพชนัก!”
“ถ้าเธอคิดว่าจะจีบเทนติดก็เชิญแต่บอกไว้ก่อนนะว่าเขาลืมฉันไม่คงหรอก ยังไงๆ คนที่จะเจ็บปวดเจียนตายมันก็คงเป็นเธอเอง!”
“…”
“ไงกล้าไหมล่ะ”
“คนอย่างมิลล์นี้แหละจะทำให้ผู้ชายคนนั้นลืมเธอลงจนแม้แต่ชื่อก็ยังจำไม่ได้คอยดูแล้วกันยัยแพทชา!!”
แล้วนี้ก็คือจุดเริ่มต้นที่คนอย่างฉันได้รู้จักคำว่ารัก ใช่แล้วฉันหลงรักเทน มันไม่ใช่แค่รูปร่างภายนอกนะแต่จิตใจต่างหาก และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาฉันก็พยายามจีบเขาทุกวิธีมันยากมากจนตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เทนตกลงคบกับฉันในคืนนั้น คืนที่ฉันขอเขาเป็นแฟนข้างคลับ
ทุกคนรู้ไหม?
ทุกวันนี้ยัยแพทชาก็ยังไม่เลิกตอแยและไม่ยอมรับความจริงเลยว่าฉันเป็นแฟนของเทน
กึก!
แล้วทันใดนั้นเองเท้าของฉันที่เดินก็หยุดชักงักไปโดยปริยายเมื่อนึกถึงสิ่งที่นังแพททำกับฉันในวันนี้ ความร้ายความแรงความไม่ยอมคนของฉันก็มีไม่น้อยและมันจะได้เห็นในคืนนี้
“ร้ายมาร้ายตอบเป็นสิบเท่าแล้วเราเจอกันแพทชา!”