นีรนารายืนมองสองหนุ่มเล่นกับลูกของตน เจ้าหล่อนไม่รู้จะสงสารเด็กหญิงณาราหรือหัวเราะก่อนดี ก็ดูพี่ชายเธอสิ นั่น! แกล้งหลานโดยที่ไม่ดูเลยว่ายัยหนูกำลังจะเบะปากร้องไห้อยู่รอมร่อ ส่วนอีกคนน่ะหรือ.. ตอนแรกก็เห็นว่าสุภาพเรียบร้อยดีอยู่หรอก แต่ดูตอนนี้สิ
“เฮียบูม! คุณหมอ! หยุดแกล้งยัยหนูเดี๋ยวนี้นะ” เธอแกล้งทำเสียงดุ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแม้แต่นิด
“แกล้งอะไรกัน เขาเรียกหยอกหลานให้มีความตื่นเต้น”
ดู๊ดู! แย่งของเล่นจนเด็กหญิงณาราจะร้องไห้ ไอ้พี่ชายยังมีหน้ามาบอกว่าหยอกหลานเพื่อ.. ความตื่นเต้น
“คุณหมอก็เป็นไปกับเขาอีกคนหรือคะ”
รัชชานนท์แทบจะโยนตุ๊กตาที่แย่งจากหนูน้อยณาราทิ้งทันทีที่เห็นแววตาต่อว่าของหญิงสาว
“เออ.. พี่แค่.. พี่..” เขาไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาแก้ตัวดี อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะทำคะแนนแล้วแท้ๆ แต่กลับมาทำให้แม่ของเด็กหญิงรู้สึกไม่พอใจแทน
“พี่ขอโทษ พี่แค่จะหยอกใบบัวจริงๆ น้า.. ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลย”
เธอรู้.. แต่แค่..
“ยัยเบลล์ เลิกแกล้งไอ้หมอเถอะ ไม่เห็นเหรอว่ามันจะร้องไห้อยู่แล้วน่ะ”
ทันทีที่เพื่อนพูดจบ รัชชานนท์ที่ก้มหน้าก้มตารู้สึกผิดก็เงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองนีรนาราทันที
“แกล้งพี่เหรอ”
ไม่ต้องถามก็รู้ได้ เพราะแววตาเจ้าเล่ห์และเรียวปากอิ่มสวยกำลังเม้มเข้าหากันอย่างพยายามกลั้นขำ
ตัวแสบ!
“เปล่าซะหน่อย เฮียบูมก็พูดไป”
นีรนาราพูดพลางพยายามกลั้นหัวเราะ เจ้าหล่อนหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งทำหน้าหงิกอยู่ข้างติณณภพ
“คุณหมอขา หิวข้าวหรือยังคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างพยายามงอนง้อและออดอ้อนอยู่ในที
ให้ตายสิ! ทำไมเขาถึงแพ้ทางหญิงสาวได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
“ยังไม่เท่าไหร่ครับ” อีกหน่อยจะกินควายได้อยู่แล้ว ประโยคหน้าที่พูดออกไปคือมารยาท แต่ประโยคหลังนี่คือความจริงที่เขากำลังเป็นอยู่ ก็แหม.. พอออกจากคลินิกก็รีบตรงดิ่งมาที่บ้านของติณณภพ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้า
“คุณแม่กำลังอาบน้ำ ส่วนอาหารและสถานที่ มีน้องกำลังจัดเตรียมให้อยู่ค่ะ รอสักครู่นะคะ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงคงเสร็จ” เธอเอ่ยบอกรัชชานนท์ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ลูกสาวตัวน้อย “มานี่มา ตาใสกริ๊งเลยนะเราน่ะ” คุณแม่คนสวยอุ้มเจ้าตัวเล็กของเธอขึ้นมานั่งบนตัก
“แอ๊ๆ “
เด็กหญิงณาราผู้ไม่ยอมอยู่เฉยๆ เจ้าหนูพยายามลุกขึ้นโดยใช้ไหล่ของแม่เป็นหลักยึดไม่ให้ตัวเองล้ม มือน้อยแสนซุกซนจับนั่นจับนี่อย่างพยายามสำรวจ
“ใบบัวนี่ยิ้มเก๊งเก่ง เจอหน้าพี่ครั้งแรกก็ยอมให้อุ้ม ไม่ร้องสักแอะ” เขาพูดพลางทำตาหวานเชื่อมส่งให้คุณแม่คนสวยของหนูใบบัว
แม้จะเห็นสายตาของชายหนุ่มที่ส่งมา ทว่าเจ้าหล่อนก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่รับรู้ ทั้งที่หัวใจดวงน้อยกำลังสั่นราวกับมีแผ่นดินไหวแปดจุดแปดริกเตอร์
“ใบบัวเข้ากับคนง่าย อยู่กับใครก็ได้ ไม่ร้องไม่งอแง ยกเว้น..” เธอพูดก่อนจะเงยหน้าสบตากับนายแพทย์หนุ่ม “โดนผู้ใหญ่บางคนแกล้ง”
หนุ่มหน้าหยกอมยิ้ม “ผู้ใหญ่ที่ไหน ทำไมช่างใจร้ายแกล้งเด็กน้อยได้ลงคอ”
“นั่นสิคะ ผู้ใหญ่ใจร้าย”
ติณณภพมองเพื่อนสนิทและน้องสาวของตนสนทนาหยอกล้อกันไปมาด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ ด้วยว่าตัวเองเป็นคนพาทั้งคู่ให้มารู้จักกันแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายถูกทิ้งไว้กลางทาง ไม่มีใครสนใจไยดี ไม่แม้แต่จะหันมามอง
ฮึ! มันน่านัก
“ใบบัว มาหาลุงมา”
คุณลุงขี้งอนหันไปพูดกับหลานสาว
เด็กหญิงณาราซึ่งกำลังคลานต้วมเตี้ยมอยู่บนพื้นไม่ได้ทำตามที่คุณลุงบอกแต่อย่างใด หนูน้อยหยิบนั่นจับนี่ขึ้นมาเล่นตามประสา
คนเป็นลุงทำท่าฮึดฮัดอย่างขัดใจ นีรนาราแอบเห็นปฏิกิริยาของคนแก่ขี้งอนก็นึกรู้ว่าติณณภพกำลังเป็นอะไร
“อยากมีสักคนไหมเฮีย” นีรนาราเปิดบทสนทนากับพี่ชายของตน
ในที่สุด!
ติณณภพฉีกยิ้มแฉ่ง เมื่อน้องสาวในไส้เริ่มเห็นหัวแล้ว
“ไม่ดีกว่าว่ะ เลี้ยงใบบัวช่วยแกนี่แหละ ฉันยังไม่อยากหาบ่วงมาผูกคอตัวเอง”
“แต่แม่รออุ้มหลานเฮียอยู่นะ เห็นว่าแม่อยากได้พี่น้ำมนต์มาเป็นลูกสะใภ้อยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมเฮียไม่ลองจีบดูล่ะ”
ติณณภพทำหน้าขยาดเมื่อนึกถึง ‘ยัยน้ำมนต์นมโต’ ผู้หญิงที่ วันวิสาหมายปองอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้ หน้าตาก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่นิสัยนี่สิ..
..โคตรแสบ!
“ให้ฉันเอายัยนั่นทำเมีย ฉันยอมนอนกอดหมอนข้างไปทั้งชีวิตจะดีกว่า”
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะเฮีย พี่น้ำมนต์ออกจะน่ารัก” นีรนารามองหน้าพี่ชายแล้วรู้สึกหมั่นไส้ อะไรจะรังเกียจเขาได้ขนาดนั้น ท่านอัยการอัปสรสุดาแสนจะเพียบพร้อม ถึงแม้จะแอบปากจัดและกวนตีน (เฉพาะกับติณณภพ) ก็เถอะ
ติณณภพเบะปาก “ตรงไหน หาไม่เคยเจอ”
“จำคำพูดไว้ดีๆ นะเฮีย อย่าให้เบลล์เห็นแล้วกันว่าวันหนึ่งเฮียไปกอดขาอ้อนวอนขอเขาเป็นแฟนน่ะ”
ติณณภพส่ายหัวรัวๆ ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัด
“ดูปากบูมนะครับ ไม่-มี-ทาง!”
“จ้า.. เชื่อจ้า อ้อ! เบลล์ลืมบอก วันนี้แม่ชวนพี่น้ำมนต์มากินข้าวที่บ้านเราด้วยนะเฮีย”
“ก็แล้วแต่สิ จะมาบอกฉันทำไม”
ใบหน้านิ่งๆ แต่จริงๆ ใจผมสั่น ประโยคนี้เป็นเรื่องจริงที่กำลังเกิดขึ้นกับเขา บ้าเอ๊ย! แค่ยัยนั่นจะมา ทำไมก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของผู้ชายหัวใจแข็งแกร่งดั่งหินผา ต้องเต้นตุบๆ ราวกับว่ามีคนเอาค้อนมาทุบรัวๆ แบบนี้ด้วยวะ
บ้าบอ!
“จ้า.. ก็บอกไปอย่างนั้นแหละ เบลล์รู้หรอกน่าว่าเฮียคงไม่สนใจ”
นีรนาราแอบยิ้มคนเดียวเมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างที่มันเล็ดลอดออกมาทางแววตาของพี่ชาย
“แล้วนี่หิวกันหรือยัง เบลล์ลงไปดูดีกว่าว่าน้องเตรียมอาหารไปถึงไหนแล้ว”
ยังไม่ทันที่นีรนาราจะลุกขึ้น แม่ครัวประจำบ้านอย่างพรพระพายก็เปิดประตูเข้ามาเสียก่อน
“อาหารเสร็จแล้วค่ะ”
น้ำเสียงใสหวานไม่ต่างจากหน้าตาจิ้มลิ้มของสาวน้อยทำเอา รัชชานนท์รู้สึกแปลกใจ เดิมทีเขาคิดว่าแม่ครัวที่นีรนาราพูดถึงคือผู้หญิงวัยกลางคนอย่างที่เห็นทั่วไป แต่นี่ทำไม..
“นี่น้องกวางค่ะ ลูกสาวของเพื่อนคุณแม่ บ้านที่ต่างจังหวัดอยู่ข้างกัน น้องเข้ามาเรียนมหา’ ลัยในกรุงเทพฯ”