________________
ฉันเลือกที่จะไม่ตอบอะไร และเดินกลับเข้าห้องของตัวเองก่อนจะปิดประตูลงกลอนล๊อคอย่างแน่นหนา
"ฉันต้องทนอยู่กับความหวาดระแวงแบบนี้ ต่อไปใช่ไหม? "นั้นคือคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน
ก่อนที่ฉันทิ้งตัวนอนลงบนที่นอนเล็กๆ ของตัวเองอย่างเหนื่อยทั้งกายและใจกับปัญหาต่างๆ ที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน
"ลูกที่มีทั้งพ่อและแม่พร้อมหน้าพร้อมตา"
"ก็คงดีกว่ากำพร้าเหมือนเรานะ... พลอยลาลิลณ์"ฉันเอ่ยย้ำกับตัวเองเบาๆ เมื่อนึกถึงหน้าของหลานสาวตัวน้อยๆ ที่เพิ่จะลืมตาดูโลกได้ไม่ถึงเดือน
"ชีวิตคนเรามันไม่ง่ายเลยจริงๆ "ฉันพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจอีกครั้งและอีกครั้งอย่างท้อแท้แต่ต้องฮึดสู้ต่อไป
แน่นอนว่าเมื่อคืนก่อนฉันเกือบจะถูกพี่เขยคนนี้ขื่นใจในห้องนอนของตัวเอง...บ้านของตัวเอง
ฉันกลัวจนเสียสติวิ่งหนีเตลิดออกถนนใหญ่ไป จนถูกรถของพี่ลูคัสชนเข้าเต็มๆ ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้เหยียบเบรคฉันก็คงเหลือแต่ชื่อแล้วจริงๆ
แต่ไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณเขาดีรึเปล่า เพราะการที่เขาเรียกรถพยาบาลเพื่อนำตัวของฉันส่งไปเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลนั้น
ค่ารักษาพยาบาลมันแพงเกินกว่าที่ฉันจะมีปัญหาจ่ายได้ แต่ในเมื่อชีวิตคนเรายังไม่สิ้นสุด เราก็ต้องดิ้นกันต่อไป ~~
ฉันหยิบเอกสารที่เขาให้มาเป็นปึกใหญ่
"Shisha (ชิชา) Hookka (ฮุคค่า) หรือบารากุ? " ฉันค่อยๆ เปิดอ่านไปทีละหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจกับงานที่พี่ลูคัสให้
"เครื่องมือการสูบภาชนะโลหะ รูปทรงคล้ายตะเกียงอาหรับ ส่วนบนสุดวางเส้น มาแอสเซล"
"ห่อกระดาษฟอยล์ ใช้ถ่านกรุ่นความร้อน เผาไหม้ยาเส้นส่งกลิ่นหอมฟุ้งของสมุนไพรธรรมชาติและ...สารเสพติด? " ฉันอ่านไปก็แอบครุ่นคิดตามไป
เพราะฉันไม่เคยอ่านข้อมูลเหล่านี้มาก่อนเลยจริงๆ
"เขาคงไม่ได้ให้ฉันไปขาย สิ่งผิดกฏหมายหรอกนะ" ฉันได้แต่กังวลภายในใจ
แต่ก็จำใจอ่านรายละเอียดทุกอย่าง จริงอย่างที่อลิเซียพูดว่าบ้านของเธอทำธุรกิจสีเทาๆ แต่ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าไอ้คำว่าเทาๆ น่ะ
คือรูปแบบนี้...ถ้าปฎิเสธตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วสินะ
รับปากเขาไปขนาดนั้นแล้ว ใจนึงฉันก็กลัว อีกใจนึงก็กล้า
"พลอยลาลิลณ์เอ้ย!! " ฉันเอากระดาษเหล่านั้นตีหัวตัวเองเบาๆ
-3วันต่อ-
"ช่วงนี้เราไม่ค่อยออกมาจากห้องเลยนะ ลิลณ์" เสียงของพี่บัวเอ่ยทักเมื่อฉันถือเอกสารชุดเดิมเดินออกมาต้มม่าม่ากินเงียบๆ
ฉันหันไปมองหน้าพี่สาวเล็กน้อยและส่ายหน้าเบาๆ เพื่อพยายามเสแสร้งทำเหมือนทุกอย่างมันปกติดี
"พอดีลิลณ์รับงานงานหนึ่งมานะคะ เลยวุ่นๆ กับงานอยู่" ฉันตอบไปพลางเลื่อนเก้าอี้นั่งกลางห้องรับแขกแคบๆ ที่รวมกับห้องครัวของบ้านด้วยนั่นแหละ
พี่บัวกำลังล้างขวดน้ำให้เจ้าตัวเล็ก ก่อนจะนั่งปั้มนมต่อด้วยใบหน้าโทรมๆ
"วันพรุ่งนี้ลิลณ์ต้องไปทำงานนะคะ อาจจะไม่กลับบ้านหลายอาทิตย์" ฉันบอกพลางเป่าม่าม่าไปอย่างพยายามหลบสายตาของพี่สาวตัวเอง
ฉันนั่งโซ้ยม่าม่าไป ก้มอ่านเอกสารนั้นไปจนเกือบจะหมดปึกนั้น
ด้านพี่บัวก็ปั้มน้ำนมต่อไป เพื่อที่จะทำสต๊อกเอาไว้ให้เจ้าตัวเล็ก
เราต่างคนต่างเงียบกันไปสักพักใหญ่ๆ
"ลิลณ์มีอะไรไม่สะดวกใจกับ พี่เต้เขารึเปล่า? " จนพี่บัวทำลายความเงียบด้วยคำถามที่ทำให้ฉันต้องชะงักไปทันที
"มีอะไรรึเปล่าคะ? " ฉันเงยหน้าจากถ้วยม่าม่าและมองหน้าพี่บัวย่างขมวดคิ้วเข้าหากัน
"พอดีเต้เขามาบอกพี่นะ ว่าแลดูเหมือนน้องลิลณ์จะไม่ค่อยชอบเขา" พี่บัวก็พูดต่อด้วยใบหน้าที่ลำบากใจ
ฉันวางช้อนซ้อมลงอย่างข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ในใจ
"ลิลณ์อยู่ของลิลณ์ดีๆ ถ้าพี่เต้ไม่ได้มาทำอะไรให้"
"ลิลณ์ก็คงไม่เกลียดหรอกค่ะ" ฉันตอบไปหน้านิ่งๆ แต่คำตอบของฉันดูเหมือนจะยิ่งทำให้พี่สาวฉันหน้าเสียไปกว่าเดิม
"พี่บัวไม่ต้องคิดมากนะ ถ้าพี่เต้เขาเป็นพ่อและสามีที่ดีของพี่และลูกได้"
"ลิลณ์ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเขาแน่นอน" ฉันตอบไปก่อนจะเก็บถ้วยจาน ไปล้างทันที
"ลิลณ์ขอตัวก่อนนะคะ พอดีต้องใช้สมาธิ" ฉันพูดก่อนจะหยิบเอกสารเกี่ยวกับงานและเดินเข้าห้องไปทันที
ฉันไม่อยากให้พี่บัวคิดมากนะ แต่จะให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยจริงๆ ฉันก็คงไม่ได้เก่งขนาดนั้น
ฉันสะบัดความคิดเหล่านั้นออก และก้มหน้าก้มตาจำพวกอุปกรณ์ ราคา และรายละเอียดต่างๆ ไปจนถึงหน้าสุดท้าย
ด้วยความที่ฉันเป็นคนที่จริงจังกับทุกเรื่อง ฉันอ่านเอกสารเถื่อนๆ เหล่านี้ไป ราวกับว่ามันคือตำราเรียน
ยิ่งกว่าสอบแข่งขันซะอีก
-วันต่อมา-
ฉันสะพายกระเป๋าเป้เดินออกจากห้องมาเพื่อที่จะไปรอหน้าบ้าน
เพราะกลัวว่าถ้าถึงเวลานัดหมายแล้ว พี่ลูคัสอาจจะต้องรอฉันได้
"นั้นลิลณ์จะไปไหนอะ? " จู่ๆ เสียงของพี่เต้ก็เอ่ยทักขึ้นทันทีที่ฉันสะพายกระเป๋าเดินออกมาจากห้อง
"พี่เต้มีอะไรเหรอคะ? " ฉันหันหน้ากลับไปเผชิญหน้าทันที
"นั่นสิเต้ ทักซะบัวตกใจเลย" พี่บัวเองที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารเช้าก็ยังหันไปมองทางสามีของตัวเองแบบงงๆ
"แต่ก็แค่ถามไงบัว เห็นน้องสะพายกระเป๋าใบใหญ่ออกไปจากบ้าน"
"บัวไม่ตกใจรึไง? " พี่เต้ก็พูดอย่างตะกุกตะกัก
"บัวรู้อยู่แล้วนะ น้องบอกบัวแล้วว่าจะไปทำงาน" พี่บัวตอบไปอย่างไม่ได้อะไร
"อ่อ.. " พี่เต้พยักหน้าและนั่งลงทันที
"ถ้าไม่มีอะไร ลิลณ์ไปนะ" ฉันพูดแค่นั้นก่อนจะเดินออกมาจากบ้านเช่าหลังเล็กๆ ทันที
"บัวไม่ถามน้องหน่อยเหรอ ว่าไปทำงานอะไร"
"สมัยนี้งานหลอกลวง งานเสี่ยงอันตรายเยอะแยะเลยนะ" เสียงของพี่เต้บ่นเรื่องของฉันกับพี่บัว
"น้องบัวเป็นผู้หญิงนะ" เขาพูดและทำท่าทีที่ห่วงฉันจนเกินพอดี จนฉันกลัวว่าพี่บัวอาจจะคิดมากได้จริงๆ
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะหันไปตอบโต้อะไร รถของพี่ลูคัสก็ขับมาจอดตรงหน้าบ้านตรงตามเวลาเป๊ะๆ
ซึ่งนั้นทำให้ฉันต้องรีบเดินไปขึ้นของพี่ลูคัสทันที อย่างไม่มีเวลามานั่งถกเถียงอะไรกับสามีพี่บัว
@บนรถ
"จำได้ทั้งหมดไหม? " เขาเอ่ยถามขณะที่ยังคงขับรถมุ่งหน้าตรงออกไปจากกรุงเทพมหานคร
"จำได้หมดค่ะ" ฉันตอบไปอย่างมั่นใจ
"รายละเอียด ราคา ส่วนผสม? " เขาถามขึ้นอย่างไม่มองหน้า
"ค่ะ" ฉันตอบไปตามตรง
คนขับพยักหน้าก่อนจะเหยียบคันเร่งเกือบมิดไมล์ขับตรงไปบนเส้นทางตรงที่มุ่งหน้าออก ต่างจังหวัด
ฉันแอบชำเลืองมองพี่ลูคัสแบบเกร็งๆ แว่นตาดุดันภายใต้แว่นตาสีดำสนิทนั้นยังคงมองตรงไปบนท้องถนนอย่างไม่ละสายตา เขาไม่ค่อยชวนคุยแต่จะพูดเฉพาะเรื่องที่สำคัญๆ เท่านั้น
ฝีเท้าที่เหยียบคันเร่ง ประสานกับมือที่ควบคุมพวกมาลัยได้อย่างชำนาญ ทำให้รถพุ่งทะยานไปราวกับอยู่ในสนามแข่ง
ท่าทางของคนด้านหลังพวกมาลัย ที่ดึงดูดสายตาของฉันให้ไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้เลย
ยอมรับว่า...ฉันมองเขาอยู่นานจนลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้ และมันคงแย่ๆ มากที่ฉันหันไปจ้องเขาอยู่แบบนี้ตลอดระยะการเดินทางที่ยาวไกล...
จู่ๆ สายตาดุดันก็ปรายหางตามามองฉันเพียงแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ แต่นั้นทำให้ฉันรีบหลบสายตาคู่นั้นของเขาทันที
พี่ลูคัสไม่ได้พูดอะไรเลย เขายังคงขับรถต่อไปด้วยความเร็วที่แทบจะมิดไมล์ที่โชว์อยู่บนหน้าปัดดิจิตอล
ถึงแม้ฉันจะหวั่นใจกับความเร็ว แต่ฉันก็ไม่กล้าจะปริปากบ่นอะไรนอกจากนั่งท่องบทสวดมนต์คนเดียว
ไปตลอดเส้นทาง เราใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวัน ก็เดินมาถึงจังหวัดภูเก็ต
สาบานได้เลยว่าฉันไม่เคยมาที่นี้มาก่อน เรียกได้ว่าเป็นการเห็นทะเลครั้งแรกเลยก็ว่าได้
ฉันเหม่อมองออกไปตามชายหาด ที่สวยสะดุดตา น้ำทะเลสีคราม แสงแดดอ่อนที่กระทบลงบนพื้นน้ำ
สวยจนเกินจะบรรยายออกมาได้จริงๆ
"กูถึงแล้ว พวกมึงขับรถมาถึงกันหมดแล้วใช่ไหม? " คนข้างๆ พูดใส่โทรศัพท์ก่อนจะชะลอความเร็วลง
เมื่อเราขับลัดเลาะไปตามชายหาดที่เงียบสงัดในเวลานี้
"ดี! เพราะกูเคลียร์กับตำรวจหมดแล้ว เลยไม่มีตั้งด่านตรวจเลยตลอดเส้นทาง"
"เราก็คงน่าจะไม่มีปัญหาอะไร" เขาพูดอย่างพลางเปิดกระจกฝั่งของฉัน และฝั่งของตัวเองด้วย
ทำให้ฉันรีบโผล่หน้าออกไปเล็กน้อยเพื่อมองดูทะเลสีครามด้วยตาเปล่า
ฝั่งของพี่ลูคัสเขาก็ลดกระจกลงเพื่อที่จะสูบบุหรี่ไปขับรถไปด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม และเสียงแข็งเวลาคุยโต้ตอบกับปลายสายนั้น เท่าที่ฉันแอบเดาๆ จากคำพูดของเขา มันก็ทำให้ฉันหายสงสัยได้ว่าทำไมเราถึงไม่นั่งเครื่องบินจากกรุงเทพ มาภูเก็ต นั้นเพราะว่าถ้าเรานั่งเครื่อง เราคงต้องผ่านเครื่องสแกนและด่านตรวจเข้มงวด
จู่ๆ ฉันก็ฉุดคิดขึ้นมาได้ จึงเหลือบหันไปมองหลังรถของเขาทันที
และสิ่งที่พบก็คือห่อกระดาษฟอยล์มากมาย และนั้นทำเอาฉันหน้าซีดขึ้นมาทันที
"งั้นแค่นี้ เจอกันที่โรงแรม" คนข้างๆ พูดพลางกดวางสายไปทันทีก่อนจะโยนโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ตัวของฉัน
"นั่นไม่ใช่ยาบ้า ไม่ต้องกลัวจนหัวหดขนาดนั้นหรอกน่า" พี่ลูคัสเหมือนอ่านความคิดของฉันออก ซึ่งเขาก็หันมาตอบทันทีที่เห็นท่าทีแปลกๆ ของฉัน
"แต่มันก็ผิดกฏหมายใช่ไหมคะ? " ฉันถามไปอย่างเริ่มไม่มั่นใจ
"หึ ทำไมตาขาวขึ้นแล้วเหรอ? " เขาหันมามองทางฉันและแสยะยิ้มเบาๆ
"ฉันแค่... " ฉันเริ่มลังเลใจที่จะเริ่มทำงานนี้
เกิดว่าฉันไม่เคยทำผิดเลยนะ แม้แต่ศีล5ก็แทบจะไม่เคยผิด
แต่เริ่มมาผิดศีลธรรมก็ตั้งแต่ได้รู้จักยัยอลิเซีย และพี่ชายของเธอเนี้ยแหละ
"มาแอสเซล คืออะไร? " เขาหันมาถามฉันด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย
"มาแอสเซลคือ...น้ำผึ้ง กากน้ำตาล ผลไม้ ดอกไม้ตากแห้ง สมุนไพรแท้จากฝั่งอาหรับ... " ฉันตอบไปตามที่อ่านมาอย่างรวดเร็วและฉะฉาน
"แล้วมันมีอะไรที่ผิดกฏหมายงั้นเหรอ? " คนเอียงคอถามกลับมาด้วยท่าทีเหวี่ยงๆ
เขาพูดออกมาอย่างไม่ได้เกร็งกลัวต่ออะไรเลยจริงๆ
ทำให้ฉันทำได้แค่เงียบอย่างสงบปากสงบคำ
เราสองคนขับรถมาจนถึงโรงแรมแห่งสุดหรูแห่งหนึ่งซึ่งติดกับริมหาดทราย ยาวสุดลูกหูลูกตา
"พนักงานโรงแรมที่นี้ แต่งชุดดำกันหมดเลยแหะ" ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นชายชุดดำยืนกันอยู่ตามจุดต่างๆ
"นั่นคนของฉัน ไม่ใช่พนักงาน" เขาหันมาแขวะใส่ฉันเบาๆ
"อ่อ.. " ฉันก็พยักหน้าตอบไป
ทันทีที่ฉันลงจากรถ ก็ทำได้แค่เพียงเดินตามหลังพี่ลูคัสไปเรื่อยๆ
ซึ่งพอไปถึงพวกลูกน้องของเขาก็เข้ามาช่วยขนของและอำนวยความสะดวกให้กับเจ้านายของ เขาเต็มที่
แต่ช่วยถือกระเป๋าและดูแลแค่เจ้านายเท่านั้นนะ
เพราะไม่มีใครเห็นหัวฉันเลยสักคน จนกระทั่ง
"เจบี~" ฉันยิ้มออกมาทันทีที่เจอเจบี เพื่อนร่วมห้องของตัวเอง
ฉันรีบเอ่ยทักไปอย่างลืมตัวด้วยความดีใจแม้ว่าเราจะไม่ได้สนิทกันมากนัก แต่เราก็พักกลางวันกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ
เพราะฉันนั่งข้างอลิเซียตลอด และเจบีก็ตัวติดอลิเซียเช่นกัน
พี่ลูคัสหันมามองฉันเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร
ด้านเจบีก็หรี่ตามองอย่างงงๆ ว่าฉันคือใครกัน...
แน่นอนว่าฉันนับเจบีเป็นเพื่อน แต่ไม่รู้ว่าเขาจะนับฉันเป็นเพื่อนเขาไหมนะสิ
"ยัย...หัวหน้าห้อง" เจบีชี้หน้าอย่างจำฉันได้และยิ้มออกมาทำให้ฉันค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย
"มาทำไรที่นี้อะ? " เจบีถามและหันไปมองฉันสลับกับพี่ลูคัสเล็กน้อย
"มึงจะถามไถ่สารทุกข์สุขดิบยัยนี่อีกนานไหม? " พี่ลูคัสขึ้นเสียงด้วยท่าทีรำคาญ นั้นทำให้เราสองคนเงียบแบบทันที
"กูทำงานนะ ไม่ได้มางานเลี้ยงรุ่น" คนตัวสูงพูดกระแทกเสียงใส่เจบีไป
"โทษทีเฮีย" เจบีเองก็ยังกลัวๆ และรีบเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นจริงจังแบบเดิมทันที
"ผมเหมาห้องพักโซนริมชายหาดไว้หมดแล้วนะเฮีย"
"จะไม่มีคนอื่นเข้ามาก้าวก่ายการคุยธุรกิจของเราทั้งอาทิตย์นี้และมันจะต้องราบรื่นดีแน่ๆ" เจบีเอ่ยบอกกับพี่ชายอลิเซียอย่างดูเป็นการเป็นงาน
"อื้ม กูก็คิดแบบนั้น" เขาพยักหน้ารับและเอาลิ้นดุ้นๆ แก้มอย่างครุ่นคิดอะไรสักอย่างอยู่
"ว่าแต่เฮียให้ยัยนี้มาทำอะไรเหรอ? " เจบีมองมาที่ฉันอย่างประหลาดใจ