9
เจ้าของร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าเลื่อนมือขึ้นจับเข็มขัดหนังเหนือกางเกงสแล็ค จัดแจงตัวเองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เสยผมชี้ฟูให้เรียบลงด้วยเจลใส เปลี่ยนจากแว่นกรอบหนาเป็นคอนแทคเลนส์ ค่อยปิดประตูไม้สลักสลายสวยลงเบา ๆ
“คุณป้อง... จะทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ไหมคะ? ป้าจะได้เตรียมสำรับอีกที่หนึ่ง” เสียงแม่บ้านสาวใหญ่เรียกชายหนุ่มที่กำลังรีบร้อนลงบันไดให้หันหลังมองขวับ
“ไม่ครับไม่กิน ผมจะไปนั่งกินหน้ามหา’ลัย ป้าติ๋วไม่ต้องเตรียมเผื่อนะวันนี้ไปแล้วไม่กลับ... ยาวครับ...”
นั่นหมายความว่าคงไม่มีใครได้เห็นหน้าเขาไปสักพักใหญ่ ๆ ซึ่งนับเป็นเรื่องธรรมดา หลังซื้อคอนโดฯ ใกล้มหา’ลัยแล้วไม่มีใครเคยเห็นหน้าค่าตาลูกชายคนโตบ้านเจ้าสัวบูรพากรณ์ ที่กลับมาเหยียบบ้านปีละสองถึงสามครั้ง
คฤหาสน์หลังงามพื้นที่ถึงหกไร่ ก่อนจะออกไปต้องผ่านห้องรับแขกกว้างขวาง ตกแต่งด้วยโทนขาวเรียบง่ายทว่าอลังการด้วยโคมไฟระย้า โซฟาหลุยส์และเครื่องเงินในตู้กระจก งานอวดฐานะความร่ำรวยของเจ้าของบ้าน
ป้องเกียรติกระชับกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเข้มสำหรับใส่เอกสารการสอนของเขาแนบกาย เหยียบย่องผ่านพื้นพรมด้วยถุงเท้าสีขาว ด้วยความที่เขาขี้เกียจต่อปากต่อคำกับใคร แต่คงเป็นไปไม่ได้เลยที่พ่อแม่จะไม่เห็น
“จะรีบไปไหนลูก? ไหนว่าวันนี้ไม่มีสอนไง อยู่กินข้าวกับพ่อแม่ก่อนสิ”
“มีธุระครับพ่อ ไปแล้วครับ”
พูดพลันก้าวฉับ ๆ โดยไม่เหลียวมองหลัง ทั้งคุณพ่อที่นั่งจุดซิการ์ ไขว่ห้างหน้าจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่เท่าโรงหนัง คุณแม่เดินตามมาถามถึงหน้าบันไดบ้านที่มีประตูบานสูงใหญ่จรดเพดานเรื่องนัดบอดอะไรสักอย่างเขาก็ไม่ฟัง นั่งยองลงก้มหน้ายัดเท้าตัวเองเข้าไปในรองเท้าหนังเป็นเงามัน
“เดี๋ยวสิตาป้อง วันนี้น้องอยู่บ้านนะ หนูนารีเพื่อนน้องจะมาทานข้าวเย็น...”
“ไม่ว่างครับแม่ผมต้องกลับไปเตรียมเอกสารการสอน”
“แต่แม่...”
“คราวที่แล้วแม่ขอให้ผมไปตามเรื่องนายปัดให้น้องวิ ผมก็ไปให้แล้วนะครับ คราวนี้ผมขอ...”
ครั้งหนึ่งก็พ่อแม่นั่นแหละที่บอกให้ลูกชายไปคุยกับเจ้าของร้านเบเกอรี่สาวให้เลิกยุ่งกับปัถฐพล แต่ว่าเขาดันใจเสาะไม่กล้าเข้าไปคุยกับเธอสักที พอไปนั่งกินเค้กบ่อยเข้าดันตกหลุมรักคนทำเค้กเข้าให้อีก!
ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากเจ้าตัวที่ยืนหน้าตาถมึงทึง
“ป้อง... ฟังแม่ก่อนนะลูก...”
“ไม่ฟังครับแม่ ผมไม่สนใจผู้หญิงที่แม่เลือก ใครเลือกให้ผมก็ไม่เอา... ถ้ายังพูดเรื่องนี้อีกผมจะไม่กลับบ้าน... ไปนะครับสวัสดี” แล้วยกมือไหว้ปลก ๆ ก่อนเดินอาด ๆ ไป เสียงทอดถอนหายใจยาวดังจากคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่อยากจะเซ้าซี้ให้ผิดใจกัน
ธรรมดาของลูกทั้งสามคนมีนิสัยเอาแต่ใจ ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่เพราะถูกเลี้ยงดูมาอย่างลูกคนรวย ถูกสปอยล์สุด ๆ นิสัยดีที่สุดในบ้านคงเป็นดอกเตอร์หนุ่มทุนเรียนดีรัฐบาล ทว่าการเรียนจบมาด้วยเงินของตัวเองนั้นทำให้เขาไม่แคร์ใคร
ป้องเกียรติหยุดยืนในโรงรถที่สามารถจอดรถได้ถึงยี่สิบคัน ตามองกุญแจหลายชุดรายเรียงบนฝาผนัง เกือบที่จะเลือกรถยนต์คันอื่นไปทำงาน ยืนเอามือแตะคางมองไปมองมา ในที่สุดก็หยิบกุญแจรถของตัวเองออกมาจากกระเป๋าหนังสีดำ
สปอร์ตคาร์นับสิบจอดเรียงรายสลับสี อวดรูปโฉมงามตามความแพงของมันเหมือนเปิดโชว์รูมรถรวมมูลค่าหลายร้อยล้าน แน่นอนว่านั่นไม่ใช่รถของอาจารย์
ฟอร์จูนเนอร์เป็นรถของป้องเกียรติ มันใช้งานได้ดีสำหรับเขาและเจ้าของร้านเบเกอรี่สาวที่ไม่ใช่คนถือตัว ไม่สนใจเรื่องความโก้หรูเงินทองของนอกกาย ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มสดใสเพียงนึกถึงแก้มแดงซ่านซึ่งมักเกิดขึ้นต่อหน้าเขา ทว่าทันใดนั้นเอง
“พี่ป้อง! อีพี่ป้องงงโว้ยยยย!”
เสียงแหลมเล็กหยุดความคิดและอารมณ์แสนหวาน ป้องเกียรติส่ายหน้าหัวเสียทันทีที่ร่างบางในเสื้อเอวลอยกางเกงขาสั้นเต่อกระแทกเท้าปึงปังมายืนข้าง ๆ
“ทำไมต้องเสียงดัง? เรียกธรรมดาก็ได้”
“เรียกไม่เคยได้ยิน เรียกแล้วพี่เคยหยุดหรือเปล่า เดินดุ่ย ๆ เป็นเขมรไล่ควายจะรีบไปไหนฮะ?” ว่าในสีหน้าชิงชังรังเกียจ ยกมือขึ้นเท้าเอว “พี่เห็นผัวหนูไหม?”
“ไม่เห็น... ผัวแก ฉันจะไปเห็นเหรอ? ทำไมไม่เฝ้าไว้ดี ๆ ล่ะ เอาโซ่ล่ามไว้เลยสิ”
“ไอ้พี่บ้า!”
“ก็พูดจริง ผัวใครที่ไหนใครมันจะไปเห็น ผัวแกมันต้องอยู่กับแกมาถามคนอื่นหาพระแสงอะไร เว้นแต่ว่าเขาจะไม่อยากอยู่กับแกเพราะสันดานแบบนี้ไง”
พูดจบ ชายหนุ่มรีบกระโจนกายขึ้นรถ ปิดประตูใส่น้องสาวที่ยืนชี้นิ้วด่ากร้าวเสียงดังเหมือนคนเสียสติ ปลายเท้าเหยียบคันเร่งแรงออกจากโรงรถ
ตุบ!
ของแข็งที่ลอยมากระทบลงบนกระจกพาตาคมมองขวับตามจอมอนิเตอร์ของกล้องรอบตัวรถ พลันกรามแกร่งขบกันแน่นเป็นสันนูน
ไม่ต้องเดาเลย... ไม่ใช่มือถือก็คงจะเป็น... รองเท้าส้นสูง!
“โอ๊ย... อีวิ! อีน้องบ้า! รถเป็นรอยหมดแล้วเนี่ย!”
เจ้าของร้านคนสวยนั่งจิบชาด้วยท่าทางสบาย ๆ ในเดรสลายดอกไม้ความยาวประหน้าขา ต่างหูสร้อยข้อมือดอกไม้ลวดลายเข้ากับเค้กในตู้แช่เย็นที่แต่งแต้มด้วยครีมสีสันสดใส
ปวิมลมานั่งกินกาแฟในตอนเช้า ค่อนข้างแปลกใจกับท่าทางเฉย ๆ ชิลล์ ๆ ขณะไล่สายตามองเพื่อนแต่หัวจรดเท้า
“แหม... หน้าตาเพื่อนฉันดูดีจัง แต่งตัวสวยขึ้นทุกวัน ได้ข่าวว่ามีอาจารย์มาจีบเหรอคะ?”
“คนคุยกันเฉย ๆ แลกเปลี่ยนทัศนคติ เขาชอบวาดรูปสวย ๆ ให้ฉันน่ะ”
“อาจารย์คนไหนวะแก? สอนคณะอะไร ทำไมฉันมาทีไรไม่ยักเจอ”
“อาจารย์ป้องเขาสอนคอมฯ พวกเขียนโปรแกรมอะ แกโหดมากเลยนะนักศึกษาเกรงใจทุกคน เขาชอบมาช่วงบ่าย ๆ แกไม่อยู่ไงวิ ไปเข้างานซะก่อน”
“ตกลงเป็นอะไรกันแน่ยะ?” คนถามยกมือป้องปาก ตรงข้ามคนที่มีรอยยิ้มขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
เณศราค่อนข้างถูกชะตาอาจารย์หนุ่ม เธอสนิทสนมกับเขามากขึ้นในทุกวัน บทสนทนาของเธอและเขามักเป็นไปอย่างธรรมชาติ เขาแวะมาหาเธอพานั่งรถไฟฟ้านั่งเรือบ่อย ๆ มาวาดรูปให้ในสวนด้านหลังร้าน ทานขนมเค้กที่เธอทำทุกเมนูแม้แต่โกโก้ สตรอว์เบอร์รีปั่นที่เขาไม่ชอบนักเพราะเป็นคนชอบกาแฟดำขม ๆ มากกว่า เธอรู้ว่าเขาก็แค่พยายามเอาใจเธอไม่ว่าอะไรที่ขอให้ลองชิมหน่อย ในร้านเบเกอรี่ซึ่งเคยปกคลุมด้วยหมอกทะมึนจึงมีสีสันสดใสขึ้นมา
สำหรับเธอแล้วอาจารย์ป้องเป็นหนุ่มค่อนข้างนิสัยดีคนหนึ่ง ยังเป็นที่หมายปองของสาวน้อยใหญ่ ซึ่งเธอคิดว่าหากนิ่งนานไปรถไฟขบวนสุดท้ายคงได้มีชวด!
แต่การพูดคุยกันไปก่อนน่าจะดีกว่า เธอคงไม่อยากก้าวพลาดอีกซ้ำสอง
“เป็นเพื่อน... รุ่นพี่อะไรประมาณนั้น เป็นลูกค้าที่ชอบมานั่งกินเค้กไม่มีอะไรนี่”
“ปากบอกไม่สนิทแต่นับพี่น้องแล้วให้ตายเถอะนังเนย ได้ยินน้องพลอยบอกว่าตี๋เนิร์ดหล่อมาก กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ตกลงว่ากิ๊กใหม่แกใช่ไหมยะ”
กิ๊ก! คราวนี้เป็นเธอตกใจจนสำลักน้ำจากแก้วชา วางมันลงเบา ๆ บนโต๊ะกระจกแล้วเอื้อมไปหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาเช็ดขอบปากด้วยท่าทางสมเป็นกุลสตรี
“แกจะมาเซ้าซี้ฉันทำไมเนี่ย? ยัยวิ... ตัวแกเหอะวัน ๆ ทำแต่งานเมื่อไรจะมีแฟน มีคนคุยกับเขา”
“ไม่มีอะไม่รีบ เบื่อผู้ชาย นี่ถ้าเจอซื่อ ๆ ใส ๆ แบบพี่...” ปลายเสียงเงียบกริบพอเผลอลืมตัวพูดเรื่องที่อาจทำให้เพื่อนไม่สบายใจ ปวิมลยิ้มเจื่อน เกือบจะได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาหากอีกฝ่ายไม่วกเข้าเรื่องเดิม
“ไม่ซื่อหรอกพี่ชายแกน่ะกะล่อน ถ้าซื่อจริงเขาจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ไม่คบซ้อน แต่จะทำอะไรตรงไปตรงมาแบบฉัน ตื่นมาเปิดร้านขายของ เย็นกลับบ้านนอนพักผ่อนจะได้มีแรงทำงาน”
ผู้ชายบางคนยังคงทำให้เณศราสิ้นหวังในความรัก ทว่าการเลิกราของชายหญิงคงเป็นไปเหมือนคู่อื่น ๆ
ทุกอย่างมีหนทางของมัน ระยะเวลาที่ผ่านไปสักพักหลายคนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนอกเหนือจากเรื่องการแต่งตัวและกลับมาดูแลตัวเอง
เธอตัดสินใจจ้างผู้จัดการร้านคนใหม่มาดูแลร้านเพื่อที่จะมีเวลาทำอะไรมากขึ้น ติดต่อโรงงานทำขนมปังเพื่อทำแบรนด์ขายออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ต ยังพูดถึงการขยายกิจการ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอแค่ตื่นมาอบเค้กไปวัน ๆ ไม่ใช่คนทะเยอทะยานขวนขวายอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นเขา
แค่เคยคิดว่าที่มีมันพอแล้ว...
ก็แค่เคยคิด...
หญิงสาวใช้เวลาคุยกับเพื่อนไม่นานนัก พอผู้จัดการร้านมาเข้างาน จึงได้โอกาสไปทำธุระเรื่องเอกสารข้างนอกก่อนกลับมาที่ร้านอีกรอบ ซึ่งเธอเห็นว่าเพื่อนยังไม่ไปแต่นั่งกินขนมเค้ก ซื้อกาแฟเพิ่มอีกแล้วกับคนมาใหม่
รอยยิ้มบนวงหน้าหวานหายไปทันที เพียงโต๊ะว่างเปล่าถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกแสนหวาน มากพอกับความเจ็บ!
สีหน้าไม่เป็นสุขใต้เชิ้ตสีครีมอ่อน กางเกงขาลอยเต่อสีดำ ขอบตาดำคล้ำต่างจากเจ้าบ่าวแสนหล่อเหลาที่พบในวันงานมงคลบอกว่าเขาไม่ได้มีความสุข
“เนย...”
“ตามสบายนะคะพี่ปัด... มีอะไรสั่งทานได้เลยนะ เนยยินดีต้อนรับเหมือนเดิม”
ในท่าทีห่างเหินหลังจากที่เธอตัดสัมพันธ์เขาไม่มีเหลือแม้เยื่อใย ปัถฐพลรู้สึกผิดมาตลอดและเขาตั้งใจมาขอโทษ ทว่าพอเขาจะอ้าปากเธอก็พูดแทรก
“ลูกค้าเยอะนิดนึง มีธุระอะไรรบกวนทิ้งข้อความไว้ในไลน์เนยนะ บอกผ่านยัยวิก็ได้ ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวสิเนย... พี่มีเรื่องจะคุย...” ลุกขึ้นเดินตามไปในทันทีแม้น้องสาวจะเรียกปรามห้ามก็ไม่ฟัง ทันใดนั้นเอง กำแพงมนุษย์เข้ามากั้นกลางระหว่างเธอและเขาอย่างไม่สนใจใครมาก่อนหลัง
ตกใจแล้วหนึ่ง! เป็นเจ้าของร้านที่เงยขึ้นมองตามความสูงของชายตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหลาไร้แว่นกรอบหนาเผยนัยน์ตาสดใสใต้คิ้วเข้มขนานคู่กัน สะกดสายตาสาวทุกคู่ของสาว ๆ ในร้าน
“ยุ่งเหรอครับ?”
เณศราส่ายหน้าไว ๆ “ไม่ยุ่งค่ะ”
คนคุ้นเคยกันดียังแอบซ่อนบางอย่างไว้ข้างหลังให้เธอสงสัยอยู่ครู่ ก่อนจะเลื่อนมันออกมา
“พี่ผ่านร้านดอกไม้เมื่อเช้า... ช่วยรับไว้ได้ไหม?”
“เอ่อ... ค่ะ ขอบคุณนะคะ...” รอยยิ้มเอียงอายของเธอไม่ปิดบังความรู้สึกเลย ไม่ใช่เพราะอยากประชดใคร
แต่เพราะดอกกุหลาบแดงช่อโตช่อเดียว...
เท่านั้นจริง ๆ...