"ตัวรุมๆเหมือนจะมีไข้ แถมวันนี้กินเยอะซะด้วย เพิ่งหลับไปเองค่ะ"ธัญญ์นลินเอ่ยบอกสามีเมื่อลูกชายคนเล็กตื่นมาก็ซึมๆร้องไห้งอแง คล้ายจะเป็นไข้เพราะวันนี้พาออกไปตากแอร์ข้างนอกนานแถมยังกินไอศกรีมไปถ้วยใหญ่อีกด้วย
"ทำไงดีคะ ตาซอก็ต้องเตรียมตัวไปงานแล้ว"ห่วงลูกคนเล็กก็ห่วงคนโตก็ห่วงตอนนี้เธอสองจิตสองใจห่วงหน้าพะวงหลัง
"งั้นคุณอยู่บ้านดูแลลูกเถอะ เดี๋ยวตาซอผมจะไปเป็นเพื่อนเอง"
"จะดีหรอคะ" ถึงจะพอพูดคุยกันบ้างแล้วแต่พ่อลูกยังไม่คุ้นชินกันมากนัก
"ไม่เป็นไรหรอก ผมดูแลได้"ฐิติกรเอ่ย เขาเข้าใจว่าภรรยาเป็นห่วง กลัวว่ายังเข้ากับลูกได้ไม่ดีนักแต่ธัญญ์นลินห่วงในอีกเรื่องต่างหาก
"งั้นก็ฝากด้วยนะคะ อ้อ ห้ามห่างตัวลูกแม้แต่ก้าวเดียวด้วย ถ้าใครพูดไม่เข้าหูก็"หญิงสาวสั่งความสามีอย่างลืมตัวก็ชะงักไปนึกไป เธอกังวลจนจิตตก
"ใครจะพูดอะไรไม่เข้าหูงั้นหรอ"
"ไม่มีอะไรหรอก ฉันคงคิดมากไป นานๆลูกจะไปงานเลี้ยงข้างนอกเลยกังวลน่ะค่ะ"ทั้งสองหยุดสนทนากันเพียงเท่านั้นจนถึงเวลาททั้งสองหยุดสนทนากันเพียงเท่านั้นจนถึงเวลาที่จะต้องเดินทาง
"แม่ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปกับลูกแล้ว"เธอโน้มตัวลงไปจุ๊บหน้าผากลูกเบาๆบอกเขาด้วยความรู้สึกผิด เด็กชายพยักบอกว่าไม่เป็นไร
"ไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย" ฐิติกรบอกลูก จูงมือเด็กชายไปที่รถโดยมีแช่มเป็นคนขับรถตอนแรกเขาจะเป็นคนไปส่งลูกกับภรรยาเองแต่ภรรยาไปไม่ได้แล้วเขาเลยให้แช่มขับรถให้
สองพ่อลูกนั่งเงียบมาตลอดทางไม่ได้พูดอะไรกันมากนักเพราะเขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับลูกชายเลยและยังไม่คุ้นชินกับการพูดคุยกันเท่าไหร่แต่ก็ไม่มีบรรยากาศชวนอึดอัดแต่อย่างใด
เมื่อมาถึงบ้านของเพื่อนลูกชายสถานที่จัดงานแล้วสองพ่อลูกก็พากันเข้าไปในงาน เอาของขวัญให้กับเจ้าของวันเกิดเรียบร้อย ก็คนเข้ามาทักทายชายหนุ่มบ้างเขาก็เอ่ยพูดคุยทักทายกลับตามมารยาท
"อ้าว นั่นลูกชายคุณสิทธิกรนี่นา"จิราภรณ์หญิงสาววัยใกล้เคียงกับฐิติกรเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาในงานก็จำหน้าได้เคยเห็นตามงานบ้างแต่ไม่เคยได้ทักทายกัน
"จริงด้วย เคยเห็นตามงานบ่อยๆ ไม่คิดว่าจะมาอยู่ที่นี่"ผู้หญิงในกลุ่มมีกันสามสี่คนเมื่อเห็นอีกคนสนใจ ทั้งหมดก็หันไปมอง หญิงร่างท้วมก็เอ่ยขึ้นบ้างอย่างไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจอะไร
"คงมากับลูกชายนั่นแหล่ะ แปลกตรงไหน"เธอชี้ให้ดูเด็กชายในเสื้อเชิ๊ตสีฟ้าอ่อนที่เหมือนกับพ่อของเขา เด็กชายยืนอยู่กับเด็กผู้หญิงอีกคนที่คงมากับคนที่ชายหนุ่มคุยด้วย
"เพราะมาด้วยนะสิถึงแปลก ไม่เคยได้ยินข่าวหรือไงคะ" จิราภรณ์คันปากยุบยิบเมื่อมีเรื่องให้เม้าส์มอยแก้เบื่อ
"ข่าวอะไร"คราวนี้ทั้งกลุ่มก็หันไปมองที่เป้าหมายเป็นตาเดียวตาอย่างกระหายใคร่รู้
"นั่นน่ะ เป็นลูกชายคนโต"เธอจิบน้ำผลไม้ให้คล่องคอกันก่อนเล่าบ่าอย่างใจเย็น
"ข่าวดังมากเลยนะคะ ตอนนั้นคุณขลุ่ยฮอตมากเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงสาวๆนี่กรี๊ดตรึมเลย แต่กลับไปคว้าเอาผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ไหนมาก็ไม่รู้เข้าบ้าน แม่เขานี่โกรธจนเป็นลมไปหลายตลบ แต่ก็ต้องยอมแหล่ะเพราะผู้หญิงดันท้อง"จิราภรณ์ปิดปากกลั้วหัวเราะอย่างมีจริต เธอแอบสะใจลึกๆเพราะสามีเธอก็คือคู่แข่งทางธุรกิจของเขาแม้ว่ากิจการบ้านเธอจะเล็กกว่าของเขามากก็ตามถึงไม่มีผลประโยชน์อะไร แต่เรื่องซุบซิบนินทาก็เป็นเรื่องสนุกของผู้หญิงอยู่แล้ว
"งั้น เด็กในท้องที่ว่าก็คือเด็กนั่นหรอคะ"
"ใช่ค่ะ มีข่าวแว่วมาว่าเป็นโสเภณีเสียด้วยซ้ำ แต่ทางนั้นปิดข่าวเพราะแค่นั้นก็อับอายขายขี้หน้าเขาไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว"
"อืม พอจะได้ยินคนพูดกันอยู่บ้างว่าคุณหญิงฐิตินันท์ไม่ชอบหน้าหลานชายคนโตเท่าไหร่"อีกคนเออออตามไปด้วย
"อย่าว่าแต่ย่าเลยค่ะ แม้แต่คนเป็นพ่อยังไม่สนใจลูกเมียเลย คิดดูสิคะอยู่ด้วยกันจนมีลูกสองคนไม่เคยพาออกงานเลยสักงานเดียว มีใครเคยเห็นภรรยาของเขาบ้างแทบไม่มีเลยสักคน นี่ดิฉันคิดว่าเขาโสดด้วยซ้ำไป"ขณะที่คนอื่นๆกำลังนินทาครอบครัวเขาอยู่นั้น ฐิติกรกำลังคุยกับชายวัย40เขาก็มาเป็นเพื่อนลูกสาวเหมือนกัน
"จะรีโนเวทงั้นหรอ เอาไว้วันจันทร์พี่จะเข้าไปหา เพิ่งได้นักออกแบบคนใหม่มา คนนี้ใช้ได้เลยเดี๋ยวจะพาไปให้รู้จัก"กิติพงษ์เจ้าของบริษัทออกแบบภายในกำลังคุยออกรสออกชาติอย่างถูกคอ เขารู้จักกับฐิติกรผ่านทางนายสิทธิกรที่เรียกใช้บริษัทเขาอยู่บ่อยๆทำให้เจอฐิติกรบ้างยิ่งช่วงหลังแทบจะเรียกว่าสนิทสนมกัน
"ไปหาขนมกินกันเถอะ" เด็กหญิงเอ่ยกับฐิรดล อย่างเบื่อๆเมื่อเห็นว่าพ่อมัวแต่คุย ว่าแล้วเด็กหญิงก็เอ่ยขัดคุณพ่อเบาๆ
"หนูกับซอไปหาขนมกินนะคะคุณพ่อ" พ่อสองคนหันไปมองลูกๆที่พวกเขาห่วงคุยงานกันจนลืมไปเลย คนที่อยากได้งานจ้างก็รีบพยักหน้าเบาๆ
"ไปสิ ซอลุงฝากดูน้ำหวานด้วยนะ"เขาหันไปเอ่ยกับเด็กชายไม่อยากให้ลูกมาขัดจังหวะขายงาน
ฐิติกรมองลูกก็เห็นเขายิ้มให้บางๆเลยคิดว่าไม่น่าห่วงอะไรเด็กน้ำหวานเองเขาก็เคยเจอบ้างเวลาที่กิติพงษ์พาออกงาน เป็นเด็กพูดมากไปสักหน่อยแต่ก็น่ารักดี
"เดี๋ยวพ่อตามไปครับ"เขาบอกลูกชาย เด็กชายรับคำก็ถูกน้ำหวานดันตัวออกไปไม่อยากอยู่ฟังพ่อพล่ามต่ออีกแม้แต่นิดเดียว
"เร็วๆ เราหิวจะตายแล้ว คุณพ่อน่าเบื่อ พ่อซอยังไม่พูดมากเท่าพ่อเราเลย"เด็กหญิงบ่นให้เพื่อนฟัง
"ก็ดีแล้วนี่นา พ่อพูดเก่งจะได้คุยกันเยอะๆไง คุณพ่อกับเราแทบไม่ได้คุยกันเลย"เขาบอกตามความรู้สึกเพราะคุณพ่อเขาไม่ค่อยพูดเท่าไหร่บางทีถ้าพ่อพูดเก่งๆเหมือนคุณพ่อน้ำหวานบ้างก็คงดีจะได้มีเรื่องให้คุยกันเยอะๆ
เด็กทั้งสองคุยกันมาที่โซนของว่างโดยไม่รู้เลยว่ามีผู้ใหญ่กลุ่มนึงที่อยู่ใกล้ๆแอบฟังอย่างสนใจ
"นั่นไงล่ะคะ บอกแล้วว่าคงจะเลี่ยงไม่ได้มากกว่าถึงได้มาด้วย ใครๆก็พูดกันว่าเขาไม่ได้รักลูกเมียคนนี้เท่าไหร่ อยู่กันไปงั้นๆ ไม่นานก็คงได้เลิกกัน"จิราภรณ์ยังเติมเชื้อไฟต่อ
"งั้นก็น่าสงสารเด็กนะคะ"
"ใช่ค่ะ โดยเฉพาะเด็กคนนี้ ลูกชังหลานชังเลยก็ว่าได้งานโรงเรียนกี่ปีกี่ปีก็ไม่มีพ่อมาร่วมมีแต่พ่อบ้านจนคิดว่าเป็นลูกพ่อบ้านซะอีก"จิราภรณ์พูดอย่างสนุกสนาน
"มารหัวขนก็แบบนั้นแหล่ะ ใครจะรักใคร่ได้สนิทใจ"
"มารหัวขนคืออะไรคะคุณป้า"น้ำหวานเอ่ยแทรกขัดจังหวะ เธอกับฐิรดลยืนกินขนมอยู่ด้วยกันก็ได้ยินป้าๆกลุ่มนี้มองพวกเธอแล้วก็ซุมหัวกระซิบหัวเราะกันสนุกสนานเธอยืนร่วมวงฟังอยู่ด้วยตั้งนานยังไม่รู้ตัวสักนิด ฐิรดลที่จะเข้ามาดึงเพื่อนออกไปเพราะกลัวโดนดุกลับได้ยินเต็มสองหู สีหน้าของเด็กชายซีดเผือดเขายืนตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกน้ำ เมื่อพอจะเดาได้ว่าที่ผู้ใหญ่กลุ่มนี้พูดถึงคือใคร
ดวงตากลมโตเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลออย่างน่าสงสารแม้จะไม่รู้ความหมายแต่เขาก็ไม่ได้โง่ที่ไม่รู้ว่ามันไม่ดี คนอื่นๆพากันตกใจเมื่อเห็นเด็กที่พวกตนกำลังพูดถึงอย่างสนุกปากมาอยู่ข้างหลัง
"พวกป้านี่ พูดถึงซอหรอ"น้ำหวานเอ่ยถามเพื่อนแค่นั้นเด็กชายก็สะอึกสะอื้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วก็ปล่อยโฮลั่นเมื่อถึงถึงคำพูดก่อนหน้า
'ลูกชังหลานชัง นึกว่าลูกพ่อบ้าน ใครจะรัก มารหัวขน'
ฐิติกรที่กำลังเดินมาพร้อมกับกิติพงษ์มาหาลูกก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากโซนขนมที่มีคนกำลังรุมล้อมอยู่ หัวใจชายหนุ่มกระตุกเมื่อจำได้ว่าเป็นเสียงลูกชาย เขารีบวิ่งฝ่าวงล้อมผู้คนเข้าไปก็เห็นเด็กชายกำลังนั่งร้องไห้ตัวสั่นเทาโดยมีเด็กหญิงน้ำหวานชี้หน้าผู้หญิงกลุ่มนึงด้วยสีหน้าไม่ดีนัก เขาไม่ได้สนใจใคร สภาพของลูกชายนั้นราวกับมือปริศนากระชากหัวใจเขาออกมาเหยียบย่ำจนจมดิน
"ซอครับ เกิดอะไรขึ้น"เขานั่งคุกเข่าเอื้อมมือไปลูบหลังที่สั่นเทาของร่างเล็ก
"คุณพ่อ ฮือ"เด็กชายโผเข้าหาคนเป็นพ่อเอ่ยเรียกเสียงสั่นเครือ ความเจ็บปวดแล่นจุกในอกรับรู้ได้ถึงความทุกข์ทรมานใจของลูกจนอยากแบกรับเอาไว้เองทั้งหมด
"เป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร ทำเด็กร้องไห้ อยู่ดีๆก็มาว่าซอ คุณแม่หนูเรียกว่าผีเจาะปากมาพูด"เสียงเด็กหญิงยังเอ่ยว่าเสียงดังไม่หยุด
"เกิดอะไรขึ้นน้ำหวาน" กิติพงษ์ที่วิ่งตามฐิติกรมาเอ่ยถามลูกสาวที่ยังยืนท้าวสะเอวชี้หน้าใส่ผู้หญิงกลุ่มนึง คำพูดของน้ำหวานราวกับฟ้าดินสะเทือนฐิติกรจ้องไปที่ผู้หญิงกลุ่มนั้นด้วยท่าทางโกรธจัด เขาอุ้มลูกชายที่ยังร้องไห้ไม่หยุดขึ้นมาโอบกอดเอาไว้อย่างหวงแหนอ่อนโยน แต่หน้าตาเขาเหมือนจะฆ่าคนได้ จิราภรณ์เห็นหน้าชายหนุ่มก็ตกใจมือไม้สั่นระริกเพราะเกิดความกลัวแต่ก็ยังฝืนทำใจดีสู้เสือเอ่ยออกมาอย่างถือตัว
"ก็เรื่องจริงทั้งนั้นนี่ ใครๆก็รู้กันว่าเด็กนั่น"เธอค้างไว้แค่นั้นแต่ก็ทำให้สายตาคนในงานจับจ้องมาที่เขาสองคนพ่อลูกได้อย่างไม่ยากเย็น แต่นั่นก็ยิ่งทำฐิรดลร้องไห้หนักไปอีกเด็กชายร้องกรี๊ดออกมาราวกับไม่อยากฟัง
"จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องให้ใครมาเสือก"ฐิติกรตวาดลั่นจนคนทั้งงานตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะไม่รักษาภาพพจน์กล้าด่าสุภาพสตรีในที่สาธารณะแบบนี้
"เอาเรื่องลูกผัวตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ถ้าปากมันว่างนักก็ไปหากระดูกมาแทะซะจะได้หายคันเหงือก" เขาด่าลั่นไปทั้งงานหากไม่ติดลูกที่อยู่ในอกเขาได้วิ่งไล่กระทืบคนแล้วไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายถ้าแม้แต่เด็กยังนินทาว่าร้ายได้ขนาดที่ไม่แยแสมันก็ไม่ใช่คนเหมือนกัน
"จำเอาไว้ เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่ เตรียมตัวเตรียมใจรอรับไว้ได้เลย" จิราภรณ์หน้าซีดเผือดกลัวจนแทบร้องไห้ออกมาส่วนคนอื่นๆที่เกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันก็ขวัญผวาเพราะชายหนุ่มเป็นสุภาพบุรุษมาตลอดไม่เคยแข็งกร้าวใส่ใครมาก่อน ก็ไหนบอกว่าเขาไม่สนใจลูกเมียไง เห็นๆกันอยู่ถ้าไม่ติดว่าเขาอุ้มลูกพวกเธออาจจะไม่ได้ยืนอยู่อย่างสงบตรงนี้แน่
"ทำไมจะจ้างคนมาฆ่าพวกฉันหรือไง"ทุกคนส่งสายตาเกลียดชังไปให้จิราภรณ์โดยพร้อมกันที่ลากพวกเธอเข้าไปรวมด้วยแถมยังยั่วโมโหชายหนุ่มอีก
ฐิติกรยิ้มเย็นสายตาวาววับอย่างน่ากลัวปรายตามองเด็กชายตัวอ้วนลูกของเธอที่โดนจ้องก็หลบไปอยู่หลังแม่เสียขวัญจนร้องไห้ออกมาอีกคนเขาเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาจนน่าขนลุก
"ตายแล้วมันสนุกอะไรเล่า ปล่อยให้อยู่ดูแลลูกผัวไปนานๆสิถึงจะดี"เอ่ยจบก็พาลูกชายออกไปทันทีไม่สนใจว่าใครจะพูดถึงเขาอย่างไรไม่สนใจว่าเขาได้ทำให้ภาพพจน์ทั้งตัวเขาและบริษัทเสียหายแค่ไหนเพราะตอนนี้มีเพียงคนเดียวที่ทำให้เขาร้อนรนดังไฟเผาได้ก็คือลูกชายที่ยังเอาแต่สะอื้นไห้ไม่หยุดจนคนเป็นพ่ออย่างเขาแทบจะขาดใจตาม