เด็กๆ นั่งทานเฉาก๊วยนมสดกันในซุ้มใต้ต้นคูนหลังบ้านโดยมีชมพู่กับแสงคอยดูแลอยู่ ส่วนธัญญ์นลินก็กำลังทำอาหารเย็นไปสบทบที่ตึกใหญ่โดยมีป้าฉวีคอยเป็นลูกมือวันนี้นอกฐิติกรจะกลับมาจากต่างจังหวัดแล้วฐิติชญาน้องสาวของเขาที่พักอยู่หอในมหาวิทยาลัยก็กลับมาบ้านเช่นกัน
"เฉาต๊วยเอาอีก"ฐิรวิชญ์หันไปพูดกับชมพู่พี่เลี้ยงตนสองมือป้อมยกถ้วยให้ดูว่าหมดแล้วอยากได้เพิ่ม
"เดี๋ยวพี่ชมพู่ไปเอาเพิ่มให้ค่ะ"ชมพู่เอ่ยบอกทำท่าลุกขึ้นจะเดินออกไปที่ห้องครัว
"ไม่ได้ค่ะคุณหนู คุณแม่สั่งไว้แล้วว่าห้ามทานเยอะเดี๋ยวทานข้าวเย็นไม่ได้"ฐิรวิชญ์หน้างอเมื่อถูกขัดใจ ถลึงตาใส่แสงตวาดลั่นอย่างเอาแต่ใจ
"จะกินอีก ไปเอามา"
"ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวคุณแม่ดุ รอให้ทานข้าว" ปึก ยังไม่ทันที่แสงจะพูดจบประโยคถ้วยขนมก็ลอยไปกระทบหน้าผากซีกขวาของแสงนมสดที่เหลืออยู่ในถ้วยหกเลอะราดหน้าราดผมแสงจนเหนียวเหนอะ
"ว๊าย คุณหนู ทำไมทำแบบนี้ล่ะคะ"แสงร้องด้วยความตกใจไม่คิดว่าเด็กชายจะฉุนเฉียวได้ขนาดนี้
"สมน้ำหน้า"ฐิรวิชญ์ยืนมองเอ่ยอย่างสะใจ
"ทำแบบนี้ไม่ดีนะ"ฐิรดลที่หายตกใจก็เอ่ยเตือนน้องเบาๆ
ธัญญ์นลินตัวสั่นเทาเมื่อมาทันได้เห็นลูกชายคนเล็กกำลังแสดงความก้าวร้าวเอาแต่ใจออกมาหัวใจสั่นไหวด้วยความกลัวที่อยู่ในส่วนลึกของใต้สำนึกก็เอ่ยเรียกชื่อบุตรชายเสียงดังด้วยความเย็นชา
"ซอล"เด็กชายเมื่อเห็นมารดาก็วิ่งเข้าไปหาแขนกลมป้อมกอดรัดขาเรียวของเธอชี้นิ้วไปที่แสงฟ้องแม่ว่าถูกดุ เพราะเคยใช้ไม้นี้กับคนเป็นย่าได้ผลเลยคิดว่าคนเป็นแม่ก็คงไม่ต่างกัน หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เตือนสติตัวเองให้ระงับอารมณ์ความโกรธที่พลุ่งพล่านก่อนย่อตัวลงไปหาลูกชายเอ่ยถามเสียงเข้ม
"ทำไมแสงถึงดุล่ะ"
"แสงไม่ให้กินเฉาต๊วย ขี้งก"
"ซอลก็ได้กินแล้วนี่นา แม่บอกว่ายังไงจำได้หรือเปล่า"เธอพยายามเอ่ยถามลูกชายอย่างใจเย็น
"ห้ามกินเยอะ แต่ซอลขอเพิ่มอีก แค่นิดเดียว"พอเห็นสีหน้าโกรธของแม่ก็รีบเอ่ยบอกแก้ตัวทันที เขาทำมือให้รู้ว่าเขาขอกินอีกแค่นิดเดียวจริงๆ
"แล้วทำไมถึงได้ปาถ้วยใส่พี่แสง รู้หรือเปล่ามีแต่เด็กเกเรนิสัยไม่ดีเท่านั้นที่ทำแบบนี้"สายตาคมของเด็กชายมองไปที่แสงที่นั่งอยู่อีกฟากอย่างโกรธๆ
"ทำไมไม่บอกพี่แสงด้วยเหตุผลดีๆ ก่อนล่ะ ปาของใส่แบบนี้ คิดว่าพี่แสงไม่เจ็บหรือไง ต่อไปนี้ถ้าทำตัวไม่รักอีกไม่ว่ากับใคร แม่จะไม่กินขนมอีกแล้ว"ฐิรวิชญ์เบ้ปากดวงตาแดงก่ำน้ำตาจวนเจียนจะหยดลงมา มองแม่ที่ไม่เคยขัดใจเขาเลยสักครั้งเหมือนคนแปลกหน้าในที่สุดก็ร้องไห้ออกมา วิ่งไปหาชมพู่ชูมือให้อุ้มสั่งให้พาไปหาคุณย่า
"ฮือๆ คุณแม่ใจร้าย ฮือๆ ชมพู่ไปหาคุณย่า"
"ถ้าเธออุ้มเขาเมื่อไหร่ ก็เตรียมตัวตกงานได้เลย" ทั้งสายตาและน้ำเสียงของธัญญ์นลินเย็นชาอย่างที่เคยเป็นมาก่อน เธอหันไปมองบุตรชายคนเล็กที่ยังร้องไห้ไม่หยุดเขายิ่งร้องกรี๊ดลั่นไปอีกเมื่อพี่เลี้ยงทำท่าไม่สนใจ
"ซอ เข้าบ้านกับแม่ลูก คนอื่นๆ ก็ด้วย ใครอยากจะร้องไห้ก็ปล่อยไว้แบบนี้แหล่ะ"เธอเอ่ยบอกกับลูกชายคนโตและคนอื่นๆ ทำใจแข็งไม่เข้าไปโอ๋บุตรชายเหมือนเช่นที่ผ่านมา เขาจะได้เรียนรู้ตั้งแต่ตอนนี้ว่าทุกสิ่งไม่อาจบันดาลมากองตรงหน้าให้เขาได้ทุกครั้ง เขาควรจะรู้สึกถึงความผิดหวัง รู้สึกถึงความไม่พอใจบ้าง ไม่ใช่ทุกคนจะต้องรักและตามใจเขาเสมออยากได้อะไรต้องได้ ถ้าเธอใจอ่อนเขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้คุณภาพเจ็บปวดใจตอนนี้ดีกว่าให้มันซ้ำรอยเก่าถึงตอนนั้นเธอจะมีโอกาสเป็นครั้งที่สองอีกหรือเปล่า หญิงสาวหลับตาลงไม่อยากเห็นภาพที่ลูกชายร้องไห้ราวกับจะขาดใจ โวยวายลั่นไม่หยุดว่าแม่ใจร้าย
"คุณบัวคะ หนูร้องไห้ใหญ่แล้ว"แสงเองก็ตกใจไม่คิดว่าธัญญ์นลินจะปล่อยลูกชายให้ร้องแบบนี้
"ไม่ต้องพูดมาก ฉันบอกให้เข้าบ้าน"
ฐิติกรมองดูเหตุการณ์อยู่จากทางหน้าต่างห้องทำงานเขาเห็นทั้งหมดตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงตะคอกใส่แสงของลูกชายแล้ว พฤติกรรมของลูกคนนี้เขาพอจะรู้ว่าค่อนข้างเอาแต่ใจเพราะทุกคนตามใจจนเกินไป แต่ที่ทำให้เขาแทบไม่เชื่อตาตนเองก็คงเป็นภรรยาของเขา เธอไม่ได้วิ่งเข้าไปกอดไปโอ๋แล้วเอ่ยขอโทษขอโพยแสงแทนลูกชายเหมือนอย่างเคยแต่กลับยืนนิ่งเอ่ยเสียงดุๆ ใส่ลูกชายแทน แถมยังขู่พี่เลี้ยงได้หน้าตาเฉยจนฝ่ายนั้นไม่กล้าโต้แย้ง ที่น่าตกใจที่สุดก็คือเธอเมินเฉยลูกชายโดยการให้คนอื่นๆ เดินหนีออกมาห้ามใครเข้าไปปลอบเด็ดขาดปล่อยให้เขาร้องไห้โวยวายอยู่คนเดียวที่หลังบ้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เกิดอะไรขึ้น เขาถามตัวเองอย่างงุนงง ขณะที่มัวแต่ตกอยู่ในภวังค์สายตาก็เหลือบมองข้างล่างเห็นร่างบางของภรรยายืนแอบมองลูกชายอยู่ห่างๆ ทุกคนออกจากตรงนั้นหมดแล้วมีเพียงร่างกลมป้อมที่ยังนั่งร้องไห้กับพื้นไม่หยุดเพียงคนเดียว ท่าทีของหญิงสาวบ่งบอกว่าเป็นห่วงลูกชายแต่พยายามข่มใจให้ไม่ให้เข้าไปหา สายตาที่มองลูกนั้นทั้งเจ็บปวดและผิดหวังจากนั้นร่างบางทรุดนั่งกับพื้นยกมือปิดหน้าตัวเองสั่นสะท้านอยู่ชั่วครู่ก่อนเดินจากไปอย่างคนหมดแรง
ฐิติกรมองดูภาพนั้นอย่างปวดร้าวในอกเหมือนมีใครมาทุบตีจนต้องยกมือกุมเอาไว้ เขาไม่เคยเห็นภรรยาแสดงความรู้สึกอ่อนแอสิ้นหวังแบบนี้มาก่อนเลย
'เขากำลังละเลยอะไรไปหรือเปล่า'
ในที่สุดฐิรวิชญ์ก็ร้องไห้โวยวายจนเหนื่อยเมื่อเห็นว่าคงไม่มีใครมาสนใจแล้วจริงๆ ก็ค่อยๆ หยุดดวงตาแดงช้ำเลอะคราบน้ำตาจนมอมแมมไปหมด
"มาทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียว" เด็กชายหันไปมองคนที่เดินมาเข้าหา ร่างสูงใหญ่ของคนเป็นพ่อนั่งยองๆ ตรงหน้าลูกชายคนเล็ก ลูกคนนี้อายุได้3ขวบแล้ว ตอนเล็กๆ ถึงจะได้อุ้มชูดูแลอยู่บ้างแต่ช่วงหลังเขาก็สนใจแต่งานมากกว่าเพราะเป็นช่วงขยายกิจการพอดีและก็มีงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากบิดาก็อายุมากขึ้นทุกวัน พอมาเห็นลูกชายที่นั่งตัวกลมมองเขาด้วยสายตาราวกับคนแปลกหน้าก็รู้สึกว่าตัวเองพลาดไปจริงๆ พลาดช่วงวัยพัฒนาการของลูก ไม่ได้เห็นว่าเขาเติบโตจนตัวกลมดิ๊กขึ้นมาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
"โดนขัดใจล่ะสิ เล่าให้พ่อฟังได้หรือเปล่า"เขาอุ้มลูกชายเข้ามาในอกพาไปนั่งคุยกันบนโซฟาซุ้มใต้ต้นคูนที่เขาให้สร้างเอาไว้เพื่อนั่งเล่นพักผ่อนแต่น้อยมากที่เขาจะย่างกรายเข้ามาในนี้
เด็กชายมองหน้าคนเป็นพ่อนิ่งไม่เอ่ยอะไรออกมาไม่คุ้นชินกับการต้องพูดคุยกับพ่อแบบนี้ ปากเล็กๆ เอาแต่หุบๆ อ้าๆ จะพูดไม่พูดเหมือนกำลังใช้ความคิด ส่วนเขาก็รอคอยอย่างใจเย็น
"คุณแม่โกรธ ไม่กินให้หนม คุณแม่ใจร้าย" ในที่สุดก็พูดออกมาจนได้ เขาส่งยิ้มให้บุตรชายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเอ่ยถามอย่างเอ็นดู นิ้วมือใหญ่เกลี่ยใบหน้าเล็กเพื่อเช็ดคราบน้ำตา
"แล้วทำไมคุณแม่ถึงโกรธล่ะ"เด็กชายอึกอักไปพักนึง เหมือนรู้ว่าตัวเองทำผิดจริงๆ
"ซอลปาถ้วยใส่แสง คุณแม่เลยโกรธ"
"งั้น รู้หรือเปล่าว่าต้องทำยังไงคุณแม่ถึงจะหายโกรธ"เด็กชายส่ายหน้าไปมา สีหน้ามีแววกังวลเขาไม่เคยรู้เลยว่ามารดาโกรธแล้วจะไม่สนใจเขาแบบนี้
"คุณแม่ไม่รักซอลแล้ว"พูดถึงตรงนี้คนตัวเล็กก็เหมือนจะเริ่มมีน้ำตาอีกรอบ เขาซุกหน้าลงบนอกคนเป็นพ่ออย่างหาที่พึ่ง ชายหนุ่มลูบหลังไหล่ลูกชายอย่างปลอบโยน ความรู้สึกอบอุ่นในใจแล่นเข้ามาราวกับสายฟ้าฟาด เพราะไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
"แค่ไปขอโทษพี่แสงคุณแม่ก็หายโกรธแล้ว เดี๋ยวคุณแม่ก็กลับมารักซอลเหมือนเดิม"ฐิรวิชญ์เงยหน้ามองคนเป็นพ่อเหมือนไม่แน่ใจ
"แค่นี้เองหรอครับ"
"ใช่ แค่บอกพี่แสงว่าขอโทษ แล้วก็สัญญากับคุณแม่ว่าจะทำแบบนี้อีกคุณแม่ก็หายโกรธแล้วว่าไง จะไปขอโทษพี่แสงไหม"เด็กชายพยักหน้ารัวๆ ในอ้อมกอดคนเป็นพ่อ เขายิ้มให้กำลังใจลูกชายก่อนจะลุกขึ้นอุ้มลูกเข้าไปในบ้าน ธัญญ์นลินนั่งมองลูกชายคนโตที่มีสีหน้าฉายแววกังวลเพราะห่วงน้องชาย
"คุณแม่ไปดูเถอะครับ"เด็กชายเอ่ยบอกคนเป็นแม่ที่เอาแต่นั่งเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 'น่ากลัวเกินไปแล้ว' ฐิรดลคิดในใจ
หญิงสาวกวักมือเรียกลูกชายตบเบาะข้างๆ เบาให้เขาเข้ามาหา
"วันนี้ ลูกทำได้ดีมากที่เอ่ยเตือนน้อง ที่แม่ทิ้งน้องไว้คนเดียวไม่ใช่ไม่รัก แต่แม่มีเหตุผลเอาไว้สักพักแล้วเราค่อยเข้าไปคุยกับน้องด้วยกันนะ"เธอบอกลูกชายอย่างอ่อนโยนเด็กชายไม่เข้าใจแต่ไม่ได้พูดอะไร
"งั้น พรุ่งนี้เราพาน้องไปซื้อชุดไปงานวันเกิดเพื่อนซอด้วยกันดีไหม พาน้องไปกินไอติมเป็นการง้อดีไหม"เด็กชายตอบรับอย่างดีใจแทบจะวิ่งไปบอกน้องชายซะเดี๋ยวนี้เลย
หญิงสาวรู้สึกพอใจที่เห็นว่าฐิรดลก็รู้สึกห่วงน้องเหมือนกันไม่ได้นิ่งเฉยไม่สนใจเหมือนชาติที่แล้ว ฐิติกรที่อุ้มลูกชายคนเล็กเข้ามาก็แปลกใจเช่นกันที่เห็นลูกชายคนโตยิ้มกว้างแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่พูดสนใจใคร สี่คนพ่อแม่มองหน้ากันไปมา บรรยากาศแปลกประหลาดวนอยู่รอบตัว
"คุณแม่"ฐิรวิชญ์เอ่ยเรียกมารดาสองแขนป้อมชูไปมาว่าอยากเข้าไปหา
ฐิติกรเลยเดินเข้าไปภรรยาส่งลูกชายคนเล็กไปให้ที่ยื่นแขนออกไปรับอย่างงุนงง เขาอยู่กับลูกตั้งแต่เมื่อไหร่
"คุณแม่ เรียกแสง"เด็กชายบอกแม่ทันทีเมื่อไม่เห็นคนที่ต้องขอโทษ
"ต้องขอโทษ เดี๋ยวคุณแม่ไม่รัก"เด็กชายบอกพาซื่อตามที่คุณพ่อบอก ใบหน้าเข้มแดงก่ำไม่คิดว่าลูกจะพูดตรงขนาดนี้แถมภรรยายังหันมายิ้มหวานอย่างขอบคุณอีกทำให้เขายิ่งไปไม่เป็น
"พี่แสงอยู่ในครัว ถ้าอยากขอโทษต้องเดินเข้าไปหาเอง"เธอบอกลูกชายคนเล็กก่อนจะหันไปหาลูกชายคนโตที่นิ่งไปตั้งแต่คนเป็นพ่อกับน้องเข้ามา
"ซอ ไปหาพี่แสงเป็นเพื่อนน้องได้ไหมครับ"เด็กชายพยักหน้าเดินมาจูงมือน้องชายที่ปีนลงบนตักแม่อย่างว่าง่ายไปที่ห้องครัว
ธัญญ์นลินมองภาพนั้นด้วยสายตาตื้นตันจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาเลยทีเดียว
"จะตามไปดูไหม"ชายหนุ่มหันไปถามภรรยา ธัญญ์นลินยิ้มส่งให้เขาอย่างคนเจ้าเล่ห์
"จะพลาดได้ล่ะคะ"ว่าแล้วก็แอบย่องไปตามหลังลูกชายทั้งสองโดยมีสามีเดินกอดอกตามมาติดๆ
"แสง"
"พี่แสงต่างหาก"ฐิรดลกระซิบบอกน้องชายที่เรียกผู้ใหญ่ห้วนๆ พรางปล่อยมือน้องชายให้เข้าไปหาพี่แสงที่กำลังนั่งเด็ดผักอยู่กับป้าฉวี ตรงหน้าผากปูดโนอย่างเห็นได้ชัด
"พี่แสง ซอลขอโทษ"
"ยกมือไหว้ด้วยสิ"ฐิรดลกำกับน้องชายอยู่ข้างๆ วางท่าเหมือนคุณครู ธัญญ์นลินกลั้นขำจนน้ำหูน้ำตาไหล เธอยืนแอบแอบตรงประตูครัวชะโงกหน้าไปมองโดยมีฐิติกรยืนซ้อนหลังใกล้ชิดจนสัมผัสถึงไออุ่นจากคนตัวโตทำให้หญิงสาวเริ่มขำไม่ใจแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
"ตาซอพูดเก่งขึ้น ดูเข้าหาน้องมากกว่าแต่ก่อน"เขากระซิบเบาๆ ข้างหู
"คุณทำได้ยังไง คืนนี้เล่าให้ฟังบ้างสิ" หืม ทำไมต้องคืนนี้ด้วยล่ะคะคุณพ่อ อิแม่ใจไม่ดี ตื่นเต้น เธอไม่ตอบเขาได้แต่เม้มปากเบาๆ ก่อนจะหันไปดูลูกชายต่อ
ฐิรวิชญ์ยกมือไหว้แล้วก็เอ่ยของโทษแสงอีกครั้งจนแสงแทบปล่อยโฮวิ่งไปกอดเด็กชายบอกอย่างตื้นตันใจว่าเป็นไร ปลาบปลื้มจนพูดไม่ถูกไม่คิดว่าเด็กชายจะมาเอ่ยขอโทษทั้งๆ ที่เขาไม่ต้องขอโทษเหมือนทุกทีก็ได้ลูกจ้างอย่างเธอแม้จะโกรธยังไงก็ต้องยอม
"พี่แสงเจ็บไหม เดี๋ยวซอลเป่าให้" เด็กชายถามเหมือนที่ย่าชอบปลอบเวลาที่เขาบาดเจ็บ
แก้มพองๆ เป่าบนหน้าผากที่เขียวช้ำโนของแสงแรงๆ ราวกับกลัวว่าถ้าเบาไปแสงจะไม่หายเจ็บจนน้ำลายกระเด็น
"พะ พอดีกว่าค่ะ พี่แสงว่าหายเจ็บแล้ว"แสงเบรกร่างกลมๆ ให้หยุดรดน้ำมนต์หันไปส่งสายตารันทดให้ป้าฉวีที่หัวเราะงอหงายอยู่ข้างๆ
ฐิติกรมองภรรยาที่หัวเราะเบาๆ จนตัวสั่นสะท้านก็เผลอยกริมฝีปากอมยิ้มตามไปด้วยอย่างหลงลืมตัวเองแล้วหุบยิ้มฉับเหมือนอัตโนมัติเมื่อภรรยาเงยหน้ามาหาส่งยิ้มหวานมาให้
"ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยพูดกับตาซอล" ยิ้มบ่อยเกินไปแล้ว หัวใจชายหนุ่มเต้นไม่เป็นสุข