ธัญญ์นลินถือถาดของว่างของลูกชายและแม่สามีเข้ามาในห้องร่างกลมป้อมที่กำลังนั่งเล่นตัวต่อบนพื้นกับพี่เลี้ยงก็วิ่งมาหาทันทีเมื่อรู้ว่าแม่ถือขนมมาให้
แพนเค้กแครอทหน้าตาน่าทานส่งกลิ่นหอมที่วางบนโต๊ะทำให้เด็กชายอดไม่ได้ที่จะหยิบกินแต่ถูกคนเป็นแม่เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
"ไปล้างมือก่อนครับคนเก่ง"เด็กชายหน้างอแก้มพองขึ้นอย่างขัดใจหันไปมองคนเป็นย่า แต่ย่าก็เอ่ยว่าให้ไปล้างมือตามที่แม่บอก ลับหลังจากที่ชมพู่พาเด็กชายออกไปล้างมือแม่สามีก็เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์นักเมื่อรู้ว่ากำลังถูกประจบ
"ช่วงนี้ว่างมากหรือไง มาทำไมบ่อยๆ ส่งแต่ของมาก็พอแล้ว"หญิงสาวยิ้มหวานส่งให้เหมือนไม่ได้ยินคำพูดที่แม่สามีเหน็บแนม
"เดี๋ยวแสงจะเอาแอปเปิ้ลขึ้นมาให้ คุณแม่เองก็ระวังเรื่องอาหารอยู่เหมือนกัน กินของพวกนี้บ่อยๆคงไม่ดี ทานผลไม้เป็นของว่างนะคะ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย"
คุณหญิงฐิตินันท์ "..."
"คุณแม่ คุณแม่ กินได้หรือยัง"เสียงวิ่งดังตึกๆของร่างกลมป้อมแทบจะกลิ้งเข้ามาทำเอาธัญญ์นลินปวดหัวคงต้องสอนมารยาทกันใหม่ ไม่รู้ว่าได้นิสัยตะกละเอ็ดตะโรลั่นบ้านแบบนี้มาจากไหน
เมื่อแสงยกจานแอปเปิ้ลที่ปอกเปลือกแล้วขึ้นมาให้ คุณหญิงฐิตินันท์ก็เบ้ปากทันที
"แอปเปิ้ลที่บ้านนี้ก็มีให้กิน ไม่ต้องอาศัยบารมีบ้านสวนคูนส่งมาให้กินหรอก"
"หนูก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคุณแม่คงไม่ชอบกินเลยฝากพี่แช่มไปซื้อเฉาก๊วยนมสดมาให้ ร้านนี้ทำไม่หวานมากอากาศร้อนๆแบบนี้คุณแม่น่าจะชอบ"เธอพูดอย่างเอาใจหันไปยิ้มให้ชมพู่กับป้าสำลีไม่สนสีหน้าเดือดๆของแม่สามีที่บ่งบอกว่า'ฉันไม่ชอบ' เลยสักนิด
"ฉันให้ซื้อเผื่อด้วยนะ ถ้ามาถึงแล้วก็ลงไปกินที่ครัวได้เลย"ฐิรวิชญ์ที่นั่งอยู่บนตักแม่พอได้ยินว่ามีขนมอย่างอื่นด้วยปากที่ยังเคี้ยวแพนเค้กตุ้ยๆก็เอ่ยออกมาทั้งที่มีขนมเต็มปาก
"เฉาต๊วย"
"เฉาก๊วยลูก เวลากินอยู่ห้ามพูด กลืนให้หมดก่อนเดี๋ยวติดคอ"เธอว่าพรางเช็คคราบมันบนแก้มยุ้ยของลูกชายเบาๆยิ้มให้อย่างเอ็นดู ร่างสูงของชายหนุ่มใบหน้าคมเข้มเข้ามาทันได้เห็นภาพของสองแม่ลูกพอดีเขามองนิ่งไปพักนึงก็จะหันไปมองตามเสียงทักของผู้เป็นแม่
"ตาขลุ่ยกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกไม่กล่าวกันบ้าง หายเงียบไปเลย"คุณหญิงฐิตินันท์ยิ้มให้ลูกชายอย่างดีใจ เขายกมือไหว้มารดาแล้วเดินมานั่งบนโซฟาตรงข้ามกับธัญญ์นลินที่ตอนนี้ตกอยู่ภวังค์ตั้งแต่เห็นเขาที่เดินมา หัวใจเต้นแรงจนเธอกลัวว่าลูกชายที่นั่งบนตักจะได้ยินไม่รู้ว่าดีใจหรือตกใจ
ตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาเขาก็ไปทำงานหายไปเป็นอาทิตย์ไม่ส่งข่าว อยู่ดีๆก็โผล่หัวมาแถมมาถึงก็ไม่ทักทายเลยกันสักคำ นั่นสิ เขาก็เป็นแบบนี้มาตลอดนี่นาต่อให้เขาสุภาพให้เกียรติในฐานะภรรยาแต่ช่างห่างเหินราวกับเป็นแค่คนรู้จักเพราะแบบนี้เธอถึงได้ตัดสินหย่ากับเขา พอคิดถึงตรงนี้ถ้อยคำในอดีตที่แสนเจ็บปวดจากเขาก็ดังก้องขึ้นมา
'เรียบร้อยแล้วก็ไสหัวไปซะ ถ้าคิดจะไปก็อย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก' หลังจากเซ็นต์ใบหย่าเขาก็เอ่ยไล่เธอทันที ตอนนั้นที่เธอตัดสินใจพูดกับเขาว่าจะหย่าเธอหวังว่าเขาจะเอ่ยคัดค้านออกมา หวังให้เขามีเยื่อใยเอ่ยรั้งเธอไว้ หวังว่าเขาจะเกลี้ยกล่อมให้เธอใจเย็นๆแต่เขากับยอมรับการตัดสินใจของเธอโดยไม่โต้แย้ง อีกวันก็พาไปหย่าเลย ช่างไม่แคร์คนที่นอนร่วมเตียงมาเป็นสิบกว่าปีเอาเสียเลย แล้วชาตินี้ล่ะเธอกับเขาจะไปกันรอดหรือไม่หนอ ธัญญ์นลินหลับตาลงลบเลือนความฟุ้งซ่านกับคำพูดพวกนั้นออกจากหัว
"เป็นอะไรแม่คุณ ผัวมาแล้วก็หน้าซีด สำออยอ้อนผัวหรือไง" ถ้อยคำนี้จะเป็นของใครได้นอกจากแม่สามีที่รักเอ็นดูเธอยังไงล่ะ ธัญญ์นลินยิ้มหวานหยดสุดบรรจงส่งให้แม่สามี
"คุณแม่พูดอะไรก็ไม่รู้ หลานยังนั่งด้วยนะคะ"เธอตำหนิแต่แสร้งทำท่าเขินอายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งสามีและแม่สามีเงียบกริบ สักพักใบหน้าเข้มก็ขึ้นสีระเรื่อแต่ทำเป็นเฉยส่วนแม่สามีก็ถลึงตาใส่อย่างเคืองๆ
"สำออยคืออะไรครับคุณแม่"
ทุกคนในห้อง "..."
"ซอล คุณพ่อกลับมายกมือไหว้ทักทายหรือยังครับ อย่าห่วงแต่กินสิ"เธอทำเสียงดุเล็กๆกลบเกลื่อนคำถามอันตรายของลูก คำพูดแต่ละคำของแม่สามีช่างเป็นสิ่งที่ลูกคนเล็กของเธอจดจำได้ดีเหลือเกิน
ฐิรวิชญ์เงยหน้ามองคนเป็นพ่อแวบนึงก็ยกมือไหว้ตามที่แม่บอกแล้วก็สนใจขนมตรงหน้าต่อเหมือนเดิม ช่างเป็นลูกที่รักพ่อจริงๆ ครอบครัวเธอมันวิปริตหรือไงทำไมไม่เห็นเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา เมื่อชาติก่อนเธอคงหูหนวกตาบอดถึงได้ไม่รู้สึกร้อนรนกับท่าทีเฉยชาพวกนี้
"แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง เดี๋ยวแม่ให้คนเตรียมให้"คุณหญิงฐิตินันท์เอ่ยถามบุตรชายที่เพิ่งมาถึงชายหนุ่มลอบมองหน้าภรรยาที่ยิ้มหวานให้ลูกชายบนตักแวบนึงก่อนหันไปตอบมารดา
"เรียบร้อยแล้วครับ มีของฝากจากกระบี่มาให้ด้วยนะครับ เดี๋ยวเย็นนี้ผมมาทานข้าวด้วยแล้วจะเอามาให้"
"ดีเลย พ่อเราก็บ่นหาอยู่ แล้วโรงแรมที่กระบี่เป็นไงบ้าง"
"ต้องปรับปรุงพื้นที่บางส่วน อาจจะรีโนเวตใหม่ทั้งหมดเดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะปรึกษากับคุณพ่อตอนเย็นอีกที ไม่มีอะไรน่าห่วง"
"อืม ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็ดี ไปพักผ่อนเถอะ มาเหนื่อยๆ"คุณหญิงฐิตินันท์บอกลูกชายพรางปรายตามองลูกสะใภ้ที่นั่งเงียบก็เอ่ยอย่างแดกดัน
"พาลูกผัวกลับบ้านไปพักผ่อนสิยะ เธอจะมานั่งเฝ้าฉันทั้งวันหรือไง หรือจะรอกินเฉาก๊วย"ธัญญ์นลินยิ้มแหยเมื่อนึกได้ว่าเฉาก๊วยเธอยังไม่มาถ้าไม่ติดว่าจะเสียมารยาทเธอคงขอตัวออกไปตั้งแต่เขาเข้ามาแล้ว เธอทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับเขาดี สามีที่ไม่ได้เจอกันหลายสิบปีเมื่อชาติก่อน
หญิงสาวอุ้มลูกชายเดินตามหลังเขากลับบ้านเงียบๆส่วนฐิรวิชญ์เมื่อกินอิ่มก็เริ่มง่วงนอนเด็กชายทำตาปรือแต่ก็บ่นอยากกินเฉาก๊วยจนหญิงสาวหลุดขำ
"คุณแม่อยากกินเฉาต๊วย"
"ตาจะปิดอยู่แล้วยังอยากจะกินอยู่อีก ระวังเถอะจะเป็นหมูสักวัน "เธอหยอกล้อลูกชายในอ้อมแขนดึงแก้มเขาเล่นเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว
"ไว้รอกินพร้อมพี่ซอกลับมาจากโรงเรียนก่อนดีกว่านะครับ กินคนเดียวไม่อร่อยหรอก"
ฐิติกรหันไปมองทั้งสองด้วยสายตาครุ่นคิดเขาไม่เคยเห็นท่าทางเป็นธรรมชาติอ่อนโยนแบบนี้ของภรรยามาก่อนเลยตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาหลายปีมานี้ธัญญ์นลินเป็นคนไม่ค่อยพูดไม่ค่อยยิ้มแม้แต่กับลูกชาย เขาไม่อยู่บ้านหลายวันกลับมาคราวนี้ทำไมรู้สึกเหมือนภรรยาเขาแปลกไปเหมือนเธอยิ้มบ่อยขึ้น ดูอารมณ์ดีต่างจากปกติ สีหน้าที่มองลูกก็อ่อนโยนกว่าแต่ก่อน เวลาแค่อาทิตย์เดียวจะทำให้เปลี่ยนท่าทีได้ขนาดนี้เชียวหรอ เขาพลาดอะไรไป
"คุณขลุ่ยไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวบัวจะเอาลูกไปอาบน้ำนอนกลางวันก่อน"เธอบอกเขาขณะขึ้นมาบนชั้นสองของบ้าน แยกตัวไปที่ห้องนอนเล็กของลูกชาย จู่ๆเขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อยที่ภรรยาเอาแต่สนใจเจ้าตัวเล็ก รอยยิ้มที่เขาลอบมองบ่อยๆตั้งแต่อยู่ในห้องนั่งเล่นของคุณแม่ยังไม่ส่งมาให้เขาเลยสักทีหนึ่ง ทั้งๆที่เมื่อก่อนก็ไม่เคยสนใจสักนิดว่าเธอจะยิ้มหรือไม่ยิ้มให้