“ถ้าฉันรั้งนายไม่ได้งั้น.. Vodka Martini ล่ะ พอจะรั้งนายไว้ได้หรือเปล่า”
คำตอบของคำถามอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว
ผมนั่งวางแขนลงบนเคาน์เตอร์บาร์ สายตาขยับเลื่อนมองชายร่างสูงตรงหน้ากำลังทำวอดก้ามาร์ตินี่ เขาดูพอใจอย่างมากกับขุนพลฉบับเด็กดีเล่นเอาเจ้าตัวยิ้มไม่หุบเลย
ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา..
ไม่ใช่แค่สายตาเวลามองหรือเส้นสายการทำงาน แต่คำพูดที่พ่นออกมาเหมือนกับดักที่ต้อนทางผมได้ถูก สีหน้าและแววตาตอนพูดประโยคออกมาก็ดูเชื้อเชิญให้แขกมาเยือนต้องอยู่ต่อ
เขามันวายร้ายตัวพ่อเลย
Vodka Martini ถูกเชคโดยบาร์เทนเดอร์ส่วนตัว
ไม่ใช่บาร์เทนเดอร์ที่ไหน แต่เป็นภาคชวินทร์บุคคลที่ทำเป็นทุกอย่างแม้กระทั่งเครื่องดื่มที่ผมอยากจะดื่ม
เขาทำมันอย่างช่ำชองคีบน้ำแข็งก้อนใส่ในแก้วไวน์ สายตาดูเรียบนิ่ง กระดกขวดวอดก้าพลางเหลือบสายตามองผมแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก
เสื้อเชิ้ตสีครีมอ่อนถูกปลดกระดุมจนถึงกลางอก พยายามทำตัวให้ดูฮอตต่อหน้าผมหรือว่าเขามันฮอตระเบิดมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ววะ
“อายุยี่สิบหรือยัง” เขาถามขึ้นขณะที่ใช้มือฝานเปลือกเลม่อนออก
“ผมสิบเก้า” ผมตอบกลับ สายตาก็จดจ่ออยู่ที่วอดก้ามาร์ตินี่ตรงหน้า
“เหรอ”
“ครับ”
“นึกว่ายี่สิบแล้วซะอีก”
“เดือนหน้า.. ผมจะยี่สิบแล้ว”
สิ้นเสียงตอบกลับผมก็เผลอยกมือขึ้นลูบท้ายทอยด้วยอาการประหม่า เพิ่งรู้ตัวว่าสายตาไม่ได้จ้องแค่วอดก้ามาร์ตินี่ แต่ผมเผลอจ้องเข้าไปที่หน้าท้องของอีกฝ่ายจนเจ้าตัวแกล้งด้วยการปลดกระดุมออกอีกเม็ด
พอเงยหน้ามองผมก็เห็นว่าแววตาสีหม่นของเขาจ้องมองมาพอดี
“แล้วคุณล่ะ อายุเท่าไหร่” ผมถามกลับกลบเกลื่อน
“Can you guess”
“24”
เรียวคิ้วเข้มมุ่นเข้าหากัน ก่อนจะเสิร์ฟเครื่องดื่มตรงหน้าผมแล้วยกมือขึ้นเท้าคาง ส่ายหน้ากับคำตอบที่ผมบอกไปว่ามันยังไม่ใช่อายุของเขา
“23..” ผมเดาต่อ “ผมว่านักธุรกิจแบบคุณอาจจะใกล้เลขถามแล้วด้วยซ้ำ”
“28”
“เรียกว่าลุงได้มั้ยครับ”
ภาคชวินทร์หัวเราะครืน เขาดูอารมณ์ดีจนมุมปากสวยยังยกยิ้มไม่หยุด
ผมก็แค่อยากจะแกล้งเขาคืนบ้าง อีกอย่างในสายตาของผมเขายังดูดีอยู่เลย อาจจะเป็นเพราะร่างกายที่ฟิตแอนด์เฟิร์ม หรือใบหน้าหล่อเหลาราวกับสตาฟอายุไว้ตอนยี่สิบ
หรือประโยคที่บอกว่ายิ่งเราอายุมากเท่าไหร่ ใบหน้าก็จะดูเด็กลงมากเท่านั้น จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นกับผู้ชายที่ชื่อภาคชวินทร์คนนี้
“อะไรกัน คุณตอนอายุเท่านี้ดูไม่แก่หรอกครับ แต่ห่างกับผมตั้ง 7 ปีเลยนะครับ” ผมตอบกลับ พลางยกแก้วไวน์กระดกดื่ม แต่ก็ต้องหยีหน้าลงกับความแรงของเหล้าที่ขึ้นจมูก
อีกฝ่ายยิ้มกับท่าทางของผม ก่อนจะเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์บาร์มานั่งลงข้างๆ ผมแทน
“เรียกลุงเนี่ยนะ”
“ผมเรียกว่าคุณภาคดีกว่าครับ”
“อ่า..”
ผมยกแก้วในมือดื่มอีกอึก สายตาล่อกแล่กไปมาอย่างหาจุดวางสายตาไม่เจอ
เขาเขยิบเข้ามาใกล้ขึ้นจนไหล่เราเบียดเสียดกัน ในมือของเขาถือเลม่อนอีกครึ่งซีกไว้ ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะพร้อมกับเท้าแขนหันมามองผมไม่ละสายตา
“คุณภาคไม่ดื่มหรอครับ”
“ถ้าดื่มแล้วควบคุมตัวเองไม่อยู่จะทำยังไง..”
“.....”
“ยิ่งมีนายอยู่ด้วย.. ฉันไม่ควรดื่มมันตอนนี้”
ไม่พูดเปล่านิ้วชี้และนิ้วนางของเขายังคลึงวนบนเนื้อเลม่อน ก่อนจะออกแรงกดเข้าไปในเนื้อของมันด้วยสายตาวาบวาม ชวนให้วูบวาบหน้าท้องอย่างบอกไม่ถูก
ผมหายใจติดขัด สายตาจดจ้องกับเรียวนิ้วยาวที่ขยับเข้าออกบนเนื้อชุ่มแฉะสีเหลืองในมือ คิ้วเข้มเลิกคิ้วในเชิงเย้ยหยันผมที่นั่งอ้าปากหวอไปแล้ว
เขาจงใจจะแกล้งกันชัดๆ
เจ้าของนัยน์ตาสีสวยแลบลิ้นออกมาแล้วกดเรียวนิ้วชี้กับนิ้วกลางเข้าไปในโพรงปาก ดวงตาหยีลงเล็กน้อย ไม่เชิงว่ามันเปรี้ยวหรอก
เขาอ่อยผมต่างหาก
“ผมว่าผมควรกลับ”
“ดื่มให้หมดแก้วก่อน เดี๋ยวฉันจะไปส่งนายเอง”
“เข้มขนาดนี้ผมเมาแน่” ผมบอกแล้วย่นจมูกด้วยความที่กลิ่นของเหล้ามันตีขึ้น
ก่อนเมาผมว่าตัวเองอาจจะขย่อนอาหารเย็นออกมาก่อนก็เป็นได้ เพราะรสชาติของเหล้ามันเข้มสะใจซะเหลือเกิน
“ผมมีข้อต่อรอง”
“ว่า”
“ถ้าดื่มหมดนี่รวดเดียว ผมสามารถขออะไรคุณก็ได้หนึ่งอย่าง แค่อย่างเดียว”
เรียวคิ้วเข้มกระตุกเล็กน้อยเหมือนจะช่างใจอะไรบางอย่าง แต่พอผมกระชับแก้วไวน์เอาไว้ในมือเพื่อเป็นตัวล่อ สายตาคมก็ชำเลืองมองแล้วพยักหน้ารับแทบจะทันที
“ถ้านายร่วงอันนี้ถือว่าโมฆะ” เขาเลิกคิ้วทั้งที่ยังคงเท้าแขนมองผมอยู่อย่างนั้น
“ผมไม่คออ่อนขนาดนั้นหรอกนะครับ” ผมตอบกลับแล้วกระชับแก้วในมือมาถือไว้ตรงหน้า
“งั้นก็ดื่มเลย”
“คุณเองก็ห้ามผิดสัญญา”
“ได้สิ”
ดวงตาของคู่สนทนาจดจ่ออยู่ที่ริมฝีปากของผม ก่อนผมจะแนบริมฝีปากเข้ากับปากขอบแก้วแล้วกระดกดื่มเหล้ารสแรงลงคอรวดเดียวหมด
คุณภาคเขายกยิ้มชอบใจ ผมเหลือกตามองบนยกมือขึ้นอุดจมูกกับเหล้าในปาก โดยที่มันไม่ยอมลงคออย่างว่าง่าย ผมพยายามกลืนแล้วแต่ก็เหมือนว่ามันจะย้อนศรออกทางปากให้ได้
“ถ้ามันดื่มยากก็ไม่ควรเอาเข้าปากรวดเดียวสิ”
“.....”
“ให้ฉันช่วยนะ”
สิ้นเสียงเขาก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอียงใบหน้าแล้วประกบริมฝีปากลงมา มือหนาบีบแก้มผมที่พองออกให้เผยอริมฝีปาก เขากดหน้าผมลงแล้วตัวเขาเองรอรับวอดก้าในปากผมให้ถ่ายเทไปยังโพรงปากของเขาแทน
ผมหลับตาปี๋เหมือนตอนเด็กที่กำลังดูหนังสยองขวัญ มันทั้งขนลุกวูบวาบแล้วหัวใจมันก็เต้นแรงจนจับจังหวะไม่ถูก
เผลอจิกเกร็งปลายเท้าจนงุ้มงอ ยกมือขึ้นจิกบนไหล่ของภาคชวินทร์กับการกระทำของเขา
นานหลายวินาทีหลังจากที่เหล้าในปากผมถูกกลืนลงคอและบางส่วนก็ถูกเขาขโมยมันไป
ทว่าเจ้าตัวกลับยังไม่ยอมผละออกจากริมฝีปาก ค่อยๆ ไล่ระดับบดคลลึงบนกลีบริมฝีปากผมอย่างละเมียดละไม เหมือนการละเลียดชิมไอศครีมแบบโคนราวกับกลัวมันจะละลาย
เกินกว่าผมจะรับไหวว่ะ
พอรู้ตัวว่าเริ่มหายใจตามไม่ทันผมก็รีบผละออกจากเขา ยกมือขึ้นป้องปากกับอาการพะอืดพะอมปนเวียนศีรษะ ร้อนผ่าวๆ ไปทั่วท้องน้อยเลย
“โมฆะนะ” เขาเลิกคิ้วใส่ผมที่กำลังจะขย่อนเหล้าในคอออกมา
แต่พูดไม่ทันขาดคำ ผมก็รีบวิ่งเข้าหาห้องน้ำพัลวัน ก่อนจะผลักประตูเข้าไปแล้วก้มหน้าลงกับชักโครกจนตัดคดตัวงอ
วอดก้ามาร์ตินี่ลงชักโครกแล้ว
ผมทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นแล้วถอนหายใจทิ้ง ตอนแรกกะว่าเดิมพันนี้ผมจะชนะแล้วต้อนเขาให้จนมุม ไหงกลับเป็นผมซะได้ที่อ่อนปวกเปียกแบบนี้
คุณภาคเดินตามมาแล้วยืนพิงอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ เขาหยิบผ้าผืนเล็กติดมือมาด้วย ก่อนจะเอาผ้าชุบน้ำแล้วเดินลงมาย่อตัวนั่งข้างๆ ผม พร้อมกับใช้ผ้าผืนนั้นเช็ดปากให้
“บอกแล้วไงว่ารวดเดียวไม่ไหวหรอก”
“คุณจูบผม”
“นายเองก็ดูดปากฉัน”
“ไม่.. คุณเริ่มมัน”
“ถ้านายปฏิเสธฉันก็หยุดอยู่แล้ว”
“ภาคชวินทร์..”
ภาคชวินทร์ชื่อเดียวที่ผุดขึ้นมาทุกครั้งเวลาหัวผมมันโล่ง
พออ้วกออกมาผมก็รู้สึกโล่งคอ แต่ยังต้องเผชิญศึกหนักด้วยการไม่สามารถเถียงเขากลับกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้เลย
อือ ผมดูดปากเขาตอบเอง
ผมเม้มริมฝีปากมองเขาแล้วหอบหายใจแรง สายตาชำเลืองมองใบหน้าหล่อของเขาขยับริมฝีปากเข้ามาใกล้ใบหู
“เรียกแค่ชื่ออีกแล้วนะ.. เรียกว่าแดดดี้ไม่ดีกว่าหรอ”
“.....”
“ไหนเรียกซิ ..แดดดี้น่ะ”