EPISODE 2 : Vodka Martini

2507 คำ
Santé Club คุณเคยได้ยินคำว่ารู้ทั้งรู้ว่าไฟมันร้อน แต่ก็ยังอยากลองเล่นกับไฟดูมั้ย ผมเพิ่งจะเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งก็วันนี้ ตอนที่ปลายเท้าของตัวเองจอดสนิทอยู่หน้าประตูทางเข้า Santé Club ตามที่เขานัดไว้บนโพสอิท สายตาเหม่อมองตึกสูงตรงหน้าด้วยนัยน์ตาเรียบเฉย ปากบอกว่าไม่ แต่ใจเป็นของพี่เสกสั่งให้มา มันเป็นคลับที่ดูหรูหราพอตัวเลย แสงสีที่ประดับประดาตามตึกสูงมันอลังการจนนึกว่าผมกำลังอยู่ประเทศนอกซะอีก เสียงเพลงอีดีเอ็มเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน ซึ่งผมไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีที่แบบนี้อยู่บนแผนที่ประเทศผมด้วย ความคิดแรกที่ผุดเข้ามาคือผมไม่กล้าเข้าไป ไม่มีบัตรเชิญติดตัว เงินในบัญชีก็มีแต่ค่าเทอมและค่ากินอยู่ คงไม่กล้าเจียดมันมาใช้ในการผ่านคลับอีดีเอ็มที่นี่แน่นอน ครั้นพอจะตบเท้าเข้าไปถามการ์ดหน้าคลับก็ไม่กล้าพอ ผมเหมือนกระต่ายตื่นตูมที่พยายามซ่อนความตระหนกไว้ใต้ใบหน้าของตัวเอง กระทั่งสายตาดุของชายชุดดำหันมามอง ร่างกายผมก็ชาดิกไม่กล้าขยับเพราะเจ้าตัวกำลังเดินตรงมาทางนี้ นะโมพุทราเถอะครับ ร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าประชิดตัวผมในทันที ไม่ได้ละลาบละล้วงอะไร แค่ใช้สายตามองผมเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนที่จะหันไปพยักหน้ากับเพื่อนการ์ดด้วยกัน เคยได้ยินแต่มาเฟียสเปน นี่มาเฟียไท่กั๋วก็มา “มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ” เขาโยนคำถามมาเสียงเรียบ “ผมมาหาคุณภาคชวินทร์ครับ” “ขอทราบชื่อด้วยครับ” “ขุน.. ขุนพลครับผม” ผมตอบกลับแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ทว่าใบหน้าขลึงขลังของอีกฝ่ายจับจ้องมองผมไม่วางตา ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วผายมือให้ผมเดินเข้าไปโดยที่ไม่ได้ถามอะไรต่อ บทจะง่ายก็ง่ายจนน่าใจหาย บทจะโหดก็โหดจนผมเกือบจะปัสสาวะเล็ดมันตรงนี้ให้ได้ แต่ว่าผมมีสิทธิ์เข้าไปจริงเหรอ แค่บอกชื่อก็ได้อภิสิทธิ์ชนไม่ต้องแสดงบัตรประชาชนเลยเหรอเนี่ย เจ๋งว่ะ แต่โทษทีปีนี้ผมสิบเก้าแล้วไม่ต้องห่วง หวังแต่ว่าคลับนี่คงจะไม่เปิดให้เข้าตั้งแต่อายุยี่สิบหรอกนะครับ ยังไม่อยากเข้าซังเตแล้วก็ไม่ชอบไปวนเวียนใกล้สถานีคุณตำหนวดด้วย ผมถูกส่งตัวขึ้นลิฟต์มายังชั้นที่สิบสี่ของชั้นตึก โดยที่มีการ์ดสองคนเดินตามประกบมาส่งที่ห้องด้านในสุด พวกเขาทิ้งผมไว้ที่หน้าห้อง ค้อมศีรษะลาแล้วก็ทิ้งกันไปโดยไม่พูดอะไร เหลือทิ้งไว้แค่ผมกับความเงียบเชียบรอบกาย ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูตรงหน้า มือก็กำชับของในกระเป๋าผ้าไว้แนบอก “เข้ามา” เสียงจากด้านในดังออกมา ผมย่างกรายเข้าไปในที่สลัวหลังจากได้รับอนุญาต ก่อนจะพบว่าประตูห้องไม่ได้ล็อค สายตามองเจ้าของแผ่นหลังกว้างนั่งหันหลังให้อยู่ด้วยความระแวดระวัง เหมือนว่าผมเป็นเด็กที่เขาเรียกมาหายังไงยังงั้น ทั้งที่ความจริงผมเสนอตัวเป็นแขกมาหาต่างหาก จะว่าไปเราสองคนก็เหมือนจะมีเรื่องให้เคลียร์อยู่เหมือนกันนะครับ ทั้งเรื่องชื่อของผมที่ถูกตัดบทไป รวมถึงเรื่องของฝากพวกนี้ที่มูลค่าหนาตาอีกต่างหาก “มาแล้วเหรอ” เสียงของเขาดังขึ้นปนกลิ่นของซิการ์อบอวล “อันที่จริงผมแค่..” “มานั่งนี่สิ” ไม่ทันที่จะได้โต้แย้งกันไปมากกว่านี้ เสียงเข้มก็เอ่ยสั่งให้ผมไปนั่งตรงเก้าอี้โซฟาตรงหน้าเขาทันที “นั่งก่อน แล้วเราค่อยคุยกัน” สองขาผมเดินตรงไปแล้วหย่อนก้นนั่งลง กว่าจะรู้ว่าตัวเองเชื่องเหมือนสุนัขที่ใส่สายจูงไว้แค่ไหนก็ตอนที่ลงมานั่งประจันหน้ากับเจ้าของนัยน์ตาสีหม่นซะแล้ว เขายกยิ้มอย่างพึงใจ ยกขาขึ้นไขว่ห้างเอนหลังเล็กน้อย ท่าทางของเขานี่มันอ่อยตัวพ่อ สายตาแพรวพราวราวกับเพชร ไหนจะเสื้อเชื้ตคอลึกนั่นอีก แค่นิดเดียวก็คงจะเห็นสะดือบุ๋มแล้วมั้งพ่อคุณ อันที่จริงเขาหุ่นดี วีไลน์ของเขาทำเอาติดตาผมเป็นบ้าเลย แต่ผมเองก็หุ่นดีไม่แพ้เขาแค่ช่วงนี้อาจจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายสักเท่าไหร่ ยังไงมัดกล้ามที่หน้าท้องผมก็ยังอยู่ครบทั้งหกแพคนั่นแหละ “นึกว่าจะไม่มาแล้วซะอีก” “ผมต้องมาอยู่แล้ว เพราะของพวกนี้” “.....” “ผมขอไม่รับ” พูดจบผมก็หยิบของที่เขาให้คนเอามาให้ออกมาถือไว้ ก่อนจะช้อนสายตามองคนตรงหน้าอย่างคาดโทษ “ทำไม” เขาถาม “ง่ายมาก มันแพงครับ” ผมตอบกลับแล้วไหวไหล่ ทำท่าจะยัดของในมือคืนเขาไป แต่เจ้าตัวกลับโบ้ยมือปฏิเสธ “ฉันเป็นคนจ่าย เต็มใจที่จะจ่าย” “นั่นยิ่งแพงใหญ่ คุณคงไม่ได้ให้อย่างเดียว หวังอะไรตอบแทนหรือเปล่าล่ะครับ” “ถ้าบอกว่าให้เพราะพิศวาส จะรับไว้ได้มั้ย” ภาคชวินทร์เปลี่ยนอิริยาบถ จากที่นั่งไขว่ห้างเป็นเอามือมาประสานตรงหน้าแล้วโน้มตัวเข้าหาผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ให้เพราะพิศวาสกับผีเหอะครับ ผมไม่มีทางเชื่อลมปากของผู้ชายคนนี้แน่นอน เดาไม่ออกเลยว่าภายใต้รอยยิ้มสวยของเขาซ่อนอะไรไว้กันแน่ “ผมไม่รับ..” “อืม รู้สึกแย่จังเลยนะ ฉันอุตส่าห์ไปเลือกซื้อให้กับมือ” ผมมุ่นคิ้วเข้าหากัน มองเขาที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วถือวิสาสะหยิบน้ำหอมในมือผมไปถือไว้ เสียงฝีเท้าของเขาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ก่อนจะหยุดอยู่ทางด้านหลังผม หัวใจเต้นล่ำไม่เป็นส่ำกับบรรยากาศมาคุภายในห้อง รอบด้านเป็นกระจกใสสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ในยามค่ำคืนของตัวเมือง มันสวยงามเหมือนหลุดไปอีกโลกนึงเลย ทว่าเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ก็เรียกสติผมที่หลุดเข้าไปในภวังค์ให้รู้สึกตัว “ไม่ได้ฉีดมาหรอ” “บอกแล้วไงครับว่าผมไม่รับมันไว้” “เสียใจนะเนี่ย” “เห้ย” ผมร้องเสียงหลง พร้อมกับยกมือขึ้นปิดท้ายทอยตัวเอง ก่อนจะถูกมือหนาแกะออกแล้วแนบริมฝีปากกระซิบข้างใบหู “ยอมรับเถอะว่านายเองก็สนใจฉันอยู่เหมือนกัน” “.....” “ไม่งั้นนายจะมาที่นี่ทำไม” ละอองของหัวน้ำหอมที่ฉีดพ่นกระจายลงมาบริเวณท้ายทอยหนึ่งจุด เขาใช้มือนวดคลึงเป็นวงกลม ก่อนก้มใบหน้าลงมาฝังจมูกดมดอมที่หลังคออย่างถือวิสาสะ ร่างกายผมสะดุ้งเฮือกไปตามสัมผัสที่บางเบาชวนให้ใจหวิว เผลอกลั้นลมหายใจไปครู่หนึ่งตอนที่เขาโน้มตัวแนบอิงแผงอกชนเข้ากันแผ่นหลัง มือไม้จิกเกร็งลงบนเก้าอี้นุ่ม หัวใจที่เคยสั่นไหวหล่นฮวบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่ออีกฝ่ายฉีดน้ำหอมลงบนข้อพับแขน พร้อมกับลากไล้ปลายจมูกโด่งสันทัดดมกลิ่นตั้งแต่ลาดไหล่ลงมายันข้อพับแขน เขาหยุดการกระทำลงแล้วยกยิ้มเมื่อเห็นผมนั่งเกร็ง นัยน์ตาสีเขียวหม่นเปรยขึ้นมอง รอยยิ้มร้ายประดับบนมุมปาก ก่อนที่เจ้าตัวจะจับมือผมไปจูบซับหลังมือ ความนุ่มของริมฝีปากที่กดลงมาทำให้ผมวูบวาบไปทั้งตัว สายตาที่ช้อนขึ้นมองขณะที่ยังแนบริมฝีปากอยู่บนหลังมือ ส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงลิ่ว ผมชักมือกลับมาวางไว้บนตัก หลุบตามองต่ำกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวไม่หยุด “ฉันคิดว่านายจะโทรมาหา แต่ก็คงจะผิดคาดไป.. นายไม่ติดต่อมาก็เลยนึกว่านายจะไม่สนใจ” เขาพูดพลางหยิบกล่องสร้อยคอบนตักผมไป “ส่วนคุณก็รู้ที่อยู่ของผม แต่ก็ไม่ติดต่อมานี่ครับ” “เพราะฉันคิดว่านายไม่ได้สนใจฉันขนาดนั้น” “.....” “หรือว่าสนใจขึ้นมา” “เปล่า” เป็นการตอบกลับที่ไม่เต็มเสียง และเป็นผมเองที่ไม่กล้าสบสายตากับอีกฝ่าย ได้แต่นั่งก้มหน้าเหมือนคนที่ต้องการจะปกปิดความผิดปกติบนใบหน้า “ผมไม่ได้มาเพื่อทำเรื่องแบบนั้น ก็แค่จะเอาของมาคืน” “แล้วไม่คิดถึงกันบ้างหรอ” “ภาคชวินทร์” เขามันร้าย.. สัมผัสบางเบาเกิดขึ้นบริเวณลำคอ พอก้มหน้ามองผมก็เห็นว่าเขาจัดการสวมสร้อยคอราคาหลักแสนให้แล้วเรียบร้อย ผมผละออกจากเก้าอี้ นั่นเลยส่งผลให้อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ในช่วงจังหวะที่เหมาะสม ขาผมที่ชิดติดกับขอบเตียงก็หยุดนิ่ง สายตากวาดมองหาทางหนีทีไร่ แต่ทว่าเขาก็ก้าวเข้าประชิดตัวจนผมหงายหลังลงบนเตียงนุ่ม สองมือรีบยกขึ้นป้องอกตัวเอง เมื่อเขาโถมร่างขึ้นคร่อมพร้อมกับเสียงแค่นหัวเราะในลำคอ เขากำลังยิ้ม แต่ดวงตาของเขามันคือแววตาของนักล่าชัดๆ “คุณเป็นใครกันแน่” ผมถามพลางงุดหน้าหนี “เมื่อกี้นายเพิ่งจะพูดชื่อของฉันไปไงเด็กน้อย” เขาไม่ได้ทำอะไรมากกว่าล็อคผมไม่ให้หนี เหมือนจะสนุกด้วยซ้ำที่ต้อนผมให้จนมุมซะได้ “ไม่ใช่.. ไม่ใช่แบบนั้น ผมหมายถึงคุณคือใคร ทำไมถึงทำเหมือนรู้จักผมดี” “เรื่องไหนล่ะ” “ทั้งชื่อ ทั้งที่อยู่.. คุณทำเหมือนว่าตัวเองรู้เกี่ยวกับผมไปหมดทุกอย่าง ทั้งที่เราเพิ่งจะเคยเจอกัน” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “อ่า เรื่องนั้นน่ะ..” “เรื่องนั้นทำไมครับ” “เรื่องนั้นมันก็แค่เรื่องบังเอิญ” “ผมเด็กกว่าก็ไม่ได้แปลว่าจะหลอกง่าย คุณให้คนตามผมหรือสืบประวัติผมใช่มั้ย” “ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น..” เขาเงียบไปนานราวกับกำลังคิดหาวิธีการเปลี่ยนเรื่องคุย จนผมเริ่มถอนหายใจแรงใส่ นัยน์ตาสีสวยนั่นถึงยอมเบนกลับมามองที่ผมอีกครั้ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมกำลังพ่ายแพ้ให้แววตาคู่นี้ กลิ่นหอมจากตัวเองแตะจมูกผมน่าดูเลย เพียงแค่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมร่างกายของตัวถึงไม่ยอมผลักเขาออก “ส่วนสร้อยนี่ไม่คิดว่ามันเข้ากับนายหรอ ฉันเลือกเพราะมันเป็นดอกไม้.. ดูเข้ากับนายดี” คนตรงหน้าหลุบตามองสร้อยที่คอผมแทน “คุณอย่าเปลี่ยน..” “เรื่องราคาน่ะไม่สำคัญหรอก แค่นายชอบฉันก็พอใจแล้ว” “คุณให้คนตามผมใช่มั้ย ภาคชวินทร์” “.....” “คุณรู้จักผมใช่มั้ยครับ” คำถามที่พ่นออกไปไม่ได้ถูกตอบกลับมา มีเพียงแค่สายตาเรียบเฉยของเขาที่กำลังจดจ้องมองมาแทน เขาลอบถอนหายใจ ก่อนจะใช้มือวาดค้ำไว้เหนือศีรษะแล้วแสร้งกลอกตาหนีแทนที่จะตอบคำถามผม “คุณภาคครับ” “ฉันจะซื้อทุกอย่างที่ดูเหมาะกับนาย ต่อให้นายไม่อยากได้ก็ตาม” “ภาคช..” “เรียกชื่อฉันแบบไม่มีคำนำหน้า ทำตัวเหมือนสามีภรรยากันเลยนะ” “ทึกทักอะไรของคุณ” “รับไปเถอะ สร้อยนี่เหมาะกับนาย พอดีไปดูงานที่อังกฤษแล้วนึกถึงนาย” หลังจากที่เขาพูดจบ บทสนทนาระหว่างเราก็นิ่งไปซะอย่างนั้น ผมเผลอกลืนน้ำลายแล้วสบสายตาของเขาไม่ละไปไหน มือหนาจับสร้อยที่คอผมพลิกไปมาอย่างพิจารณา “ผมไม่อยากได้” “แต่ฉันอยากให้” “ผมไม่เอา” “นายอยากให้ฉันโยนเงินสองแสนลงหน้าต่างมั้ยล่ะ” ดูเหมือนว่าเราสองคนจะจ้องประจันหน้ากันนานพอสมควร ต่อปากต่อคำจนผมอดไม่ได้ที่จะยกธงขาวยอมแพ้กับการโต้วาทีกันในครั้งนี้ สุดท้ายเรื่องสำคัญที่อยากจะคุย ผมก็ลืมมันไปในที่สุด “คนที่สวยงามเหมือนดอกไม้ ก็เหมาะกับเครื่องประดับพวกนี้ไม่ใช่หรอ” หลังมือของเขาลากไล้อยู่ที่กรอบหน้าผม ก่อนจะหยุดไว้ที่ลำคอใช้มือบีบปลายคางให้ผมเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้ง “ฉันไม่อยากนิยามตัวนาย.. แม้จะทำไปแล้วก็ตาม” “.....” “นายโดดเด่นแล้วก็เปล่งประกาย.. เหมือนกับสร้อยที่นายใส่อยู่” “ผมจะแงะเพชรเอาไปขาย ไม่ดิ ขายทั้งสร้อยเลย” “งั้นก็มาขายให้ฉันสิ” เรียวคิ้วผมกระตุกเข้าหากันด้วยความตงิดในใจ “ฉันยินดีจ่ายไม่อั้น” “หมายถึงขายสร้อยเหมือนกันใช่มั้ยครับ” “คิดว่าคนอายุรุ่นฉันจะคิดอะไรตื้นเขินแบบนั้นเหรอ” “เหอะ” ผมแสยะยิ้มมุมปาก ก่อนที่จะใช้โอกาสทีเผลอพลิกกายหมุนกลิ้งออกจากการควบคุมโดยภาคชวินทร์ เขาไม่ได้ดึงผมให้กลับลงไปนอน แต่กลายเป็นเจ้าตัวที่นอนตะแคงข้าง ยกมือขึ้นเท้าแขนมองมาพลางใช้มือตบลงบนที่นอนแทน “งั้นคืนนี้เราจะทำอะไรกันดี อ่านหนังสือ ดื่มไวน์.. หรืออ่านงานก่อนนอน” พอเจ้าตัวพูดจบ เขาก็กระตุกคิ้วเหมือนจะฉุดคิดอะไรขึ้นมาได้ นั่นเป็นกิจวัตรประจำวันก่อนนอนของเขาหรอครับ พวกอ่านหนังสือ ดื่มไวน์ อ่านงานอะไรทำนองนั้น เพราะสำหรับผมแล้วคือการเล่นเกมจนหลับคาโทรศัพท์มือถือ หรือไม่ก็หลับคากรรไกรตัดงาน “ฉันหมายถึง.. หมายถึงนายอยากจะทำอะไร” “ผมแค่จะเอาของมาให้แล้วก็กลับ ไม่ได้อยากทำอะไรครับ” จะให้เกิดเรื่องเหมือนคืนนั้นไม่ได้เด็ดขาด บอกแล้วไงแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว “จะไม่ทำอะไรด้วยกันจริงหรอ” “ไม่ครับ” “ฉันรั้งนายไม่ได้เลยหรอขุนพล” “.....” “แบบนั้นคงแย่น่าดู เพราะฉันอยากให้นายอยู่ดริ้งค์ด้วยกันก่อน” เขาไหวไหล่อย่างนึกเสียดาย ทว่าก่อนที่ผมจะคว้ากระเป๋าผ้าตัวเองแล้วเดินออกจากห้อง น้ำเสียงทุ้มต่ำนั่นก็สะกดคนฟังให้หยุดเดินแล้วรอว่าเขาจะพูดอะไรต่อ “ถ้าฉันรั้งนายไม่ได้งั้น.. Vodka Martini ล่ะ "....." "พอจะรั้งนายไว้ได้หรือเปล่า”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม