Santé Club
คุณเคยได้ยินคำว่ารู้ทั้งรู้ว่าไฟมันร้อน แต่ก็ยังอยากลองเล่นกับไฟดูมั้ย
ผมเพิ่งจะเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งก็วันนี้ ตอนที่ปลายเท้าของตัวเองจอดสนิทอยู่หน้าประตูทางเข้า Santé Club ตามที่เขานัดไว้บนโพสอิท สายตาเหม่อมองตึกสูงตรงหน้าด้วยนัยน์ตาเรียบเฉย
ปากบอกว่าไม่ แต่ใจเป็นของพี่เสกสั่งให้มา
มันเป็นคลับที่ดูหรูหราพอตัวเลย แสงสีที่ประดับประดาตามตึกสูงมันอลังการจนนึกว่าผมกำลังอยู่ประเทศนอกซะอีก เสียงเพลงอีดีเอ็มเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน ซึ่งผมไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีที่แบบนี้อยู่บนแผนที่ประเทศผมด้วย
ความคิดแรกที่ผุดเข้ามาคือผมไม่กล้าเข้าไป ไม่มีบัตรเชิญติดตัว เงินในบัญชีก็มีแต่ค่าเทอมและค่ากินอยู่ คงไม่กล้าเจียดมันมาใช้ในการผ่านคลับอีดีเอ็มที่นี่แน่นอน
ครั้นพอจะตบเท้าเข้าไปถามการ์ดหน้าคลับก็ไม่กล้าพอ ผมเหมือนกระต่ายตื่นตูมที่พยายามซ่อนความตระหนกไว้ใต้ใบหน้าของตัวเอง กระทั่งสายตาดุของชายชุดดำหันมามอง ร่างกายผมก็ชาดิกไม่กล้าขยับเพราะเจ้าตัวกำลังเดินตรงมาทางนี้
นะโมพุทราเถอะครับ
ร่างสูงใหญ่ก้าวเท้าประชิดตัวผมในทันที ไม่ได้ละลาบละล้วงอะไร แค่ใช้สายตามองผมเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนที่จะหันไปพยักหน้ากับเพื่อนการ์ดด้วยกัน
เคยได้ยินแต่มาเฟียสเปน นี่มาเฟียไท่กั๋วก็มา
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ” เขาโยนคำถามมาเสียงเรียบ
“ผมมาหาคุณภาคชวินทร์ครับ”
“ขอทราบชื่อด้วยครับ”
“ขุน.. ขุนพลครับผม” ผมตอบกลับแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
ทว่าใบหน้าขลึงขลังของอีกฝ่ายจับจ้องมองผมไม่วางตา ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วผายมือให้ผมเดินเข้าไปโดยที่ไม่ได้ถามอะไรต่อ
บทจะง่ายก็ง่ายจนน่าใจหาย บทจะโหดก็โหดจนผมเกือบจะปัสสาวะเล็ดมันตรงนี้ให้ได้
แต่ว่าผมมีสิทธิ์เข้าไปจริงเหรอ แค่บอกชื่อก็ได้อภิสิทธิ์ชนไม่ต้องแสดงบัตรประชาชนเลยเหรอเนี่ย เจ๋งว่ะ
แต่โทษทีปีนี้ผมสิบเก้าแล้วไม่ต้องห่วง หวังแต่ว่าคลับนี่คงจะไม่เปิดให้เข้าตั้งแต่อายุยี่สิบหรอกนะครับ ยังไม่อยากเข้าซังเตแล้วก็ไม่ชอบไปวนเวียนใกล้สถานีคุณตำหนวดด้วย
ผมถูกส่งตัวขึ้นลิฟต์มายังชั้นที่สิบสี่ของชั้นตึก โดยที่มีการ์ดสองคนเดินตามประกบมาส่งที่ห้องด้านในสุด
พวกเขาทิ้งผมไว้ที่หน้าห้อง ค้อมศีรษะลาแล้วก็ทิ้งกันไปโดยไม่พูดอะไร เหลือทิ้งไว้แค่ผมกับความเงียบเชียบรอบกาย ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูตรงหน้า มือก็กำชับของในกระเป๋าผ้าไว้แนบอก
“เข้ามา” เสียงจากด้านในดังออกมา
ผมย่างกรายเข้าไปในที่สลัวหลังจากได้รับอนุญาต ก่อนจะพบว่าประตูห้องไม่ได้ล็อค สายตามองเจ้าของแผ่นหลังกว้างนั่งหันหลังให้อยู่ด้วยความระแวดระวัง เหมือนว่าผมเป็นเด็กที่เขาเรียกมาหายังไงยังงั้น ทั้งที่ความจริงผมเสนอตัวเป็นแขกมาหาต่างหาก
จะว่าไปเราสองคนก็เหมือนจะมีเรื่องให้เคลียร์อยู่เหมือนกันนะครับ ทั้งเรื่องชื่อของผมที่ถูกตัดบทไป รวมถึงเรื่องของฝากพวกนี้ที่มูลค่าหนาตาอีกต่างหาก
“มาแล้วเหรอ” เสียงของเขาดังขึ้นปนกลิ่นของซิการ์อบอวล
“อันที่จริงผมแค่..”
“มานั่งนี่สิ”
ไม่ทันที่จะได้โต้แย้งกันไปมากกว่านี้ เสียงเข้มก็เอ่ยสั่งให้ผมไปนั่งตรงเก้าอี้โซฟาตรงหน้าเขาทันที
“นั่งก่อน แล้วเราค่อยคุยกัน”
สองขาผมเดินตรงไปแล้วหย่อนก้นนั่งลง กว่าจะรู้ว่าตัวเองเชื่องเหมือนสุนัขที่ใส่สายจูงไว้แค่ไหนก็ตอนที่ลงมานั่งประจันหน้ากับเจ้าของนัยน์ตาสีหม่นซะแล้ว
เขายกยิ้มอย่างพึงใจ ยกขาขึ้นไขว่ห้างเอนหลังเล็กน้อย ท่าทางของเขานี่มันอ่อยตัวพ่อ สายตาแพรวพราวราวกับเพชร ไหนจะเสื้อเชื้ตคอลึกนั่นอีก แค่นิดเดียวก็คงจะเห็นสะดือบุ๋มแล้วมั้งพ่อคุณ
อันที่จริงเขาหุ่นดี วีไลน์ของเขาทำเอาติดตาผมเป็นบ้าเลย แต่ผมเองก็หุ่นดีไม่แพ้เขาแค่ช่วงนี้อาจจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายสักเท่าไหร่ ยังไงมัดกล้ามที่หน้าท้องผมก็ยังอยู่ครบทั้งหกแพคนั่นแหละ
“นึกว่าจะไม่มาแล้วซะอีก”
“ผมต้องมาอยู่แล้ว เพราะของพวกนี้”
“.....”
“ผมขอไม่รับ”
พูดจบผมก็หยิบของที่เขาให้คนเอามาให้ออกมาถือไว้ ก่อนจะช้อนสายตามองคนตรงหน้าอย่างคาดโทษ
“ทำไม” เขาถาม
“ง่ายมาก มันแพงครับ” ผมตอบกลับแล้วไหวไหล่ ทำท่าจะยัดของในมือคืนเขาไป แต่เจ้าตัวกลับโบ้ยมือปฏิเสธ
“ฉันเป็นคนจ่าย เต็มใจที่จะจ่าย”
“นั่นยิ่งแพงใหญ่ คุณคงไม่ได้ให้อย่างเดียว หวังอะไรตอบแทนหรือเปล่าล่ะครับ”
“ถ้าบอกว่าให้เพราะพิศวาส จะรับไว้ได้มั้ย”
ภาคชวินทร์เปลี่ยนอิริยาบถ จากที่นั่งไขว่ห้างเป็นเอามือมาประสานตรงหน้าแล้วโน้มตัวเข้าหาผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
ให้เพราะพิศวาสกับผีเหอะครับ ผมไม่มีทางเชื่อลมปากของผู้ชายคนนี้แน่นอน เดาไม่ออกเลยว่าภายใต้รอยยิ้มสวยของเขาซ่อนอะไรไว้กันแน่
“ผมไม่รับ..”
“อืม รู้สึกแย่จังเลยนะ ฉันอุตส่าห์ไปเลือกซื้อให้กับมือ”
ผมมุ่นคิ้วเข้าหากัน มองเขาที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วถือวิสาสะหยิบน้ำหอมในมือผมไปถือไว้ เสียงฝีเท้าของเขาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ก่อนจะหยุดอยู่ทางด้านหลังผม
หัวใจเต้นล่ำไม่เป็นส่ำกับบรรยากาศมาคุภายในห้อง รอบด้านเป็นกระจกใสสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ในยามค่ำคืนของตัวเมือง มันสวยงามเหมือนหลุดไปอีกโลกนึงเลย
ทว่าเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ก็เรียกสติผมที่หลุดเข้าไปในภวังค์ให้รู้สึกตัว
“ไม่ได้ฉีดมาหรอ”
“บอกแล้วไงครับว่าผมไม่รับมันไว้”
“เสียใจนะเนี่ย”
“เห้ย” ผมร้องเสียงหลง พร้อมกับยกมือขึ้นปิดท้ายทอยตัวเอง ก่อนจะถูกมือหนาแกะออกแล้วแนบริมฝีปากกระซิบข้างใบหู
“ยอมรับเถอะว่านายเองก็สนใจฉันอยู่เหมือนกัน”
“.....”
“ไม่งั้นนายจะมาที่นี่ทำไม”
ละอองของหัวน้ำหอมที่ฉีดพ่นกระจายลงมาบริเวณท้ายทอยหนึ่งจุด เขาใช้มือนวดคลึงเป็นวงกลม ก่อนก้มใบหน้าลงมาฝังจมูกดมดอมที่หลังคออย่างถือวิสาสะ
ร่างกายผมสะดุ้งเฮือกไปตามสัมผัสที่บางเบาชวนให้ใจหวิว เผลอกลั้นลมหายใจไปครู่หนึ่งตอนที่เขาโน้มตัวแนบอิงแผงอกชนเข้ากันแผ่นหลัง
มือไม้จิกเกร็งลงบนเก้าอี้นุ่ม หัวใจที่เคยสั่นไหวหล่นฮวบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่ออีกฝ่ายฉีดน้ำหอมลงบนข้อพับแขน พร้อมกับลากไล้ปลายจมูกโด่งสันทัดดมกลิ่นตั้งแต่ลาดไหล่ลงมายันข้อพับแขน
เขาหยุดการกระทำลงแล้วยกยิ้มเมื่อเห็นผมนั่งเกร็ง นัยน์ตาสีเขียวหม่นเปรยขึ้นมอง รอยยิ้มร้ายประดับบนมุมปาก ก่อนที่เจ้าตัวจะจับมือผมไปจูบซับหลังมือ
ความนุ่มของริมฝีปากที่กดลงมาทำให้ผมวูบวาบไปทั้งตัว สายตาที่ช้อนขึ้นมองขณะที่ยังแนบริมฝีปากอยู่บนหลังมือ ส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงลิ่ว
ผมชักมือกลับมาวางไว้บนตัก หลุบตามองต่ำกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวไม่หยุด
“ฉันคิดว่านายจะโทรมาหา แต่ก็คงจะผิดคาดไป.. นายไม่ติดต่อมาก็เลยนึกว่านายจะไม่สนใจ” เขาพูดพลางหยิบกล่องสร้อยคอบนตักผมไป
“ส่วนคุณก็รู้ที่อยู่ของผม แต่ก็ไม่ติดต่อมานี่ครับ”
“เพราะฉันคิดว่านายไม่ได้สนใจฉันขนาดนั้น”
“.....”
“หรือว่าสนใจขึ้นมา”
“เปล่า”
เป็นการตอบกลับที่ไม่เต็มเสียง และเป็นผมเองที่ไม่กล้าสบสายตากับอีกฝ่าย ได้แต่นั่งก้มหน้าเหมือนคนที่ต้องการจะปกปิดความผิดปกติบนใบหน้า
“ผมไม่ได้มาเพื่อทำเรื่องแบบนั้น ก็แค่จะเอาของมาคืน”
“แล้วไม่คิดถึงกันบ้างหรอ”
“ภาคชวินทร์”
เขามันร้าย..
สัมผัสบางเบาเกิดขึ้นบริเวณลำคอ พอก้มหน้ามองผมก็เห็นว่าเขาจัดการสวมสร้อยคอราคาหลักแสนให้แล้วเรียบร้อย
ผมผละออกจากเก้าอี้ นั่นเลยส่งผลให้อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ในช่วงจังหวะที่เหมาะสม ขาผมที่ชิดติดกับขอบเตียงก็หยุดนิ่ง สายตากวาดมองหาทางหนีทีไร่ แต่ทว่าเขาก็ก้าวเข้าประชิดตัวจนผมหงายหลังลงบนเตียงนุ่ม
สองมือรีบยกขึ้นป้องอกตัวเอง เมื่อเขาโถมร่างขึ้นคร่อมพร้อมกับเสียงแค่นหัวเราะในลำคอ
เขากำลังยิ้ม แต่ดวงตาของเขามันคือแววตาของนักล่าชัดๆ
“คุณเป็นใครกันแน่” ผมถามพลางงุดหน้าหนี
“เมื่อกี้นายเพิ่งจะพูดชื่อของฉันไปไงเด็กน้อย” เขาไม่ได้ทำอะไรมากกว่าล็อคผมไม่ให้หนี เหมือนจะสนุกด้วยซ้ำที่ต้อนผมให้จนมุมซะได้
“ไม่ใช่.. ไม่ใช่แบบนั้น ผมหมายถึงคุณคือใคร ทำไมถึงทำเหมือนรู้จักผมดี”
“เรื่องไหนล่ะ”
“ทั้งชื่อ ทั้งที่อยู่.. คุณทำเหมือนว่าตัวเองรู้เกี่ยวกับผมไปหมดทุกอย่าง ทั้งที่เราเพิ่งจะเคยเจอกัน”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “อ่า เรื่องนั้นน่ะ..”
“เรื่องนั้นทำไมครับ”
“เรื่องนั้นมันก็แค่เรื่องบังเอิญ”
“ผมเด็กกว่าก็ไม่ได้แปลว่าจะหลอกง่าย คุณให้คนตามผมหรือสืบประวัติผมใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น..”
เขาเงียบไปนานราวกับกำลังคิดหาวิธีการเปลี่ยนเรื่องคุย จนผมเริ่มถอนหายใจแรงใส่ นัยน์ตาสีสวยนั่นถึงยอมเบนกลับมามองที่ผมอีกครั้ง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมกำลังพ่ายแพ้ให้แววตาคู่นี้ กลิ่นหอมจากตัวเองแตะจมูกผมน่าดูเลย เพียงแค่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมร่างกายของตัวถึงไม่ยอมผลักเขาออก
“ส่วนสร้อยนี่ไม่คิดว่ามันเข้ากับนายหรอ ฉันเลือกเพราะมันเป็นดอกไม้.. ดูเข้ากับนายดี” คนตรงหน้าหลุบตามองสร้อยที่คอผมแทน
“คุณอย่าเปลี่ยน..”
“เรื่องราคาน่ะไม่สำคัญหรอก แค่นายชอบฉันก็พอใจแล้ว”
“คุณให้คนตามผมใช่มั้ย ภาคชวินทร์”
“.....”
“คุณรู้จักผมใช่มั้ยครับ”
คำถามที่พ่นออกไปไม่ได้ถูกตอบกลับมา มีเพียงแค่สายตาเรียบเฉยของเขาที่กำลังจดจ้องมองมาแทน
เขาลอบถอนหายใจ ก่อนจะใช้มือวาดค้ำไว้เหนือศีรษะแล้วแสร้งกลอกตาหนีแทนที่จะตอบคำถามผม
“คุณภาคครับ”
“ฉันจะซื้อทุกอย่างที่ดูเหมาะกับนาย ต่อให้นายไม่อยากได้ก็ตาม”
“ภาคช..”
“เรียกชื่อฉันแบบไม่มีคำนำหน้า ทำตัวเหมือนสามีภรรยากันเลยนะ”
“ทึกทักอะไรของคุณ”
“รับไปเถอะ สร้อยนี่เหมาะกับนาย พอดีไปดูงานที่อังกฤษแล้วนึกถึงนาย”
หลังจากที่เขาพูดจบ บทสนทนาระหว่างเราก็นิ่งไปซะอย่างนั้น ผมเผลอกลืนน้ำลายแล้วสบสายตาของเขาไม่ละไปไหน มือหนาจับสร้อยที่คอผมพลิกไปมาอย่างพิจารณา
“ผมไม่อยากได้”
“แต่ฉันอยากให้”
“ผมไม่เอา”
“นายอยากให้ฉันโยนเงินสองแสนลงหน้าต่างมั้ยล่ะ”
ดูเหมือนว่าเราสองคนจะจ้องประจันหน้ากันนานพอสมควร ต่อปากต่อคำจนผมอดไม่ได้ที่จะยกธงขาวยอมแพ้กับการโต้วาทีกันในครั้งนี้
สุดท้ายเรื่องสำคัญที่อยากจะคุย ผมก็ลืมมันไปในที่สุด
“คนที่สวยงามเหมือนดอกไม้ ก็เหมาะกับเครื่องประดับพวกนี้ไม่ใช่หรอ”
หลังมือของเขาลากไล้อยู่ที่กรอบหน้าผม ก่อนจะหยุดไว้ที่ลำคอใช้มือบีบปลายคางให้ผมเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้ง
“ฉันไม่อยากนิยามตัวนาย.. แม้จะทำไปแล้วก็ตาม”
“.....”
“นายโดดเด่นแล้วก็เปล่งประกาย.. เหมือนกับสร้อยที่นายใส่อยู่”
“ผมจะแงะเพชรเอาไปขาย ไม่ดิ ขายทั้งสร้อยเลย”
“งั้นก็มาขายให้ฉันสิ”
เรียวคิ้วผมกระตุกเข้าหากันด้วยความตงิดในใจ
“ฉันยินดีจ่ายไม่อั้น”
“หมายถึงขายสร้อยเหมือนกันใช่มั้ยครับ”
“คิดว่าคนอายุรุ่นฉันจะคิดอะไรตื้นเขินแบบนั้นเหรอ”
“เหอะ”
ผมแสยะยิ้มมุมปาก ก่อนที่จะใช้โอกาสทีเผลอพลิกกายหมุนกลิ้งออกจากการควบคุมโดยภาคชวินทร์
เขาไม่ได้ดึงผมให้กลับลงไปนอน แต่กลายเป็นเจ้าตัวที่นอนตะแคงข้าง ยกมือขึ้นเท้าแขนมองมาพลางใช้มือตบลงบนที่นอนแทน
“งั้นคืนนี้เราจะทำอะไรกันดี อ่านหนังสือ ดื่มไวน์.. หรืออ่านงานก่อนนอน”
พอเจ้าตัวพูดจบ เขาก็กระตุกคิ้วเหมือนจะฉุดคิดอะไรขึ้นมาได้
นั่นเป็นกิจวัตรประจำวันก่อนนอนของเขาหรอครับ พวกอ่านหนังสือ ดื่มไวน์ อ่านงานอะไรทำนองนั้น เพราะสำหรับผมแล้วคือการเล่นเกมจนหลับคาโทรศัพท์มือถือ หรือไม่ก็หลับคากรรไกรตัดงาน
“ฉันหมายถึง.. หมายถึงนายอยากจะทำอะไร”
“ผมแค่จะเอาของมาให้แล้วก็กลับ ไม่ได้อยากทำอะไรครับ”
จะให้เกิดเรื่องเหมือนคืนนั้นไม่ได้เด็ดขาด บอกแล้วไงแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว
“จะไม่ทำอะไรด้วยกันจริงหรอ”
“ไม่ครับ”
“ฉันรั้งนายไม่ได้เลยหรอขุนพล”
“.....”
“แบบนั้นคงแย่น่าดู เพราะฉันอยากให้นายอยู่ดริ้งค์ด้วยกันก่อน”
เขาไหวไหล่อย่างนึกเสียดาย ทว่าก่อนที่ผมจะคว้ากระเป๋าผ้าตัวเองแล้วเดินออกจากห้อง น้ำเสียงทุ้มต่ำนั่นก็สะกดคนฟังให้หยุดเดินแล้วรอว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
“ถ้าฉันรั้งนายไม่ได้งั้น.. Vodka Martini ล่ะ
"....."
"พอจะรั้งนายไว้ได้หรือเปล่า”