ปฐมบท 1 สวีหลิงเยี่ยน2

975 คำ
จวนสกุลสวี ในห้องโถงรับรอง นายท่านใหญ่สวีที่เดิมทีนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานโถงอย่างสง่าสุขุม ยามนี้กลับตบโต๊ะดังปัง ลุกขึ้นยืนตวาดคำดังลั่นที่อัดแน่นไปด้วยไฟโทสะ “ข้าตอบรับไปในเทียบเชิญแล้วว่าเจ้าป่วย จำต้องให้เหมยเอ๋อร์ไปแทน ห้ามโต้แย้งอีก” “ท่านพี่ กัวเหมยเป็นแค่ฮูหยินรอง ฐานะไม่ต่างอนุ แต่ข้าเป็นถึงฮูหยินใหญ่และไม่ได้ป่วย” “ช่วยไม่ได้! ในเมื่อเจ้าไม่มีบุตรชายที่ได้เป็นถึงสหายร่วมเรียนกับท่านอ๋องให้ข้าเหมือนเหมยเอ๋อร์” เหยาซื่อได้ฟังพลันชะงัก ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงเงียบงัน มิอาจทัดทานสามีอีก สวีจงสือยกมือชี้หน้าภรรยาของตนอย่างหงุดหงิด “เจ้าไร้ความสามารถเองจะโทษใครได้ ข้าคิดผิดจริงๆ ที่เลือกแต่งเจ้าเป็นภรรยาเอก” เหยาซื่อสะท้านไปทั้งหัวใจ นางตัดพ้อเสียงสั่น “ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ก่อนแต่งใครกันตามเฝ้าข้าเช้าเย็น ถึงขั้นคุกเข่าหน้าประตูจวนเหยาไม่ยอมไปไหน ขู่ฆ่าตัวตายหากไม่ได้แต่งข้าเป็นภรรยา” หางคิ้วสวีจงสือกระตุก แต่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “ตอนนั้น เพราะข้าดวงตามืดบอดรักเจ้า แต่ตอนนี้ ข้าตาสว่างแล้วปะไร ฮึ!” ว่าจบพลันเดินจากไปอย่างโกรธา “ท่ะ ท่านพี่” เหยาซื่อทำได้เพียงกัดฟันกลั้นน้ำตาขณะมองตามแผ่นหลังของสามีที่เดินจากไปอย่างเย็นชา หน้าห้องโถง สวีหลิงเยี่ยนยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว แน่นอนว่าเป็นเหตุการณ์ที่นางได้พบเห็นบ่อยครั้ง เมื่อบิดาเดินออกมา นางรีบค้อมกายนอบน้อม น้ำเสียงสั่นระริก “คารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” สวีจงสือไม่พูดจา ไม่แม้แต่จะรับการคารวะทักทาย เพียงปรายตามองอย่างเย็นชา สะบัดชายเสื้อเดินจากไป หญิงสาวที่ได้แต่ก้มหน้ามิกล้าเงยจึงทำเพียงหลุบตาที่มีแววไหววูบสั่นเทาเอาไว้ ความรู้สึกคับค้องหมองใจถูกเก็บงำเอาไว้จนลึกสุดใจ นางไม่เคยชินชา มีแต่เจ็บซ้ำๆ เฉกเช่นเดิม นางเดินเข้าไปยอบกายทักทายมารดาที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในห้อง “คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” เหยาซื่อหันมาเห็นบุตรีของตน แววตาชิงชังผิดหวังล้วนฉายชัด อารมณ์ที่กักเก็บพลันพลุ่งพล่าน นางตวาดลั่น “เพราะเจ้า ข้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เพราะมีลูกสาวเช่นเจ้า ไสหัวไป!” “ท่านแม่” สวีหลิงเยี่ยนเงยหน้าน้ำตาคลอ ถ้วยชาถูกเหวี่ยงใส่ใบหน้า สวีหลิงเยี่ยนหลบไม่ทัน ข้างแก้มขาวพลันเกิดริ้วโลหิตสายหนึ่ง “ไปซะ! ไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!” สวีหลิงเยี่ยนสะดุ้งโหยง รีบวิ่งออกไปแทบไม่ทัน ตามทางเดินทอดยาว ไกลออกมาจากผู้คนเรื่อยๆ กระทั่งมาถึงชายป่าชานเมือง สวีหลิงเยี่ยนไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเดินมานานเท่าใด ครั้นเงยหน้าขึ้น ยกมือปาดน้ำตาที่เอ่อล้นอาบสองข้างแก้ม จึงเห็นเป็นชายป่าห่างจากตัวเมืองออกมาค่อนข้างไกล ริมทางเป็นคู่น้ำกว้างที่โขดหินถูกกัดเซาะจนเป็นตลิ่งสูงชัน หญิงสาวไม่รู้ว่าควรเดินต่อไปทางไหน จะกลับบ้านก็ไม่กล้า จะเดินต่อไปข้างหน้าก็ไม่มีที่ไป จึงออกอาการงก ๆ เงิ่น ๆ ยืนประหม่าตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูก จังหวะนั้น เด็กชายสองคนเดินมาชนนางดังพลั่ก สวีหลิงเยี่ยนถึงกับลื่นพรืด ไถลลงไหล่ทาง “อ๊ะ!” นางพยายามหาที่ยึดแต่ไม่มี ยื่นมือไปหวังว่าจะมีใครจับ แต่กลับไม่มีเช่นกัน ได้ยินเพียงเสียงจากเด็กเหล่านั้น “อ้าว? เจ้าเดินอย่างไรไปชนพี่สาวนั่น” “ช่วยมิได้ นางยืนเกะกะเอง” “ทางกว้างปานนี้ เจ้ามองไม่เห็นนางรึ?” “เห็นน่ะเห็น แต่นางยืนทื่อ ไม่ยอมหลบเอง” ท่ามกลางเสียงถกเถียงที่ห่างออกไปอย่างไม่ไยนั้น สวีหลิงเยี่ยนพลันได้ยินเสียงปึกดังที่ข้างขมับขวา ความเย็นวาบแล่นลามไปทั่วสรรพางค์กาย ตามด้วยความเจ็บแปลบสายหนึ่ง และกลิ่นคาวเลือดที่เริ่มได้กลิ่น จากทิศทางที่มันรินไหลตรงหางตาด้านขวา หญิงสาวไถลลื่นตกตลิ่งชันลงมาจนศีรษะกระแทกหินอย่างจัง นางแน่นิ่งไป “ตายหรือไม่?” ภายใต้ภาวะสะลึมสะลือเสียงเด็กยังคงดังให้ได้ยินบนตลิ่งชันนั้น “เจ้าลงไปช่วยสิ นางจมน้ำแล้วน่ะ” “ไม่! นางโง่ยืนบื้อให้ข้าชนเอง” “ทำแบบนี้เจ้าจะถูกทางการจับหรือไม่” “เฮอะ! คงไม่! เจ้าดูนางสิ ท่าทางไม่ได้ความแบบนี้ไม่มีใครออกตามหาหรือแจ้งทางการหรอกกระมัง พวกเรารีบหนีดีกว่า” ช่างไร้ค่าไม่อยู่ในสายตาใครต่อใคร... สวีหลิงเยี่ยนกลืนก้อนสะอึกลงลำคอ ปล่อยตัวจมน้ำ เห็นเพียงท้องน้ำที่มืดมิดว่างเปล่า ปล่อยน้ำตาให้หายไปกับความว่างเปล่านั้นอย่างหมดกำลังใจ ไร้เรี่ยวแรงฝืนลุกขึ้นยืน บางที การตายทั้งอย่างนี้คงดี ไม่อยากมีชีวิตอีกแล้ว หวังเพียงเกิดใหม่ ได้เป็นใครสักคน ที่ไม่ใช่นาง... * * * ภายใต้ท้องธาราไหลวนเวิ้งว้าง วาจาคำนึง รำพึงจากสติอันไร้ความคิด สิ้นหนทาง บุปผาวารี[1]ผลิบาน งดงามบาดตา ผสานคำภาวนา * * * * [1]บุปผาวารี คือดอกไม้ที่อยู่ในน้ำ ซึ่งดอกไม้ที่อยู่ในน้ำนั้นมักมีสีสันสวยงามและส่วนใหญ่ล้วนมีพิษสงร้ายกาจ เราจึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 'ดอกไม้พิษ'
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม