ตอนที่ 4เธอไม่ใช่ปลายฟ้า

2573 คำ
บทที่4เธอไม่ใช่ปลายฟ้า ช่วงบ่ายฉันได้คุยกับปันปันเพื่อนสนิทของน้องปลายฟ้าที่เป็นลูกคนสุดท้องแม่แก้ว เกวไม่รู้จะคุยอะไรเพราะไม่รู้ว่าปันปันเป็นคนยังไง เลยเป็นผู้ฟังเสียมากกว่า คล้ายถามมาต่อไป แต่ในน้ำเสียงของปันปันมีแต่ความห่วงใย ก่อนวางสายเธอพูดทิ้งท้ายว่า “ปลายจ๋า สัญญากับฉันก่อนว่าเธอจะรักตัวเองมากขึ้น พวกเราทุกคนรักปลายมากนะ” นี่คือคำพูดของเพื่อนที่ชื่อปันปัน ช่วงที่กินข้าวกันนั้น ฉันได้ยินแม่แก้วบ่นถึงลูกชายคนโตอีกหลายคำ ว่าทำไมชอบไปนอนที่เถียงนา บ้านช่องก็ใหญ่โต และไม่ให้ฉันกลับไปเถียงนา แต่พ่อทิดบอกว่าเรื่องผัวเมียให้ปรับความเข้าใจกันเอง ตอนนี้ฉันอาบน้ำที่บ้านยายหอม หลังมือที่แดงนั้นหายแสบแล้ว แต่รอยแดงนั้นไม่นานก็คงจะกลายเป็นรอยไหม้ ฉันถึงโอกาสสำรวจเรือนร่างนี้ไปด้วย น้องเป็นคนผิวสองสี ผิวเนียนมาก เส้นผมที่ดกดำและยาวตรงนั้นรับรู้ว่าได้รับการดูแลรักษามาอย่างดี ระหว่างอาบน้ำฉันใช้มือถูไปที่แผ่นหลัง สัมผัสรอยนูนออกมาเป็นเส้นยาว นี่น้องมีรอยแผลเป็นที่หลังเหรอ น้องคงได้รับอุบัติเหตุมา แต่ช่างเถอะมันอยู่ในร่มผ้าไม่มีใครเห็นสักหน่อย ฉันเห็นผ้าในตะกร้ามี 3-4 ชิ้นจึงนำมาซักมือรวมกับชุดที่ใส่ แล้วพยายามหาเสื้อที่ไม่ใช่สีหวานแหวนมาใส่ แต่ส่วนมากเสื้อจะไปทางโทนสีนั้นหมดเลย เสื้อผ้าน้องคล้ายที่วางขายในกาดนัด จากนั้นเลือกเสื้อยืดสีขาว เสื้อแขนยาวที่เป็นผ้าร่มสีฟ้า กางเกงขาตรงสีเท่าเข้ม เมื่อพอใจกับการแต่งกายด้วยชุดนี้ ผมที่สระเสร็จถูกปล่อยไว้ให้แห้ง ผิวกายถูกทาด้วยครีมเรียบร้อย ส่วนผิวหน้าน้องใช้ครีมที่เป็นซอง เกวลินคนก่อนใช่ครีมเป็นชุด ชุดละประมาณ 3,000 กว่าบาท ใช้ 2 เดือน ส่วนครีมที่เป็นซองแบบนี้เพิ่งจะได้ใช้ แล้วรู้สึกชอบด้วย “ยายจ๋า จะอาบน้ำตอนนี้หรือเปล่าจ๊ะ” ฉันออกมาจากห้องเห็นยายหอมเตรียมตัวจะอาบน้ำ ยายหอมมองหน้าหลานสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ้ม “อือ ยายจะอาบต่อจากหลานนี้แหละ เมื่อกี้แม้สามีหนูมาหา บอกว่าให้ไปทาว่านหางจระเข้อีกรอบ” “ถูหลังให้ยายหรือเปล่าจ๊ะ” “ไม่ต้องลูก ยายมีไม้ถูหลังที่หนูซื้อให้ยายแถวตลาดนัด จำไม่ได้แล้วหรือ” “อ่า ใช่ๆ หลานลืม งั้นไปหาแม่แก้วก่อนนะจ๊ะยาย” ถ้าฉันมีความทรงจำของน้องจำของน้องด้วยก็คงจะดีกว่านี้ ห้องครัวแม่แก้วอยู่ชั้นบน ใต้ถุนบ้านจึงกลายเป็นที่นั่งเล่น หรือเวลามีเพื่อนบ้านมาหาก็จะนั่งคุยกันใต้ถุนบ้าน พ่อทิดนั่งเหลาไม้ไผ่สูบยาเส้นไปด้วย คงจะเอาไว้ใช้ตอนเกี่ยวข้าว “แม่แก้ว มีอะไรให้ช่วยบ้างไหมจ๊ะ” แม่แก้วกำลังตำน้ำพริกน้ำปู บนเตามีหม้อที่กำลังเดือดอยู่ ”หนูเอาว่านหางจระเข้ทาหลังมือก่อน จำไว้นะลูก ถึงแม้พวกเราจะเป็นชาวนา แต่เราควรดูแลรักษาผิวพรรณด้วย” “ขอบคุณจ้ะแม่แก้ว” แม่แก้วเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวธรรมดา แต่ดูก็รู้ว่าแม่แก้วไม่ได้ปล่อยเรือนร่างไปตามอายุ แกดูสะอาดสะอ้านตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมที่มันเรียบนั้น น่าจะทาด้วยน้ำมันมะพร้าว เพราะขณะที่เดินขึ้นมา ฉันเห็นขวดน้ำมันมะพร้าววางใกล้กับหวี หลังจากที่ทาว่านหางจระเข้แล้ว แม่แก้วให้เตรียมจานชามและช้อน “แม่ครับ แกงอะไร กลิ่นหอมไปถึงข้างล่าง” หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จแล้วไม่เห็นว่าเธอจะกลับมา ก็เลยปิดประตูใส่กลอนแล้วเริ่มหิวข้าวด้วย เลยปั่นจักรยานกลับมาที่บ้าน “มาแล้วหรือพ่อคนดี ไปช่วยน้องจัดจานตักข้าวโน้น” แม่แก้วเห็นลูกชายเดินขึ้นมาบนบ้าน ท่าทางหิวข้าวไม่ใช่น้อย จึงให้ไปช่วยลูกสะใภ้ เมื่อเขาเดินเข้ามาในห้อง เจอเธอกำลังตักข้าวใส่จาน เธอยืนหันหลัง “หายแสบมือแล้วเหรอ มานี่พี่ช่วยตัก” เขาแย่งทัพพีจากคนน้อง แล้วมองไปที่มือซ้ายของเธอ แล้วพยายามที่จะพูดคำว่าขอโทษออกมา แต่มันยากเหลือเกิน “วันหลังถ้าทำไม่ถนัด อย่าทำอีก แล้วไข่เจียวน่ะใช้ได้นะ” เขาเห็นว่า คนน้องก้มหน้าก้มตาและยังคงโกรธอยู่ ปราบพยายามที่จะพูดคำว่าขอโทษออกมา “พี่ ขอโทษครับ” เขาพูดออกไปแล้วรู้สึกโล่งใจ “ช่างมันเถอะค่ะ ฉันซุ่มซ่ามเอง” อีกแล้ว เธอพูดแทนตัวเองว่าฉัน เขาเคยชินกับคำที่เธอพูดแทนตัวเองว่าน้องหรือหนูตลอด หึ ปล่อยให้เธองอนไป เขาเชื่อว่าอีกไม่นานเธอจะกลับมาพูดแทนตัวเองว่าน้องเอง “เย็นนี้จะไปประชุมด้วยใช่ไหมครับ” “ค่ะ” นี่เขาต้องเป็นฝ่ายง้อเธอใช่ไหมยัยกะโปโล นี่เป็นความในใจเขา ไม่นานแม่แก้วเข้ามา ให้ยกอาหารลงไปกินข้างล่าง เพราะยายหอมไม่ชอบขึ้นบันได ฉันยกแก้วน้ำลงมาเป็นคนสุดท้าย แล้วทุกคนหลีกทางให้ฉันนั่งใกล้กับเขา ไม่มีที่ให้ไปแทรกที่อื่น ฉันจำใจไปนั่งใกล้เขา “มื้อนี้แม่ทำของโปรดของลูกทั้งสองคนด้วย” แม่แก้วเป็นคนพูดขึ้นมา “ของคุณครับ” “ขอบคุณค่ะแม่แก้ว” แล้วของโปรดของน้องคืออะไร ตรงหน้ามี น้ำพริกน้ำปู ไข่เจียวใส่ผักชะอม ต้มย้ำปลาแห้ง ต้มส้มผักปลังใส่แหนมส้ม และปลาทูทอดกับเครื่องเคียงเป็นผักต้มและไข่ต้ม เธอเลือกตักต้มส้มผักปลังและเอาไข่มา 1 ฟอง อย่างอื่นคงจะเผ็ดน่าดู ที่ผ่านมาเธอชอบทำอาหารเองเพราะทานเผ็ดไม่ได้ เวลาจะซื้ออาหารตามสั่งต้องบอกแม่ค้าทุกครั้งว่าไม่กินเผ็ด พอทานไปได้สักพัก ทุกคนหันมามองเธอด้วยสายตาที่แปลกประหลาด “เอ่อ ช่วงนี้ปลายทานเผ็ดไม่ค่อยได้จ้ะ” แม่แก้วเอาปลาทูมาวางบนจานข้าวเธอ “งั้นกินปลาทูนึ่งกับผักลวกสิลูก” ยายหอมพยักหน้า “ที่ผ่านมาหนูกินเผ็ดมาก จนยายเป็นห่วง เห็นแบบนี้ยายก็ดีใจ” แสดงว่าที่ผ่านมาน้องชอบทานเผ็ดเหรอ ฉันก้มหน้าเลยไม่เห็นสายตาของทุกคนที่จ้องมองมา ปกติปลายฟ้าชอบกินไข่เจียวชะอมกับน้ำพริกน้ำปู แต่มื้อนี้เธอไม่แตะชะอมทอด สรุปเธอทานแค่ต้ม 1 ฟอง ปลาทูนึ่งครึ่งตัวและซุปน้ำต้มส้มผักปลัง หลังจากทานข้าวแล้วแม่แก้วไม่ให้ล้างจาก แต่ใช้ลูกชาย 2 คนล้างจาน แล้วให้เธอพายายหอมกลับบ้านและเตรียมตัวไปประชุมที่หอประชุมหมู่บ้าน “ยายจ๋า ยายนอนคนเดียวได้ใช่ไหมจ๊ะ” “ไม่ต้องห่วงยายหรอกลูก แม่แก้วก็อยู่ข้างๆบ้านเรานี่เอง ว่าแต่เราเถอะ จะเอาผ้าห่มไปเพิ่มหรือเปล่า ส่วนคำนินทาลูกไม่ต้องไปฟัง คนเราไม่มีใครไม่ถูกนินทาหรอกนะ” ยายหอมรู้ว่าการไปประชุมคืนนี้อาจมีหลายคนที่จะสมน้ำหนักหลานสาว “ขอบคุณจ้ะยาย ปลายไม่สนใจหรอกจ้ะ ปล่อยให้พวกเขานินทาไป ถ้าเราไม่ตอบโต้พวกเขาคงเบื่อไปเอง” “อือ ดีแล้วที่ลูกคิดแบบนี้ ยายจะได้หายห่วง แล้วจะเอาผ้าห่อไปด้วยไหม ตอนค่ำอากาศเย็น ที่เถียงนาลมแรงด้วย” ดูเหมือนยายหอมจะเป็นห่วงเธอมาก “เอาไปด้วยก็ได้จ้ะ” ยายไปหยิบผ้าห่มนาโนมา 1 ผืน “เอาผืนนี้ไปละกันเบาและอุ่นดี” ฉันขอบคุณยายอีกครั้งแล้วขอตัวเข้าไปเอากระเป๋าเป้ที่อยู่ในห้องนอน เพื่อใส่ผ้าห่ม พอออกมาก็เจอเขาคุยกับยาย “ไปเถอะลูก พี่เขาต้องไปแล้ว” ความจริงฉันอยากอยู่กับยายต่ออีกสักพัก “งั้นปลายไปก่อนนะจ๊ะยาย” เขาสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์รอแล้ว ก่อนหน้านั้นปราบได้มาขอโทษยายหอมที่ปล่อยให้หลานสาวเขานอนคนเดียว พร้อมยอมรับผิด ยายหอมบอกว่าถ้าไม่รักก็ขอให้เอ็นดูเธอบ้างเล็กน้อยก็อย่างดี เขาบอกกับยายหอมว่า ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก “ไปเถอะลูก แก้มใสคงรอหนูแล้ว” ฉันขึ้นไปนั่งบนรถมอเตอร์ไซค์คันเดียวกับที่แม่แก้วขับมาเมื่อช่วงเช้า แล้วสองมือกอดกระเป๋าไว้ที่ใส่ผ้าห่มไว้แน่น เวลานี้น่าจะ 1 ทุ่มตรง ทางที่ไปเป็นดินลูกรัง สองข้างทางเป็นป่าสลับกับบ้านเรือนของชาวบ้าน ฉันชอบบรรยากาศที่มีบ้านแต่ละหลังไม่ได้ติดกันแบบนี้ ให้ความเป็นส่วนตัว ดูแล้วไม่แออัดเหมือนอยู่ในกรุงเทพฯ ทุกบ้านมีรั้วกั้นไว้ด้วยการปลูกไม้ไผ่ คนตรงหน้า เขาสะพายกระเป๋าเป้ไว้ข้างหลัง ไม่มีใครพูดอะไร ระยะทางที่นั่งรถมาประมาณ 15 นาทีก็ถึง เป็นหอประชุมหมู่บ้านไทรน้อย ฉันเพิ่งรู้ว่าหมู่บ้านที่นี่ชื่อหมู่บ้านไทรน้อย “ไปนั่งตรงโน้นก่อน พี่จะไปช่วยเขาจัดเก้าอี้” เขาดับเครื่องยนต์แล้วคนน้องลงจากรถ จ้องมองแต่ป้ายชื่อหอประชุม ไม่รู้ว่ามันน่าสนใจตรงไหน เลยชี้ให้เธอไปนั่งรอข้างนอกที่มีเก้าอี้วางอยู่ใต้ต้นฝรั่ง “ค่ะ” เธอถือกระเป๋าจะเดินไป “เดี๋ยว พี่ฝากกระเป๋าไว้ก่อน เดี๋ยวจะมาเอา” เขายื่นกระเป๋าที่ใส่เอกสารและแท็บเล็ตอยู่ในนั้น เธอมองหน้าเขาแล้วยื่นมือไปรับกระเป๋าสีดำไปนั่งใต้ต้นไม้ ข้างๆมีรถจักรยานยนต์มาจอดก่อนหน้า 2 คัน และพวกเขาเป็นคันที่ 3 นั่งลงได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงบีบแตรจักรยานพร้อมมีคนเอ๋ยชื่อน้องขึ้นมา “มาแล้วจ้ะปลาย มานานหรือยัง แล้วหิ้วอะไรพะรุงพะรังมาจ๊ะ” สาวน้อยที่ชื่อแก้มใส รูปที่ติดผนังในห้องนอน ฉันจำได้ ตัวจริงเธอน่ารักว่าในรูปอีก ปั่นจักรยานมาพร้อมกับกระเป๋าผ้าสะพายข้าง 1 ใบ เธอปล่อยผมไว้ ทำให้ใบหน้าคม ดวงตากลมโตเหมือนดาราสักคนที่เธอเคยขับรถผ่าน มีป้ายติดรูปดาราคนนั้นบนถนนในกรุงเทพ เธอใส่กางเกงขายาวสีดำและเสื้อฮู้ดสีแดง “สวัสดีแก้ม ขับจักรยานมาแล้วขากลับเธอจะเห็นทางเหรอ” เพื่อนสาวยิ้มแล้วล้วงไฟฉายขึ้นมา “นี่ไงเพื่อนฉัน มันนำทางและช่วยให้ฉันหาอาหารได้ด้วย” เธองงกับคำพูดของเพื่อน “ก็เอาไว้ส่องเขียด กบ ปลายังไง ความจริงฉันอยากชวนเธอไปด้วยกัน แต่ยายหอมไม่เคยให้เธอไป” ฉันยิ้มและพยักหน้าช้าๆ ให้สาวน้อยตรงหน้า “สรุปหิ้วอะไรมาจ้ะ” แก้มใสยื่นหน้ามาใกล้ๆ “ข้างในเป็นผ้าห่มจ้ะ ส่วนใบนี้ของเขา” แก้มใสพยักหน้าแล้วขยับมานั่งใกล้ๆเธอ “เพื่อนรัก ข่าวลืมที่ว่านี่จริงใช่ไหม ไม่ต้องพูด เธอแค่พยักหน้าให้ฉัน” เกวมองออกว่าคนตรงหน้าเป็นคนจริงใจใสซื่อ เลยพยักให้เธอ “หมับ” นี่เป็นอ้อมกอดจากเพื่อน “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ เธอเก่งมาก ฉันรู้สึกว่าเธอโตขึ้น” แก้มใสตบแผ่นหลังฉันเบาๆ แล้วคลายอ้อมกอดหันมาจ้องหน้าส่งสายตาให้กำลังใจ “ขอบใจนะแก้ม เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก จริงสิแล้วผู้ช่วยเหรัญญิกต้องทำอะไรบ้างจ๊ะ” ฉันไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง ก็เลยเปลี่ยนเรื่อง ระหว่างนั้นดูเหมือนชาวบ้านจะมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ “ง่ายมากจ้ะ เธอนั่งข้างฉัน ช่วยฉันสรุปรายได้ รายจ่ายจากร้านค้าสหกรณ์แค่นั้นเอง แต่วันนี้ไม่ได้มีอะไรมาก” จากนั้นเธอเอาแฟ้บที่อยู่ในกระเป๋าสะพายออกมาให้ดู ฉันได้รู้ว่าหมู่บ้านนี้ตั้งร้านสหกรณ์ขายของเอง ไม่ผ่านนายหน้า ทำให้คนที่มาซื้อข้าวสาร ข้าวเปลือกได้ราคาดี แล้วมีโรงสีข้าวของหมู่บ้านด้วย “ถ้าเป็นฉันคงไม่กล้ามาประชุมเนอะ ไม่รู้จะเอาหนังหน้าไว้ตรงไหน” ฉันและแก้มใสเงยหน้ามองคนที่พูด เป็นหญิงสาวสองคนน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน พวกเธอปล่อยผมยาว ใส่กางเกงยีสต์ เสื้อไหมพรมสีส้ม ริมฝีปากแดง อีกคนก็แต่งคล้ายๆกัน “หน้าตัวเองแท้ๆยังไม่รู้จะเอาไว้ตรงไหน ฉันจะบอกเอาบุญให้ก็ได้ เอามาไว้ที่ส้นตีนฉันนี่” “อีแก้ม กูไม่ได้อยากมีเรื่องกับมึง” “ทำไงได้ คนที่มึงอยากมีเรื่องด้วยคือเพื่อนกู” “มึงก็เหลือเกินนะ เอาตัวไปเกลือกกลั้วกับมัน ระวังจะกลายเป็นอย่างมัน ที่พอไม่ได้ดังใจก็กินยาฆ่าตัวตาย55555” แก้มใสลุกขึ้นจะเข้าไปตบหน้าคนที่พูด ฉันรีบดึงแขนเพื่อนไว้ให้นั่งลง “แก้ม ไม่ต้องตอบโต้หรอก พวกเขาพูดมาก็ถูก” “5555 เห็นไหมมึง เข้าไปข้างในเถอะ โอ้ยยย วันนี้กูมีความสุขว่ะ” พวงผกากับศรีจันทร์หัวเราะเสียงด้งแล้วเดินเข้าห้องประชุมไป แก้มใสทำหน้าฮึดฮัด ไม่สนใจคนที่เดินเข้าหอประชุม “เพราะแบบนี้ไง พวกนั้นถึงนินทาเธอไม่เลิก” ทุกครั้งที่มีคนนินทา เพื่อนคนนี้ไม่เคยตอบโต้ มีแต่เธอที่คอยตอบโต้แทน ถ้าปันปันอยู่ด้วย ก็มีเธออีกคนที่ช่วย “ฉันชินแล้ว” ก่อนหน้านั้นปราบจะเข้ามาเอากระเป๋า แล้วเขาได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าทุกอย่าง บางครั้งก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมปลายฟ้าไม่ตอบโต้ใคร แล้วที่ทำไปทุกอย่างเพราะรักเขาเหรอ “ไงเพื่อน มานั่งแอบมองเมียแบบนี้ น้องยังไม่หายโกรธหรือ” แผ่นดินและชัยเดินมาข้างหลัง บ้านพวกเขาอยู่ไม่ไกลเลยเดินมา “แอบมองอะไรกันว่ะ กูแค่จะมาเอากระเป๋า เข้าห้องเถอะ” เขาบอกเพื่อนแล้วเดินไปเอากระเป๋าที่วางอยู่ข้างเเธอ “แก้มใส ฝากเพื่อนเธอด้วย” จากนั้นผมเดินเข้าห้องประชุม รู้สึกหงุดหงิดที่เธอไม่ตอบโต้ใคร “งั้นเราเข้าไปกันเถอะปลาย” แก้มใสรู้สึกว่าเพื่อนสาวเปลี่ยนไปหลายอย่างมาก จึงเผลอพูดออกไปอย่างที่ใจคิด “เธอไม่ใช่ปลายฟ้า”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม