“เฮ้ย! นางหนีไปแล้ว รีบจับตัวนางมาเร็ว!”
ใครสักคนร้องบอก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของชายหลายคนที่วิ่งเหยียบใบไม้แห้งตามหลังมา เอวาก้าวไปข้างหน้าสุดชีวิต ปากก็ร้องขอความช่วยเหลือไปด้วยทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่าในป่าลึกขนาดนี้ นอกจากนางกับท**นพวกนั้นแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นอีก
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!”
“จะหนีไปไหน!”
“ว้าย!”
เสื้อคลุมของนางถูกคว้าเอาไว้ได้และกระชากไป ส่งผลให้นางล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ครั้นจะลุกขึ้นมาเพื่อหนีต่อ ก็ถูกล้อมไปด้วยชายฉกรรจ์เหล่านั้นเสียแล้ว เอวามองไปยังบรรดาสวะมนุษย์พวกนั้นที่มองจ้องนางอย่างหื่นกระหายทีละคนแล้วว่าขึ้นเร็วๆ
“ยะ...อย่าทำอะไรข้าเลย พวกท่านอยากได้อะไรก็เอาไป
ข้ามีของติดตัวมาอยู่บ้าง เอาไปให้หมด ข้ายกให้”
พลันก็ทำท่าจะถอดเสื้อคลุมขนแกะและสร้อยที่สวมมาให้ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงชวนคลื่นเ**ยน
“ของที่ติดตัวเจ้า พวกข้าเอาทั้งหมดแน่ๆ แต่ก่อนที่จะเอาของเหล่านั้น ตัวเจ้าต้องมาชดเชยที่ทำให้พวกข้าเสียแรงวิ่งไล่จับเจ้าเสียก่อน”
เสียแรงอะไรกัน นางไม่ได้ขอให้พวกเขา...ไม่สิ พวกมันมาวิ่งไล่นางสักหน่อย
ไอ้พวกคนโฉดชั่ว! เหตุใดชะตาชีวิตของนางถึงได้มีแต่เรื่องแย่ๆ กัน ไยสวรรค์ไม่เห็นใจกันบ้าง!
จะโทษพระเจ้าหรือโทษใครก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งแรกที่นางควรทำคือเอาตัวรอดจากคนพวกนี้ให้ได้ พลันขาก็ดันตัวขึ้นลุกแล้วออกวิ่งหนีอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับไม่ได้ทำได้ง่ายๆ พอนางก้าวไปทางหนึ่ง ก็ถูกชายคนหนึ่งดักหน้าเอาไว้ ครั้นหันหนีไปอีกทาง ก็ถูกดักไว้อีก ทำให้นางไม่สามารถหนีไปไหนได้เลย ตกอยู่ในวงล้อมของเดนมนุษย์เช่นนั้นอย่างไม่เต็มใจ
“ยะ...อย่าทำอะไรข้า ได้โปรด...”
หมดหนทางแล้ว เอวาจำต้องร้องขอ ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ซ้ำยังฉายแววหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าแทนที่จะได้รับความเห็นใจ กลับได้รับแต่ความหื่นกระหายจากชายพวกนั้นมาแทน
“ปล่อยแน่ถ้าเจ้าทำให้พวกข้าสบายตัว เฮ้ย ไปพวกเรา
จับตัวนางไว้!”
แล้วก็พากันกรูเข้ามาจับตัวนางไว้มั่น เอวบางถูกรวบเอาไว้ด้วยอ้อมแขนของชายคนหนึ่ง เอวาดิ้นหนีสุดกำลัง ขาทั้งสองข้าง
ทั้งเตะทั้งถีบ ส่วนแขนก็ทุบตีชายพวกนั้นเต็มกำลัง
“ปล่อยข้า! ปล่อย!”
“น่ารำคาญนัก! ทำให้นางหุบปากซะ!”
ไม่รู้ใครออกคำสั่ง แต่เมื่อสิ้นเสียงนั้น กำปั้นหลุนๆ ก็พุ่งเข้ามาที่หน้าท้องของนางอย่างจัง ความจุกเสียดทำให้หญิงสาวไอโขลกออกมา พลันตัวงอจนกระดิกกระเดี้ยวอะไรไม่ได้ หมดแรงจะต่อสู้ขัดขืน แม้กระทั่งตอนที่ถูกทุ่มลงบนผืนดินและถูกชายพวกนั้นขึงพืดแขนและขาเพื่อปลดเปลื้องอาภรณ์ นางก็ต่อสู้ใดๆ ไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลทะลักออกจากดวงตาอย่างมิอาจหักห้าม
หากพระเจ้ารังเกียจชิงชังนางมากขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ให้นางถูกสังหารเสียให้สิ้นไปตั้งแต่ตอนที่ถูกจับข้อหาสังหารพระราชากันเลยเล่า!
อดไม่ได้ที่จะตัดพ้อต่อสวรรค์ แต่แล้วนางก็ต้องส่งเสียง
กรีดร้องออกมาด้วยความขยะแขยงสุดกำลังเมื่อใบหน้าโสโครกของชายคนหนึ่งซุกลงมาที่ซอกคอของนาง
“หอมจริงๆ ว่าแล้วว่าหญิงแต่งกายหรูหราอย่างนี้ต้องเนื้อตัวหอม ข้าครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมดแล้ว”
“อย่ามัวพิรี้พิไร รีบๆ ทำซะ จะได้ตาข้าบ้าง ข้าก็ร้อนรุ่มไปทั้งตัวแล้ว ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะน่ารังเกียจดังขึ้นกลบเสียงร้องของนาง เอวาดิ้นขลุกขลักอยู่อย่างนั้น พอมีแรงขึ้นหน่อยก็พยายามส่งเสียงร้อง
“ช่วย...ฮึก...ช่วยด้วย!”
“หุบปาก! เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียอารมณ์!”
เพียะ!
แรงกระแทกปรากฏที่ซีกหน้า ความเจ็บปวดและรสเค็มปร่าพร่างพรายในโพรงปาก เอวามิอาจทนไหวอีกต่อไป เบือนหน้าหนีการกระทำชั่วร้ายของคนพวกนั้นด้วยทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ ขณะที่อาภรณ์ของนางเริ่มถูกกระชากออกทีละน้อย
ใครก็ได้...ช่วยข้าที...หรือไม่อย่างนั้นก็ทำให้ข้าตายไปเลยก็ได้...ให้ตายลงไปตรงนี้ตอนนี้เลย!
กระนั้นนางก็ยังวิงวอนต่อสวรรค์ ต้องมาถูกหักหาญน้ำใจ นางยอมตายดีกว่า
ทว่าพระเจ้าคงจะรังแกนางพอแล้วกระมัง เพราะทันทีที่นางตัดใจจะทิ้งชีวิต ก็มีเสียงควบม้าเข้ามาใกล้ ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะร้องลั่นออกมาด้วยความเจ็บปวด
“อ๊าก!”
“เกิดอะไรขึ้น!?”
ณ เสี้ยวลมหายใจนั้น ทุกชีวิตตื่นตระหนกไปหมด ก่อนมันจะกลายเป็นความชุลมุนเมื่อต้นกำเนิดเสียงร้องโหยหวนจะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับดาบเล่มเขื่องที่เข้าฟาดฟันคนงานเหมืองทีละคนสองคน
“อ๊าก!”
เสียงร้องนั้นมาอีกแล้ว คนงานเหมืองที่ขึงพืดหญิงสาวอยู่บนพื้นล้วนพากันทิ้งร่างบางแล้วหนีตายกันอุตลุด แต่ก็ไปไหนไม่รอดด้วยผู้มาใหม่คว้าเอาหน้าไม้ที่สะพายอยู่ออกมา แล้วใส่ลูกธนูยิงออกไปอย่างแม่นยำ พริบตาเดียวเท่านั้น คนงานเหมืองชั่วช้าก็ถูกกำจัดสิ้น เหลือแต่เอวาเท่านั้นที่กรีดร้องสุดเสียงอย่างขวัญเสีย
หยดเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว เอวาซึ่งไม่เคยเห็นการฆ่ากันต่อหน้าต่อตามาก่อนแทบจะเสียสติไปในตอนนั้น แต่แล้วก็ดึงสติกลับมาได้เมื่อ ‘ผู้ช่วยชีวิต’ ของนางปริปากขึ้น
“เจ้าเป็นอะไรไหม”
สภาพมอมแมมคลุกฝุ่นและอาการตื่นตกใจสุดขีดของนางก็บอกเป็นอย่างดีแล้วว่านางเป็น แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
นอกเสียจากปล่อยให้น้ำตาไหลท่วมท้น
“ยะ...อย่าทำอะไรข้า...ยะ...อย่า...ฮึก...”
ไม่เพียงแต่จะร้องไห้เท่านั้น นางยังหลุดปากวิงวอนออกไปอีกด้วย คนมาใหม่นั้นไม่พูดอะไร ทิ้งตัวลงจากหลังม้า ก้าวเท้าเข้ามาหานาง ส่วนนางก็พาตัวเองถอยไปตามพื้นดิน กระทั่งถอยไปไหนไม่ได้แล้วถึงได้หยุด อีกฝ่ายย่อตัวลง พร้อมกับจ้องมองดวงหน้านาง
“หน้าช้ำ โดนตบล่ะสิท่า”
ตอนนี้เองที่เอวาได้เห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ เขาเป็นชายหนุ่ม
รูปงาม ดวงตาสีฟ้าสุกใส ผมยาวสีทองถูกรวบตึงเป็นหางม้าไว้อย่างดี ใบหน้ามีร่องรอยการโกนหนวดเคราเล็กน้อย แต่ไม่ว่าเขาจะหล่อเหลาเพียงใด เอวาก็ไม่มีเวลาจะมาชื่นชมแล้ว ได้แต่ตวัดสองมือกอดตัวเองแน่น
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
เขาว่ามาอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นไปคว้าเอาเสื้อคลุมขนแกะที่ถูกถอดออกไปมาส่งให้กับนาง
“นี่คงจะเป็นของเจ้า”
เอวาไม่กล้ารับ แต่แล้วก็ต้องยื่นมืออันสั่นเทาออกมาจนได้เมื่อเขาว่าเสียงเข้ม
“รับไปสวมซะ เสื้อผ้าเจ้าขาดอยู่”
นางเพิ่งรู้ตัวในตอนนี้ รีบสวมเสื้อคลุมทับร่างที่เหลือเพียงแต่เสื้อผ้าขาดวิ่นทันที ขณะที่อีกฝ่ายยังว่าขึ้นหน้าตาเฉย
“มืดค่ำเช่นนี้ ไยเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง”
“...”
“ข้าถาม เจ้าไม่ได้ยินหรือ”
เอวาสะดุ้งน้อยๆ เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของชายหนุ่มแล้ว นางก็รีบละล่ำละลักตอบออกไป
“ขะ...ข้า...” แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อนึกขึ้นมาได้
นางไม่ควรบอกว่านางเป็นใคร หากมีคนรู้ว่านางคืออดีต
แม่เลี้ยงของสโนว์ไวท์ มีหวังนางคง...
หวาดเกรงความตายขึ้นมาอีกครา ริมฝีปากสั่นระริก ใบหน้าซีดเผือดไร้สี ไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไรดี ท่าทางของนางทำให้คนมองถอนหายใจยาวแล้วพูดขึ้นมา
“ไม่บอกก็แล้วแต่เจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกข้าด้วยซ้ำ ข้าก็แค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญผ่านมาช่วยเจ้าไว้เท่านั้น”
“...”
“ไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
แล้วเขาก็หมุนตัวไปยังม้าของตน ก่อนจะโยนตัวขึ้นบนหลังม้าแล้วหมายจะควบขี่ออกไป