-พิ้งค์พลอย-
เวลาผ่านไปแล้วสามชั่วโมง ถ้ามีรางวัลมอบให้กับผู้หญิงที่ทนรอคอยผู้ชายได้นานที่สุดรางวัลนั้นควรตกเป็นของฉัน ฉันเห็นพี่เตชินท์เดินออกมาจากห้องทำงานของเขาเพื่อคุยกับพี่ภาพฟ้า ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องทำงานของเขาไปอีกครั้ง ฉันรู้ว่าการรักษาหรือวินิจฉัยผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตนั้นมันใช้เวลานานแค่ไหน เพราะพ่อของฉันก็เป็นจิตแพทย์ ซึ่งตอนนี้เปิดคลินิกเอกชนอยู่ หนึ่งวันพ่อรับแค่เคสเดียว แน่นอนว่าต้องใช้เวลานานมากในการวินิจฉัยในแต่ละเคส ฉันรอไปโรงพักกับพี่เตชินท์ เวลามีเขาอยู่ข้าง ๆ ฉันรู้สึกอุ่นใจ รู้สึกอบอุ่นแม้ว่าเขาจะทำหน้าเอือมฉันเต็มทนก็ตามแต่
ฉันรู้จักกับพี่เขาตั้งแต่ฉันอายุห้าขวบ เรามีรูปคู่กันเยอะมาก ทุกปีเลยล่ะเราค่อย ๆ เติบโตมาด้วยกัน เขาบอกกับฉันว่าไว้ฉันเรียนจบแล้วเขาจะขอฉันแต่งงาน แต่ตอนนั้นเขาพูดตอนเรียน ม. ปลายก่อนจะตัดสินใจไปเรียนต่างประเทศ และก็กลับมาเรียนเฉพาะทางต่อที่นี่ ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายการเฝ้ารออย่างไร จนตอนนี้เขาอายุจะเข้าเลขสามแล้ว แต่พี่เขาก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย กลับมาก็กลายเป็นคนละคน ไม่ติดต่อฉัน ไม่บอกเสียด้วยซ้ำว่ากลับมาแล้ว แต่หลังจากฉันรู้ฉันก็ตามพี่เขาตลอด ตามจนเขารำคาญอ่ะเอาจริง รู้แหละ รู้ตัวมาตลอดแต่พยายามปิดหูปิดตาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าเขาน่ะ...ไม่สนใจฉันแล้ว
เสียใจมาก ๆ แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ เลือกรับรู้แค่ว่าเขาเคยรู้สึกดีกับฉัน และอาจจะรู้สึกดีอยู่เพียงแต่ว่า...
“เฮ้อ...” สุดท้ายแล้วฉันก็ไม่รู้ ฉันไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป พยายามหาเหตุผลแล้ว แต่ก็ไม่มีเหตุผลมาอธิบายได้ว่าเขาเปลี่ยนไปเพราะอะไร
ก็ได้แค่รอเวลาว่าเมื่อไรฉันจะทนไม่ไหวแล้ว แต่ตอนนี้การมองหน้าเขาและการได้พูดคุยกับเขามันยังทำให้ฉันมีความสุข ฉันขอ...ขอให้ตัวเองมีความสุขอีกหน่อย ซึ่งตอนนี้เจ้าความสุขของฉันกำลังเดินออกมาจากห้องทำงานพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอน่าจะเป็นคนไข้ในการดูแลของเขา สวยเชียวแหละ เขาเจอผู้หญิงสวย ๆ แบบนี้บ่อยฉันก็ยิ่งหวง แต่ก็ไม่มีสิทธิ์
พี่เตชินท์กำลังเดินมาหาฉัน เขาไม่ได้สวมกาวน์แล้ว ร่างหนาเดินมาหาฉันพร้อมกับสวมแว่นกันแดดสีดำสนิท เขารู้ตัวว่าเขาจะต้องเผชิญกับสื่อที่กำลังทำข่าวของฉันอยู่
“เสร็จแล้วเหรอคะ”
“อืม...” ฉันยิ้มรับบาง ๆ เพราะว่าเจ็บแก้ม พี่เตชินท์ชะเง้อคอมองออกไปที่ประตูกระจกบานเลื่อนซึ่งตอนนี้มีนักข่าวอยู่เต็มไปหมด “ไปออกประตูหลัง”
“อ้อ ได้ค่ะ”
“แต่จะเดินไกลหน่อย มันอ้อมอาคารไป” ฉันพยักหน้ารับ ก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้น ยกขาข้างหนึ่งที่ยังเจ็บหัวเข่าอยู่ ยืนเป็นกระต่ายขาเดียวเลยล่ะ
“อุ้มหน่อยค่ะ...” พี่เตชินท์ก้มมองขาของฉัน ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาสบตากับฉัน และเขาก็หมุนตัวไปคว้าเอารถเข็นที่ไม่ไกลจากฉันมา
“นั่ง”
“ชิ๊...” ฉันย่นจมูกใส่เขาไปหนึ่งทีพร้อมกับนั่งรถเข็นที่เขาเข็นมาให้ ก่อนที่คนตัวโตจะเข็นรถเข็นออกไปประตูทางด้านหลังอาคาร ทว่า
“มาแล้ว ๆ”
แชะ! แชะ! แชะ!
ฉันรีบยกมือขึ้นปิดหน้า เมื่อเปิดประตูออกมาก็พบกับกองทัพนักข่าว ซึ่งฉันก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของพี่เตชินท์ แต่เขาก็ดึงฮู้ดมาสวมให้ฉัน
“ขอทางด้วยครับ”
“ตกลงคุณหมอกำลังคบหากับคุณพิ้งค์พลอยตามข่าวลือหรือเปล่าคะ”
“ขอความเป็นส่วนตัวด้วยนะคะ ถ่ายแค่ฉันนะคะ” ฉันรู้ว่าพี่เตชินท์กำลังอึดอัด แต่ยังดีที่นักข่าวเชื่อฉัน “ยังไงฉันจะตั้งโต๊ะแถลงอีกทีนะคะ เรียนเชิญพี่ ๆ สื่อมวลชนทุกสำนักเลยนะคะ แต่ตอนนี้พลอยขอไปโรงพักก่อนนะคะ”
“จริงไหมคะที่คุณพลอย บอกจะให้ค่าทำขวัญสามล้านน่ะค่ะ”
“สามล้าน...ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะคะ” แม้ว่าฉันจะยังไม่อยากพูดอะไร แต่ว่าก็เผลอหลุดปากพูดออกมาจนได้
“อย่างนี้คุณพลอยจะบอกว่าอีกฝ่ายพูดไม่จริงเหรอคะ”
“ไม่ใช่นะ คือพลอยยังไม่ได้...”
“ขอทางด้วยครับ” ฉันชะงักไปเมื่อพี่เตชินท์เอ่ยพูดขึ้น แต่พอจะเข็นรถออกไป นักข่าวก็ไม่ยอมไป ตอนนี้คือไม่มีช่องทางให้เราสองคนเลย
“บ้าชะมัด...” พี่เตชินท์สบถออกมา เขาปล่อยมือออกจากรถเข็นก่อนจะเปลี่ยนมาช้อนฉันขึ้นแนบอก
“แฟนแน่ ๆ ใช่ไหมคะ คุณพลอยอย่าปล่อยให้แฟน ๆ สงสัยแล้วเม้าท์มอยกันแบบนี้สิคะ” เสียงนักข่าวดังไม่หยุดเลย ฉันก็ได้แต่ซบหน้าลงที่แผ่นอกของพี่เตชินท์ ก่อนที่เขาจะอุ้มฉันเดินเข้าไปหานักข่าวจนพวกเขาต้องหลีกทางให้
“เฮ้อ...” กว่าจะผ่านด่านนักข่าวมาได้เล่นเอาพี่เตชินท์ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เขาเปิดประตูพาฉันขึ้นมานั่งบนรถอย่างทุลักทุเล ใบหน้าของเขามีเหงื่อผุดขึ้น
“ขอโทษนะคะ”
“รู้สึกผิดเหรอ” พอเขาขึ้นรถมาพี่เตชินท์ก็เอ่ยพูดขึ้นระหว่างขับรถออกไป
“ใช่ ก็พี่ต้องมาเหนื่อยเพราะฉัน”
“ใช่...เหนื่อย เหนื่อยมาก เมื่อไรจะเลิกยุ่งกับพี่สักที” ฉันเม้มริมฝีปากเมื่อเขาเอ่ยพูดออกมาโดยที่เจ้าตัวไม่ได้มองหน้าฉัน พี่เตชินท์มองถนนทางด้านหน้า
“ขะ ขอโทษ” ฉันพึมพำออกมา รู้สึกจุกที่พี่เขาตอบกลับฉันแบบตรงไปตรงมาโดยไม่รักษาน้ำใจของฉันเลย “อึก ฉันแค่รู้สึก แบบ...อยากให้พี่อยู่ด้วยตอนที่ฉันรู้สึกเสียใจแบบนี้”
“_”
“ข่าวของฉันออกมาไม่ดีแน่ ๆ เลย ฉันอาจจะโดนถอดโฆษณา ฉันอาจจะโดนด่าอยู่ตอนนี้ ฉันแค่อยากให้พี่อยู่ด้วย” พี่เตชินท์ไม่ได้หันมามองฉันอีก แม้ว่าฉันจะพยายามพล่ามให้เขาเข้าใจก็ตาม
“_”
“อึก...พี่เป็นที่พึ่งของฉัน เป็นพื้นที่ปลอดภัยของฉันมาโดยตลอด ฉัน...อึก ไม่อยากคืนพื้นที่นี้ให้พี่” ฉันร้องไห้ออกมาอีกจนได้ ทว่า
“พี่ไม่เคยมีพื้นที่ให้เธอหรอกพลอย เลิกคิดว่าพี่เป็นที่พึ่งสักที”
“_”
“สักวันเธอจะเจอพื้นที่ที่ดีสำหรับเธอ” ฉันมองใบหน้าทางด้านข้างของเขาด้วยสายตาพร่าเลือนไปด้วยก้อนน้ำตา แม้แต่หน้าของเขามันยังไม่ชัดเลย พี่เตชินท์พูดอย่างนี้ก็ตีความได้แล้วว่าเขาไม่สนใจอะไรฉันอีกเลย ไม่มีวี่แววว่าเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม พื้นที่ที่ดีของเขาคืออะไร ฉันอยากให้เขา...เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ฉัน ไม่ต้องการใครทั้งนั้น
ชั่วโมงต่อมา...
หลังจากที่ฉันระบายอารมณ์ออกมา พี่เตชินท์ก็ไม่คุยกับฉันอีกเลย ตอนนี้ฉันก็ให้ปากคำเสร็จแล้ว และเขาก็มาส่งฉันที่บ้าน
“วันนี้พ่อน่าจะอยู่บ้านนะคะ” ฉันเอ่ยปากพูดออกไป เพราะหวังว่าเขาจะลงจากรถแล้วเข้าไปในบ้านหลังใหญ่กับฉัน แต่ความหวังก็พังลงเมื่อเขาเลื่อนมือไปปลดล็อกประตูรถเพื่อให้ฉันลงจากรถของเขา
แกร็ก~
“ขอบคุณค่ะ” ฉันเอ่ยปากพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ ก่อนจะก้าวขาลงไป ปิดประตูให้อย่างเบามือแล้วเขาก็ขับรถออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เย็นชา...เขาไม่ไยดีฉันเลย
แต่แล้ว
“พลอย!” เสียงเรียกคุ้นหูทำให้ฉันหันหลังไปมอง ซึ่งตอนนี้ความเจ็บที่เข่าบรรเทาลงแล้ว
“แม่” ฉันเม้มริมฝีปากเพราะรู้ว่าแม่กำลังโกรธอยู่ แม่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์มาก ๆ
“ทำอะไรรู้ตัวไหม!” ฉันไม่ได้ตอบในทันที ก่อนจะเลื่อนสายตามองพ่อที่เดินตามหลังแม่มา
“บอกว่าอย่าขึ้นเสียงกับลูก” พ่อว่าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลดังเดิม ท่านเดินเข้ามาพร้อมกับรั้งฉันเข้าไปกอด ฝ่ามือหนาที่ลูบอยู่บนศีรษะของฉันทำให้น้ำตาของฉันพรั่งพรูออกมาในที่สุด
“ฮึก ฮืออ~ หนูไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น อึก หนูขอโทษ”
“ไม่ ไม่เป็นไรนะ ลูกไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
“อึก หนูไม่ได้ตั้งใจ” ฉันส่ายหน้าไปมาเพราะไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันบานปลายมากขนาดนี้ เรื่องที่ฉันทะเลาะวิวาทกับคู่กรณีบนท้องถนนกำลังเป็นที่พิพาทจากคนในสังคม ซึ่งตอนนี้ได้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย อีกฝ่ายเข้าข้างฉันที่ฉันไม่ได้ตั้งใจและเขาคนนั้นทำเกิดกว่าเหตุ แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าฉันใส่อารมณ์มากเกินไปทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นคนผิดและตบหน้าคู่กรณีก่อน แน่นอนว่าฉันเป็นคนของสังคม คนก็เลยคิดว่าฉันผิด
“เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”
“มันไม่ผ่านไปง่าย ๆ หรอก” ฉันยังไม่ได้พูดแต่คุณแม่ก็พูดแทรกขึ้นมา “แม่เป็นดารามาก่อน แม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แม่เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเวลามีข่าวอย่าเพิ่งพูดอะไร ทำไมเราพูดออกไปแบบนั้น”
“อึก หนูไม่คิดว่าเขาจะกุเรื่องนิค่ะ อยู่ ๆ เขาก็บอกว่าหนูพูดว่าจะให้เงินเขาสามล้าน”
“นั่นแหละ มันไม่มีหลักฐานไงว่าหนูไม่ได้พูด”
“พอเถอะน่า เดี๋ยวให้ลูกไปพักผ่อน ไม่ต้องห่วงนะ ลูกปลอดภัยพ่อก็ดีใจแล้ว”
“คุณพ่อ ฮืออ~” ฉันโผเข้ากอดพ่ออีกครั้ง แม่ไม่เคยเข้าใจฉันเลย มีแต่คุณพ่อที่เข้าใจฉัน
“เดี๋ยวก็มีคนโทรมายกลิกงาน โดนฟ้องอีก คราวนี้แหละ ชื่อเสียงหนูจะไม่เหลือแน่ ๆ ทับทิมก็จะขึ้นมาแทนที่”
“พิ้งค์พราว บอกให้พอก่อนไม่ได้ยินหรือไง!”
“ก็ต้องสอนลูกหน่อยสิ โอ๋ลูกมันไม่ดีนะ...”
“อึก หนูไม่ได้อยากเป็นดาราสักหน่อย ฮึก ฮือ~ แม่นั่นแหละที่ทำให้หนูต้องเป็นแบบนี้” ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงเลือกที่จะพูดแบบนี้ออกมา แต่วันนี้ฉันเสียใจมากจริง ๆ และก็อยากพอแล้ว อยากออกจากวงการมายานี้สักที
“อะไรนะ...”
“ไปขึ้นห้องนะ เดี๋ยวพ่อคุยกับแม่เอง” คุณพ่อพยุงฉันเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ บ้านหลังนี้ไม่ได้อยู่แค่ครอบครัวเดียว แต่เราอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ มีครอบครัวของฉัน ครอบครัวคุณอาที่เป็นฝาแฝดกับคุณอาอีกคน แน่นอนว่าเป็นบ้านที่ใหญ่มาก ๆ แต่ยังดีที่แบ่งโซนให้มีความเป็นส่วนตัว
“พ่ออย่าว่าอะไรแม่นะคะ”
“แม่เราพูดไม่รู้เรื่องไง”
“เปล่าหรอกค่ะ คุณแม่พูดถูกทุกอย่าง” คุณพ่อพยุงฉันเข้ามาในห้องของฉัน ท่านส่ายหน้าเบา ๆ
“แม่สนใจชื่อเสียงมากเกินไป”
“แม่เขาเป็นคนมีชื่อเสียงนิคะ” ฉันยิ้มให้คุณพ่อบาง ๆ เพราะดูเหมือนว่าท่านทั้งสองจะทะเลาะกันเพราะฉัน
“หึ นั่นสิ หนูอึดอัดใช่ไหมล่ะ” คุณพ่อนั่งลงที่โซฟาข้าง ๆ ฉัน ใบหน้าหล่อเหลาของพ่อทำให้ฉันนึกถึงพี่เตชินท์
“เปล่า แต่วันนี้พี่เตเขาอึดอัดมาก”
“ยังไง เหรอ...หึ ห่วงความรู้สึกเขาว่างั้นเถอะ”
“มั้งคะ” ฉันพยักหน้าขึ้นลง คุณพ่อเพียงแค่ยกยิ้มให้กับฉัน
“งั้นก็จบแค่นี้ไหม พ่อหมายถึงเรื่องการเป็นดาราของเราน่ะ”
“ดะ ได้เหรอคะ คุณแม่...คุณอาจะยอมเหรอคะ” ฉันกับคุณพ่อน่ะยังไงก็ได้ แต่คุณแม่ที่หลงใหลในชื่อเสียง และคุณอาที่มองเห็นแต่ประโยชน์ในการมีชื่อเสียงของฉัน เพราะธุรกิจครอบครัวของเรามันใหญ่โตมาก และต้องการคนที่มีชื่อเสียงมาก ๆ มาเป็นพรีเซนเตอร์ ฉันเหมือนกับสินค้าชิ้นหนึ่งเลยล่ะ
“ไม่ยอมก็ต้องยอมแหละ ชีวิตเป็นของลูก”
“คุณพ่ออย่าดุคุณแม่เสียงดังนะ หนูไม่อยากให้แม่เสียใจ”
“หึ แม่เราก็เป็นอย่างนี้แหละ” คุณพ่อยิ้มออกมาบาง ๆ ฉันรู้ว่าคุณพ่อไม่มีทางดุคุณแม่หรอก เพียงแต่ว่าคำพูดของคุณพ่ออาจจะทำให้คุณแม่เสียใจ และสาเหตุความเสียใจนั้นมันก็มาจากฉัน
“งั้นพ่อขอไปคุยกับแม่ก่อน ถ้าแผลหายดีจะให้คนตั้งโต๊ะแถลงข่าวให้นะ พ่อจัดการให้”
“ขอบคุณนะคะ” ฉันฉีกยิ้มออกมา ก่อนจะโผเข้ากอดพ่อหนึ่งที นี่แหละนะประโยคที่ว่ามีลูกเมื่อพร้อม ฉันถึงได้เกิดมามีพ่อที่น่ารักอบอุ่นแบบนี้
“เหนื่อยก็นอนเลย” ฉันยิ้มรับพร้อมกับมองแผ่นหลังของคุณพ่อที่เดินจากไป โทรศัพท์ของฉันก็ม่องเท่งไปแล้วด้วย ตอนนี้แม้ว่าจะเหนื่อยมากแค่ไหนฉันก็คงนอนไม่หลับ ทั้งเรื่องที่พ่อกับแม่ต้องมาทะเลาะกันเพราะฉัน และเรื่องพี่เตชินท์ที่ฉันไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเรามันจะจบลงแล้ว...