บทที่ 4 ความเกลียดชังที่ได้รับ

1740 คำ
ตำหนักท้ายวัง หากวัดจากระยะทางแล้วนับเป็นตำหนักที่อยู่ห่างไกลเป็นที่สุด ซึ่งตำหนักแห่งนี้แทบจะเป็นตำหนักร้างอยู่แล้วเพราะไม่มีผู้ใดมาอาศัยอยู่เสียนาน ดังนั้นก่อนที่จะให้องค์หญิงน้อยมาอยู่ จึงต้องทำความสะอาดกันเสียยกใหญ่ กว่าจะได้ย้ายเข้ามาก็ปาเข้าไปยามเว่ยเกือบจะเช้าแล้ว ไทเฮาทรงจัดแจงให้องค์หญิงจิ๋นซีมีแม่นมเกิ่งคนหนึ่งและนางกำนัลอีกสี่ห้าคน คราแรกเสี่ยวหลัวจะขอไปดูแลองค์หญิงน้อยด้วยตัวเอง แต่ทว่านางต้องไว้ทุกข์ให้กับฮองเฮาที่เพิ่งจากไป จึงยังไม่สามารถทำหน้าที่ดูแลองค์หญิงได้ในตอนนี้ ดังนั้นนางกำนัลที่ไปอยู่ตำหนักท้ายวังจึงเป็นคนของไทเฮาทั้งหมด ซึ่งทั้งแม่นมเกิ่งและนางกำนัลเหล่านั้นไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรที่ถูกส่งไปอยู่ตำหนักท้ายวังแห่งนี้ เป็นเพราะที่นี่เปลี่ยวร้างน่ากลัวเสียเหลือเกิน เนื่องจากความเป็นอยู่ก็ไม่ดีงามและสะดวกสบายเหมือนตำหนักอื่น ๆ อีกทั้งโอกาสที่จะได้รับความดีความชอบก็แทบไม่มีเสียด้วย เนื่องจากองค์หญิงจิ่นซีเองก็เป็นเพียงทารกน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น นางจะประทานรางวัลให้ผู้ใดได้ ว่าไปแล้วนับเป็นการสูญเสียโอกาสของพวกนางเสียมากกว่า ยามเว่ยของวันหนึ่ง ในตำหนักท้ายวังที่เปลี่ยวร้างไม่ได้ต่างอะไรไปจากตำหนักเย็น มีเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้นไม่หยุด ทว่ากลับไม่มีแม่นมเกิ่งหรือนางกำนัลคนไหนกระตือรือร้นที่จะอุ้มนางขึ้นมาปลอบโยนเพื่อให้หยุดร้องสักคน นางกำนัลและแม่นมเกิ่งทำเพียงแค่นเสียงก่นด่าองค์หญิงน้อยไปวัน ๆ ด้วยความไม่พอใจเท่านั้น “จะร้องอะไรกันนักกันหนา ร้องอยู่แทบจะทุกชั่วยาม เอาแต่ร้องไห้แหกปาก ช่างเกิดมาเพื่อทรมานผู้อื่นจริง ๆ” นางกำนัลผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ นางไม่เพียงแต่บ่นเท่านั้นทั้งยังเดินออกมาจากห้องนอนขององค์หญิงจิ๋นซีอีกด้วย ทิ้งให้ทารกน้อยร้องไห้อยู่คนเดียว “ไทเฮาทำอย่างนี้ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมต้องเป็นพวกเราที่ถูกส่งมาอยู่ที่นี่ด้วยก็ไม่รู้ อะไร ๆ ก็ลำบากไปหมด ตอนอยู่ตำหนักอวิ๋นผิงพวกเราได้กินแต่อาหารดี ๆ พอมาอยู่ตำหนักนี้ได้กินแต่ของซ้ำซาก ข้าวต้มกับผัดผักเกือบจะทุกมื้อเลย” นางกำนัลอีกคนก็บ่นขึ้นมาเช่นเดียวกัน แต่มีนางกำนัลผู้หนึ่งที่คิดไม่เหมือนคนอื่น นางกลับคิดในแง่ดี “ในภายภาคหน้าหากว่าองค์หญิงเติบโตขึ้น พวกเราที่อยู่ที่นี่ก็อาจจะมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงองค์หญิงใหญ่” “องค์หญิงใหญ่แล้วจะอย่างไรเล่า ในเมื่อฝ่าบาทไม่ทรงโปรดนาง แม้กระทั่งจะอุ้มพระองค์ยังทรงไม่แตะต้องนางเลย เจ้าจำไม่ได้หรืออย่างไรว่าเป็นเพราะให้กำเนิดนาง ฮองเฮาถึงได้สิ้นพระชนม์ เยี่ยงนี้แล้วเจ้ายังคิดว่านางจะเติบใหญ่จนมีชีวิตที่ดีให้เราเกาะเกี่ยวขาอยู่อีกหรือ” แม่นมเกิ่งที่นั่งอยู่ตรงนั้นแย้งขึ้นมา เนื่องจากมองไม่เห็นทางเรื่องที่องค์หญิงน้อยองค์นี้จะเติบโตมาแล้วจะมีชีวิตที่ดี “ก็จริงอย่างที่แม่นมเกิ่งกล่าวมา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปชีวิตพวกเราคงต้องอยู่กันอย่างหมดหวังแล้ว” นางกำนัลคนเดิมตัดพ้อออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ส่วนคนที่เหลือนั้นก็ทอดถอนใจออกมาเช่นกัน มีบางคนถึงขั้นเกลียดชังองค์หญิงน้อยที่ทำให้พวกตนมาพบกับชีวิตที่อับจนเช่นนี้ หกเดือนต่อมา... นับตั้งแต่องค์หญิงใหญ่จิ่นซีถือกำเนิด ยามนี้ตำหนักอื่น ๆ ต่างก็ค่อย ๆ มีองค์หญิงและองค์ชายที่เป็นผลพวงจากการที่ฮ่องเต้เสด็จไปตำหนักนางสนมอื่นๆ มากขึ้นในตอนที่ฮองเฮาตั้งพระครรภ์คลอดออกมากันแล้ว ทำให้แต่ละตำหนักมีบรรยากาศที่คึกคักเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตำหนักของหวงกุ้ยเฟยที่สามารถคลอดองค์ชายองค์แรกให้กับฝ่าบาทได้ และด้วยความปีตินี้ ฝ่าบาทจึงได้ทรงมอบตราหงส์ให้นางดูแลวังหลังเป็นการชั่วคราว “ตราหงส์อยู่ในมือของข้าแล้ว นับจากนี้ต่อไปไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถขัดขวางข้าได้อีก อีกไม่นาน ข้าต้องได้ตำแหน่งฮองเฮามาครอบครองเป็นแน่” หวงกุ้ยเฟยถือตราหงส์ไว้ในมือ นางพลิกมันไปมาเพื่อที่จะดูทุกมุม พร้อมกับชื่นชมมันอยู่นาน ก่อนจะยกยิ้มขึ้นที่มุมปากข้างหนึ่งด้วยความพึงพอใจ “ตราหงส์สมควรที่จะอยู่กับพระสนมตั้งนานแล้วเพคะ ความจริงแล้วพระสนมเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดกับตำแหน่งนี้”เยี่ยหงกล่าวอย่างประจบประแจง เพราะยิ่งเจ้านายได้ดีมีตำแหน่งสูง นางก็จะได้เกาะแข้งเกาะขามีชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้นไปด้วย หวงกุ้ยเฟยมองไปยังโอรสตัวน้อยซึ่งกำลังหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน “เรื่องนี้ต้องขอบคุณองค์ชายของข้า เป็นเพราะเขาแท้ ๆ ข้าถึงได้ตรานี้มา อีกทั้งยังได้ความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย” “องค์ชายใหญ่เป็นผู้มีบุญญาธิการอย่างแท้จริงเพคะ จะต้องนำพาแต่สิ่งดีงามมาสู่พระสนมอย่างแน่นอน” เยี่ยหงยังคงวาจาขี้ประจบของตนเองเอาไว้ เพราะในภายภาคหน้านางจำเป็นต้องเกาะหวงกุ้ยเฟยอีกนาน อีกทั้งหวงกุ้ยเฟยตอนนี้มีแววของความรุ่งเรืองแล้ว หากนายรุ่งเรือง บ่าวย่อมสบายตามไปด้วยอย่างไรล่ะ “ต่อไปนี้ข้าจะจัดการเรื่องวังหลังตามที่ข้าเห็นสมควร สนมผู้ใดที่คิดจะดึงความโปรดปรานของฝ่าบาทไปจากข้า ข้าจะจัดการให้หมด ให้พวกนางอยู่อย่างไม่มีความหมาย จนฝ่าบาทลืมพวกนางไปเสีย” หวงกุ้ยเฟยกล่าวราวกับว่าเคียดแค้นนางสนมพวกนั้นมานานหลายปี “ตอนนี้สนมพวกนั้นก็คลอดองค์ชายและองค์หญิงกันออกมาหลายพระองค์แล้วนะเพคะ พระสนมจะจัดการอย่างไรดีเพคะ” เยี่ยหงเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง เนื่องจากเวลานี้พระสนมนางอื่นต่างก็ให้กำเนิดโอรสและธิดาให้แก่ฝ่าบาทแล้ว การจะกำจัดออกไปคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เมื่อเจอคำถามนี้จากนางกำนัลคนสนิท หวงกุ้ยเฟยจึงมีทีท่าเหมือนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกมา “คงต้องให้พวกนางอยู่อย่างปกติสุขไปก่อน เมื่อไรที่ฝ่าบาทไม่เสด็จไปเยี่ยมโอรสธิดาของพวกนาง เมื่อนั้นข้าจะจัดการให้นางสนมพวกนั้นหมดความหมายไปเอง แล้วโอรสธิดาของพวกนางก็จะไม่ได้ขึ้นมาโดดเด่นเทียบเคียงองค์ชายใหญ่ของข้าด้วย” กล่าวจบหวงกุ้ยเฟยก็มีรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา จากนั้นก็หันไปชื่นชมโอรสของตนเองอย่างปลาบปลื้มใจ องค์ชายใหญ่นอนอยู่บนเตียงเป็นภาพที่น่ารักอยู่ไม่น้อย เด็กชายตัวอ้วนแก้มกลมยุ้ยเหมือนซาลาเปา ดูเป็นผู้มีบุญญาธิการอย่างที่เยี่ยหงบอกจริง ๆ นางรู้ว่าตัวว่าตั้งครรภ์ได้สามเดือนในวันที่รู้ข่าวว่าฮองเฮาไร้ลมหายใจ เขาเหมือนของขวัญที่สวรรค์ประทานมาให้นาง หวงกุ้ยเฟยยิ่งมองก็ยิ่งหลงโอรสของตัวเอง เขาน่ารักน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดฝ่าบาทจะไม่ทรงโปรดปรานเล่า “พรุ่งนี้เสด็จพ่อของเจ้าก็จะเสด็จมาหาแล้ว เจ้าต้องทำตัวน่ารักเข้าไว้ เข้าใจหรือไม่ จางเหว่ยของแม่” หวงกุ้ยเฟยกล่าวเสียงเล็กเสียงน้อยกับโอรสเพื่อหวังจะให้เขาดึงพระทัยจากฮ่องเต้นั่นเอง ตำหนักท้ายวังขององค์หญิงใหญ่จิ่นซี เวลานี้แม่นมเกิ่งขององค์หญิงยังคงบ่นไม่เลิก แต่สุดท้ายก็ยอมลุกขึ้นมาเพราะทนเสียงร้องของเด็กน้อยไม่ไหว อีกทั้งหากปล่อยให้อีกฝ่ายร้องไห้จนเหนื่อยหอบแล้วเป็นอะไรขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าบ่าวทั้งตำหนักจะได้รับโทษอะไรกันบ้าง เพราะอย่างไรนางก็มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของฝ่าบาท “ข้าไปให้นมนางก่อน ร้องไห้นานถึงเพียงนี้คงจะไม่พ้นเรื่องหิวนมหรอกนะ” แม่นมเกิ่งกล่าวมาพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปยังห้องบรรทมขององค์หญิงใหญ่จิ่นซี เด็กน้อยร้องไห้เป็นเวลานาน ทำให้ยามนี้เสียงที่เปล่งออกมานั้นออกจะแหบลงเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็เหมือนกับสวรรค์มาโปรด เมื่อแม่นมเกิ่งของนางมาสักทีหลังจากที่หิวมากว่าครึ่งค่อนวัน พอได้เห็นหน้าแม่นมเกิ่งแล้ว องค์หญิงตัวน้อยจึงหยุดร้องไห้ แม่นมเกิ่งอุ้มนางขึ้นมา จากนั้นก็ปลดเสื้อป้อนนมให้นาง เด็กน้อยเห็นเต้าแล้วก็รีบงับทันที แต่เพราะว่าฟันเล็ก ๆ ของนางเริ่มงอกแล้วก็เลยเผลอกัดนมของแม่นมเกิ่งเข้า จนทำให้อีกฝ่ายร้องโวยวายออกมา “โอ้ย…เจ้าเด็กนี่ เจ้าทำอะไรของเจ้ากันเนี่ย กินแบบคนธรรมดาไม่ได้หรืออย่างไร” แม่นมเกิ่งโวยวายเสียงดัง เหล่านางกำนัลที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงร้องของแม่นมเกิ่งก็ตกใจและรีบวิ่งเข้ามาดูทันที นึกว่านางเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงหรือไม่ “ท่านแม่นมเกิ่ง ท่านเป็นอะไรหรือ” นางกำนัลผู้หนึ่งเอ่ยถามหน้าตาตื่น แม่นมเกิ่งเงยหน้าขึ้น ที่หางตาปรากฏหยดน้ำตาซึมออกมา “ก็องค์หญิงใหญ่น่ะสิ เมื่อสักครู่กัดนมข้าแทบขาด” นางเอ่ยตอบออกมาด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว พร้อมกับมองหน้าองค์หญิงด้วยสายตาเกลียดชัง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม