บทที่ 5 องค์หญิงใหญ่ผู้โดดเดี่ยว

1848 คำ
เหล่านางกำนัลได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาเหมือนเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย “โธ่…พวกข้าก็นึกว่าอะไรเสียอีก ในใจนั้นนึกว่าท่านแม่นมเกิ่งเกิดอุบัติเหตุขึ้น ที่แท้ก็แค่ถูกองค์หญิงกัดนี่เอง” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแม้ว่าจะดูเป็นห่วง แต่ก็แฝงไปด้วยความสนุกสนานเล็กน้อยที่แม่นมเกิ่งถูกองค์หญิงใหญ่กลั่นแกล้ง “เจ้าลองมาให้นางกัดดูไหมล่ะจะได้รู้ว่ามันเจ็บเพียงใด” แม่นมเกิ่งกล่าวอย่างไม่พอใจ ใครจะรู้บ้างว่าเวลาถูกเด็กน้อยกัดหัวนมตอนดื่มนมนั้นความรู้สึกเป็นอย่างไร “เอาเถอะท่านแม่นมเกิ่ง ถึงอย่างไรมันก็เป็นหน้าที่ของท่านจะหลีกเลี่ยงก็ไม่ได้แล้ว” นางกำนัลคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา “ก็ถูกของเจ้า ข้าล่ะอิจฉาพวกแม่นมเกิ่งที่ตำหนักอื่นเสียจริง ๆ โดยเฉพาะแม่นมเกิ่งและข้ารับใช้ที่ตำหนักไฉ่อีของพระสนมหวงกุ้ยเฟย ข้าได้ข่าวว่าองค์ชายใหญ่มีแม่นมเกิ่งถึงหกคน แล้วเหตุใดข้าต้องมาติดอยู่ที่ตำหนักร้างเช่นนี้ด้วยเล่า” แม่นมเกิ่งกล่าวแล้วก็ได้แต่คิดน้อยใจขึ้นมาว่า ทำไมตนเองถึงต้องมาเป็นแม่นมเกิ่งให้กับองค์หญิงที่ถูกลืมผู้นี้ ในขณะที่แม่นมเกิ่งคนอื่น ๆ ต่างก็มีชีวิตที่ดีกันทั้งนั้น โดยเฉพาะแม่นมเกิ่งที่ตำหนักขององค์ชายใหญ่ที่มีตั้งหกคน อีกทั้งเวลานี้หวงกุ้ยเฟยยังเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทอีกด้วย จะไม่ให้อิจฉาพวกข้ารับใช้ตำหนักนั้นได้อย่างไร นางกำนัลเมื่อเห็นสีหน้าที่เศร้าสร้อยของแม่นมเกิ่ง จึงรีบเข้ามาปลอบทันที “ท่านแม่นมเกิ่ง ท่านอดทนต่ออีกสักหน่อยเถิด อีกไม่เกินปีสองปี องค์หญิงก็เลิกกินนมท่านแล้ว” พอได้ยินนางกำนัลบอกแบบนั้น แม่นมเกิ่งได้แต่พยักหน้าเข้าใจ และก้มมองอกตนเองที่ก็ยังคงให้องค์หญิงดูดกินนมต่อไป ถึงแม้ว่าตอนนี้เด็กน้อยจะไม่ได้กัดนมของแม่นมเกิ่งแล้ว แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังคงระแวงอยู่วันยังค่ำ แท้จริงแล้วองค์หญิงจิ่นซีเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายมาก พอกินนมจนอิ่มท้องแล้วนางก็หลับยาวๆ ที่ผ่านมาร้องไห้ไม่หยุดก็เพราะว่าแม่นมเกิ่งกับนางกำนัลเหล่านี้ไม่ค่อยสนใจจะดูแลนางอย่างที่ควรจะเป็น พวกนางกำนัลมักจะปล่อยให้นางอยู่ในเสื้อผ้าที่เปียกชื้นจากของเสียที่นางปล่อยออกมาตามประสาเด็ก ส่วนแม่นมเกิ่งก็ชอบลืมให้นมนางเมื่อถึงเวลาทุกที จนตอนนี้ร่างกายของนางผ่ายผอมลงมากแตกต่างกับตอนแรกที่คลอดออกมาเหลือเกิน เมื่อให้นมเสร็จแล้ว แม่นมเกิ่งก็พาองค์หญิงเข้านอน ความจริงหากเทียบกับตำหนักอื่น นางกำนัลตำหนักที่ถือว่าค่อนข้างสบายคงเป็นตำหนักท้ายวังแห่งนี้นี้ เพราะอยู่กันสี่ห้าคนเพียงเพื่อเลี้ยงเด็กแค่คนเดียว เรื่องอาหารก็เป็นหน้าที่ของแม่นมเกิ่ง ซึ่งพวกนางกำนัลเพียงแค่มีหน้าทีช่วยอาบน้ำ จัดเตรียมข้าวของ ซักเสื้อผ้าขององค์หญิงน้อยก็เท่านั้น สบายถึงเพียงนี้พวกนางก็ยังไม่พอใจกันอีก หากจะกล่าวว่าผู้ใดรักและเป็นห่วงองค์หญิงใหญ่มากที่สุด ก็เห็นจะเป็นไทเฮาเพียงพระองค์เดียว อาจจะเป็นเพราะองค์หญิงจิ่งซีเป็นพระนัดดาคนแรกของพระนาง อีกทั้งยังเป็นองค์หญิงที่เกิดจากฮองเฮาอีกด้วย หนำซ้ำยังมีชะตาที่อาภัพไม่ต่างไปจากมารดาขององค์หญิง พระนางจึงได้ส่งคนมาคอยดูแลนัดดาอยู่เรื่อย ๆ แต่ทว่าสุดท้ายแล้วคนที่ถูกส่งมาทุกคน ล้วนถูกหวงกุ้ยเฟยซื้อตัวไปในที่สุด “ได้ยินว่าไทเฮาจะส่งพวกเจ้าไปเป็นนางกำนัลเพิ่มให้ตำหนักท้ายวังอย่างนั้นหรือ” หวงกุ้ยเฟยถามนางกำนัลสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า นางกำนัลทั้งสองก้มหน้ามองรองเท้าตนเองอย่างเงียบ ๆ ไม่กล้ากล่าวอะไร เพราะคำสั่งที่ได้รับมานั้นเป็นคำสั่งจากไทเฮา การขัดขืนคำสั่งของไทเฮานั้นมีโทษหนัก และดูจากท่าทีของหวงกุ้ยเฟยแล้ว คงจะมีเรื่องที่ไม่ดีให้พวกนางสองคนทำเป็นแน่ “ได้ข่าวว่าที่บ้านของพวกเจ้าจำเป็นต้องใช้เงิน เท่าไรอย่างนั้นหรือ คนละสามร้อยตำลึงเงินเพียงพอหรือไม่” หวงกุ้ยเฟยเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนพร้อมกับยื่นข้อเสนอเรื่องเงินขึ้นมา นางกำนัลทั้งสองได้ยินก็ตกใจเล็กน้อย เพราะเงินสามร้อยตำลึงนั้นเพียงพอจะให้ครอบครัวอยู่อย่างสุขสบายไปได้อีกหลายปี พวกนางจึงชั่งใจอยู่ว่าจะเลือกหาทางใด ระหว่างทำตามคำสั่งหรือขัดคำสั่งของไทเฮาพร้อมรับข้อเสนอของหวงกุ้ยเฟย “ต้องขัดคำสั่งของไทเฮาทั้งหมดหรือไม่เพคะ” นางกำนัลผู้หนึ่งถามเสียงสั่น อยากได้เงินก็อยากได้ ห่วงชีวิตก็ห่วง หากไม่ถึงกับขัดคำสั่งทั้งหมด พวกนางก็คงจะรับไว้ได้บ้าง เรียกว่าไม่เสียหายสักทาง มีแต่ได้จากทั้งสองทางเพียงเท่านั้น “พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป งานนี้พวกเจ้าไม่ต้องขัดคำสั่งผู้ใดทั้งนั้น เพียงแค่เข้าไปปรนนิบัติรับใช้องค์หญิงใหญ่ที่ตำหนักท้ายวังตามปกติ หน้าที่ของพวกเจ้าคือสอดส่องความเป็นไปของที่นั่นแล้วส่งข่าวมาให้กับข้า แล้วก็ทำตามคำสั่งเล็กๆ น้อยๆ ของข้าบ้างก็พอ” หวงกุ้ยเฟยบอกถึงความต้องการของนางทันทีที่ปลาติดเหยื่อ “พวกเรายินดีทำตามคำสั่งของพระสนมเพคะ” เมื่อได้ยินเงื่อนไขแล้ว นางกำนัลทั้งสองก็โล่งอกและรีบตอบรับอย่างไม่ลังเลอีกแล้ว หวงกุ้ยเฟยยื่นตั๋วเงินสามร้อยตำลึงให้พวกนางคนละใบ จากนั้นจึงกำชับอะไรอีกหลายอย่างก่อนจะปล่อยให้พวกนางไปยังตำหนักท้ายวัง หวงกุ้ยเฟยทำแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าไทเฮาจะส่งคนไปสักกี่คน สุดท้ายเวลานี้ที่ตำหนักท้ายวัง ล้วนกลายเป็นคนของหวงกุ้ยเฟยทั้งสิ้น เวลาผ่านไปเจ็ดปี ภาพองค์หญิงกำลังนั่งเล่นเดินหมากอยู่ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยวภายในตำหนักที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้คนนั้นช่างดูน่าสงสารอยู่ไม่น้อย นางนั่งครุ่นคิดและเดินหมากทั้งสองฝั่งด้วยตนเอง บางครั้งก็หยิบหมากขาวขึ้นมาวางมุมหนึ่ง หลังจากนั้นก็หยิบหมากดำขึ้นมาวางอีกมุมหนึ่ง แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ก็ในเมื่อนางไม่มีสหายเลยสักคน ไม่เพียงแค่ไร้สหายเดินหมากเท่านั้น แม้แต่สหายจะสนทนาด้วยสักครึ่งคำก็ยังไม่มี เหล่านางกำนัลที่อยู่ในตำหนักนั้นต่างก็ไม่สนใจองค์หญิงผู้นี้เลยแม้แต่น้อย พวกนางจะนั่งอยู่มุมใดมุมหนึ่งที่ลับตา แล้วจับกลุ่มสนทนากันเสียมากกว่า จะพบเห็นหน้ากันก็ยามที่เอาสำรับอาหารมาให้นางเท่านั้น แม้แต่เวลาจะอาบน้ำ นางที่เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของฮ่องเต้ ก็ยังต้องอาบน้ำเย็นเพราะไม่มีผู้ใดสนใจจะมาต้มน้ำให้อาบ องค์หญิงจิ่นซีใช้ชีวิตอย่างลำเค็ญอยู่ในตำหนักท้ายวังเช่นนี้จนกระทั่งอายุได้เจ็ดหนาว แม้นางจะเป็นองค์หญิงที่เกิดจากฮองเฮาแต่ทว่าสถานะของนางก็ต่ำต้อยอย่างมาก เนื่องจากไม่มีใครเอาใจใส่ดูแล จะมีก็แต่ไทเฮาที่ยังคงนึกถึงอยู่บ้าง ทว่าหลัง ๆ มานี้พระนางยังมีนัดดาอีกมากมายที่คอยผลัดเปลี่ยนกันมาเอาอกเอาใจ ทำให้เผลอหลงลืมนัดดาผู้นี้ไปเหมือนกัน “สำรับอาหารมาแล้วเพคะองค์หญิง” นางกำนัลผู้หนึ่งถือถาดสำรับอาหารเข้ามา ก่อนจะวางลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าองค์หญิงใหญ่ จากนั้นก็เดินออกไปโดยที่ไม่กล่าวอะไรต่ออีก และไม่สนใจว่านางจะลุกขึ้นมากินหรือไม่ “อืม” องค์หญิงจิ่นซีพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะลุกขึ้นจากกระดานเดินหมากเพื่อไปกินมื้อกลางวัน วันนี้สำรับอาหารดูดีกว่าทุกวันที่ผ่านมามาก เนื่องจากมีผัดผักกับเต้าหู้ด้วย องค์หญิงจิ่นซีเห็นแล้วก็ยิ้มออกมา เพราะว่าจะได้กินอะไรที่น่าอร่อยกับเขาสักที เท่าที่จำความได้นั้น ที่ผ่านมารู้สึกว่าจะได้กินเต้าหู้แค่ไม่กี่ครั้ง เพราะทุก ๆ วันจะได้กินเพียงแค่ข้าวต้มเละ ๆ หรือไม่ก็ข้าวกล้องเก่าเก็บกับผักกาดขาวต้มเท่านั้น เรียกได้ว่าตลอดมานั้น นางได้กินแต่อาหารชั้นเลวที่มีไว้ให้พวกบ่าวไพร่ในตำหนักกินเท่านั้น นั่นก็เป็นเพราะสำรับของนาง ถูกบ่าวต่ำช้าพวกนั้นสับเปลี่ยนเอาไปกินเองแล้ว องค์หญิงจิ่นซีนั่งพุ้ยข้าวกินกับผัดผักใส่เต้าหู้อย่างเอร็ดอร่อย หากว่าผู้ใดมาเห็นสภาพนางตอนนี้ ก็คงจะไม่คาดคิดว่านางคือองค์หญิงใหญ่ที่เกิดจากฮองเฮาเป็นแน่ เพราะนางดูไม่ต่างจากเด็กชาวบ้านทั่วไปที่กำลังหิวโหยเลย เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ถึงแม้จะไม่ได้ถึงขั้นสกปรกมอมแมม แต่ก็เป็นชุดเก่าที่ใส่มานานแล้ว อีกทั้งชายกระโปรงยังสั้นจนเลยข้อเท้าขึ้นมา บ่งบอกว่าชุดนี้เล็กเกินไปสำหรับเด็กหญิงที่โตขึ้นทุกวัน ยังดีที่นางมีรูปร่างที่ผอมจึงยังใส่ได้อยู่ เมื่อกินข้าวเสร็จก็ยกกาน้ำชาขึ้นมา ปรากฏว่าไม่มีน้ำชาจึงได้ร้องเรียกให้นางกำนัลมาเติมให้ “น้ำชาของข้าหมดแล้ว ไปเติมน้ำให้ข้าที” นางกำนัลคนเดิมกับที่เอาสำรับอาหารมาให้ ก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะคว้ากาน้ำชาไปจากโต๊ะแล้วเดินไปทางด้านหลัง องค์หญิงจิ่นซีเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางกำนัลเหล่านี้ถึงได้ปฏิบัติต่อตนเองไม่ดีนัก ทั้ง ๆ ที่นางก็ไม่เคยทำอะไรให้พวกนางเจ็บช้ำน้ำใจเลยสักครั้ง และไม่เคยจะดื้อซนเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ทำไมนางกำนัลเหล่านี้กลับทำเหมือนกับว่าไม่ชอบและไม่อยากอยู่ดูแลนาง เด็กน้อยได้แต่คิด แต่ทว่าก็ไม่ได้เก็บเอามาเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจอะไร รู้สึกเพียงแค่ว่าอยู่คนเดียวเช่นนี้ก็สบายใจดีเหมือนกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม